Games Reviews

Watch Dogs Legion: Bloodline – รีวิว [REVIEW]

โดย G-jang

Watch Dogs Legion: Bloodline – รีวิว [REVIEW]

Watch Dogs Legion: Bloodline คือส่วนขยายแรกของเกม Watch Dogs Legion ที่จะให้ผู้เล่นได้รับบทเป็นไอเด็น เพียร์ซ ตัวเอกจากภาคแรก รวมถึงเรนช์ ตัวละครหลักอีกคนหนึ่งจากภาคสอง ในเมืองลอนดอนที่ตกอยู่ภายใต้ระบอบอันกดขี่จากพวกอัลเบียนซึ่งเป็นบริษัททหารรับจ้างที่เข้ามาดูแล แล้วตัวเกมมันจะต่างจากปกติยังไงบ้าง? ผมจะมาเล่าให้ฟังครับ


เนื้อเรื่อง

เรื่องราวของส่วนขยายนี้จะบอกเล่าเหตุการณ์ก่อนตัวเกมหลักไม่นาน โดยเริ่มต้นจากงานที่ไอเด็นรับมาจากจอร์ดี้ ซึ่งงานที่ว่าก็ทำให้เขาต้องเดินทางจากอเมริกามายังอังกฤษและมุ่งหน้าสู่ลอนดอน และที่นี่เองที่เขาได้รับการว่าจ้างให้ขโมยวัตถุที่เรียกว่า Broca Bridge จาก Broca Lab ที่ในครั้งแรกเขาก็คิดว่ามันเป็นงานง่าย ๆ หากแต่ทุกอย่างเริ่มที่จะยุ่งยากเมื่อเรนช์เองก็มาชิงตัดหน้าเขาไป จนเขาเองก็ต้องเข้าไปพัวพันกับโธมัส เรมพาร์ทผู้เป็นประธานบริษัท Rempart Automated Defense Systems ที่ก็หมายตาวัตถุชิ้นดังกล่าวอยู่เช่นกัน และเมื่อเหตุการณ์ทั้งหมดอาจส่งผลต่อความปลอดภัยของแจ็คสัน เพียร์ซผู้เป็นหลานชาย จึงทำให้ไอเด็นจำเป็นต้องสะสางเรื่องราวทั้งหมดด้วยตนเอง

หากพูดถึงในแง่ของเนื้อเรื่องสำหรับ DLC นี้โดยส่วนตัวผมคิดว่ามันค่อนข้างมีความน่าสนใจมากกว่าตัวเกมหลัก เพราะทุกอย่างจะโฟกัสไปที่ตัวละครหลักเพียงไม่กี่ตัว เรื่องราวจะเน้นเจาะที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครมากขึ้น ดังนั้นแต่ละภารกิจที่เราทำก็จะพอเข้าใจได้ง่ายว่าแต่ละคนทำไปเพื่ออะไร และมีแรงจูงใจอะไร ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้รู้สึกว่าเนื้อหามีความลึกซึ้งจับใจอะไรขนาดนั้น เรียกได้ว่าเล่นได้เพลิน ๆ ส่วนหนึ่งเพราะเนื้อหาปูมหลังในบางประเด็นของ DLC นี้ซึ่งเป็นประเด็นใหญ่ดันไม่มีการบอกเล่าผ่านคัตซีน แต่จะเป็นเอกสารให้คนเล่นเก็บอ่านทำความเข้าใจเท่านั้น คือถ้าใครมองผ่านหรืออ่านไม่เข้าใจก็อาจจะงงไปเลย ว่าตัวละครหลักบางตัวมีความสัมพันธ์กันยังไงและแค้นอะไรกันมา ถึงกระนั้นบทสรุปเรื่องราวก็ถือว่าปิดประเด็นของ DLC นี้ได้แบบไม่ค้างคา

ถ้าจะมีจุดนึงที่ผมอดแปลกใจไม่ได้ก็คงเป็นเรื่องราวในเกมที่จากเดิมเล่าเกี่ยวกับกลุ่มแฮกเกอร์ใต้ดินที่คอยเคลื่อนไหวต่อต้านระบอบอันกดขี่และคุกคาม กลายมาเป็นไซไฟในลักษณะที่ใกล้เคียงกับโลกแห่งไซเบอร์พังก์เข้าไปทุกทีแบบนี้ได้ยังไงนี่ล่ะครับ ไม่ว่าจะการวิจัยเกี่ยวกับ AI ที่นำเอาสมองคนมาเป็นต้นแบบเอย การวิจัยหุ่นยนต์สังหารที่บริษัทผู้พัฒนามีไอเดียจะเอาสมองคนมาใส่ให้เป็นโรโบคอปเอย หรือแม้แต่บรรดาโดรนสังหารที่เกิดคุ้มคลั่งเพราะสมองคนที่เป็นต้นแบบเกิดคลั่งขึ้นมาเอย ฯลฯ


เกมเพลย์

ในส่วนของเกมเพลย์นี้ โดยหลักยังคงคล้ายคลึงกับตัวเกมหลักที่เป็นโอเพนเวิลด์และตัวเรามีความสามารถในการแฮกวัตถุต่าง ๆ รอบตัวเพื่อสร้างสถานการณ์ที่ได้เปรียบหรือเพื่อการเคลื่อนที่ไปยังจุดต่าง ๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ต่างกับตัวเกมหลักก็คือระบบการอัปเกรดอุปกรณ์หรือความสามารถต่าง ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องใช้ Tech Point เพื่ออัปเกรดอีกต่อไป หากแต่จะไปผูกอยู่กับภารกิจเสริมแทน ที่ถือเป็นแรงจูงใจให้ผู้เล่นต้องไปทำภารกิจให้ครบถ้วนเท่าที่มีเพื่อรับการอัปเกรดให้ครบ และตัดความยุ่งยากในการไปชักชวนคนเข้ามาร่วมทีมโดยบังคับให้เล่นแค่สองตัวละครหลัก ๆ ไปเลย

สำหรับความสามารถเฉพาะตัวของไอเด็นและเรนช์ก็ถือว่ามีความต่างกันมากพอที่จะทำให้เกมเพลย์ไม่เหมือนกันจนเกินไป เพราะสำหรับไอเด็นนั้นคุณจะมีความสามารถในการกดเติมกระสุนที่หากคุณกดถูกจังหวะ ก็จะทำให้ปืนยิงแรงขึ้นชั่วระยะเวลาหนึ่ง มิหนำซ้ำความสามารถ System Crash ของเขาก็จะทำให้วัตถุต่าง ๆ รอบตัวเสียการควบคุมได้ในวงกว้าง พูดง่าย ๆ ก็คือหากคุณตกอยู่ในสถานการณ์ที่โดนล้อมยิงอยู่ กดใช้ System Crash ก็จะเปิดโอกาสตอบโต้กลับหรือหลบหนีได้อย่างสบาย ๆ ส่วนถ้าเป็นเรนช์ ความสามารถก็จะออกแนวไม่เน้นการปะทะ แต่เน้นการเอาตัวรอดด้วยระเบิดควัน หรือไม่ก็การเรียกโดรนส่วนตัวมาใช้งานที่มีความเร็วและความคล่องตัวมากกว่าโดรนขนส่งทั่ว ๆ ไป

ซึ่งก็แน่นอนว่าภารกิจของแต่ละคนได้รับการออกแบบมาให้เล่นในสไตล์ที่ต่างกันไป ภารกิจของไอเด็นจะออกแนวเคร่งขรึมจริงจังตามแบบฉบับเกมภาคแรก ส่วนภารกิจของเรนช์จะออกแนวเกรียน ๆ แฝงความฮาตามธีมของเกมภาคสอง ทำให้การเล่นสองตัวละครนี้มีรสชาติที่ต่างกันพอดู

หนึ่งในประเภทของศัตรูที่เพิ่มเข้ามาใน DLC นี้ก็คงไม่พ้นหุ่นยนต์ของเรมพาร์ท ที่ดูแล้วผมเดาว่าใส่ลงมาเพื่อให้บรรดาปืน stun (ปืนไฟฟ้า) ทั้งหลายต่อหลายกระบอกได้มีประโยชน์ใช้งานบ้าง (เพราะว่ากันตามตรงถ้าให้เลือกระหว่างปืนลูกซองไฟฟ้ากับปืนลูกซองจริง ๆ คนก็น่าจะเลือกอย่างหลังนะ) เพราะการจะรับมือกับมันในแต่ละครั้งคุณต้องใช้ปืนไฟฟ้ายิงใส่มันให้เกิดอาการ overheat จนเปิดเผยแกนพลังงานออกมาแล้วจึงจะสามารถยิงทำลายมันลงได้ ถือเป็นอะไรที่แปลกใหม่อยู่แต่ก็ยอมรับว่าเวลาเจอมันร่วมกับศัตรูที่เป็นคนประเภทอื่น ๆ แล้วก็แอบน่ารำคาญเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน

ในแง่ของโลกในเกมสำหรับ DLC ตัวนี้แทบไม่ต่างอะไรกับตัวเกมหลักเพราะพื้นที่ที่คุณเดินทางได้ในลอนดอนก็เหมือนกับตัวเกมหลัก ไม่มีพื้นที่ใหม่ ๆ ให้ได้ไปสำรวจและไม่มีกิจกรรมอะไรที่เพิ่มเติมมาจากเดิม แน่ล่ะว่าตัวเกมก็ยังมีค่าเงินให้ได้เก็บเหมือนกัน แต่ด้วยความที่ไม่มีสกินปืนหรือสกินรถให้ซื้อก็เลยไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไรได้มากนัก นอกจากตระเวนไปตามร้านเสื้อผ้าของลอนดอน ที่ตั้งแต่ต้นจนจบผมก็ไม่ได้ซื้ออะไรเลยสักชิ้น เพราะขี้เกียจเสียเวลา

แต่อย่างน้อยส่วนขยายชุดนี้ก็ทำให้คุณสามารถเลือกเล่นไอเด็นและเรนช์ได้ในตัวเกมหลัก ซึ่งว่ากันตามตรงถ้าคุณมีสองคนนี้ในทีมก็แทบไม่ต้องไปชวนใครเข้าทีมเพิ่มเท่าไหร่แล้วล่ะครับ


กราฟิกและการนำเสนอ

ในแง่กราฟิกนั้นก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากตัวเกมหลักมากมายนัก คือส่วนที่ดูดีก็ยังดูดีอยู่ แสงเงาที่สะท้อนวัตถุต่าง ๆ ก็ทำออกมาได้ดี แต่ในขณะเดียวกันก็มีจุดที่แอบไม่เนี้ยบเช่นเคย การเคลื่อนไหวของบรรดา NPC ที่เราคุยตอนรับภารกิจก็มียังมีโมชันที่กระตุกแปลก ๆ อยู่ และบางจุดก็เก็บงานไม่เรียบร้อยอยู่เหมือนเคย ที่เห็นชัดก็คงเป็นจุดป้อมยามที่มีหลังคามีอะไรพร้อม แต่พอฝนตกทีฝนดันเทโครมลงมาภายในป้อมแบบทะลุหลังคาลงมาเลยนี่แหละครับ

การนำเสนอก็ถือว่ามีช่วงที่เปลี่ยนธีมเพื่อเปลี่ยนอารมณ์ตามแต่ละตัวละครอย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศโดยรวมของภารกิจ รวมถึงวัตถุประสงค์ของภารกิจเองด้วย แม้แต่กระทั่งการเปลี่ยนบรรยากาศของเกมกลายไปเป็นเกมสยองขวัญด้วยโถงทางเดินในแบบ P.T. อย่างไม่ผิดเพี้ยนก็ด้วยเช่นกัน  ในแง่ของความหลากหลายนั้นถือว่าทำได้ดีกว่าตัวเกมหลักครับ


สรุป

ส่วนขยาย Bloodline ถือเป็นเนื้อหาเสริมของเกมที่เล่นได้เพลิน ๆ และมีความน่าสนใจในตัวเอง แม้ว่าจะไม่ได้เพิ่มอะไรเข้ามาที่ต่างจากเดิมอย่างมากมาย แต่ก็เพียงพอสำหรับคนที่ยังอยากผจญภัยในโลกของ Watch Dogs Legion ครับ

The Review

70% The Fox หวนคืนวงการ

Bloodline เป็นเนื้อหาเสริมของเกมที่เล่นได้เพลิน ๆ แม้ว่าจะไม่ได้ต่างจากเดิมอย่างมากมาย แต่ก็เพียงพอสำหรับคนที่ยังอยากผจญภัยในโลกของ Watch Dogs Legion

70%

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ข้ามไปยังทูลบาร์