Games Reviews

The Chant – รีวิว [REVIEW]

โดย G-jang

The Chant – รีวิว [REVIEW]

*ขอขอบคุณโค้ดรีวิวจาก Plaion Limited มา ณ โอกาสนี้ครับ
**รีวิวนี้เล่นบน PlayStation 5

The Chant นี่เป็นเกมที่ผมค่อนข้างให้ความสนใจตั้งแต่เปิดตัวครับ ด้วยธีมนำเสนอว่าด้วยลัทธิในยุค 70s และดีไซน์ของเกมที่ดูค่อนข้างแปลกกว่าเกมสยองขวัญอื่น ๆ ที่เคยได้ลองเล่นมา มันก็เลยทำให้ผมอยากสัมผัสดูว่าสุดท้ายแล้วตัวเกมเป็นอย่างไร และ “มีของ” แค่ไหน ซึ่งหลังจากที่ได้เล่นไปจนจบแล้วผมก็เลยอยากจะมานำเสนอให้ได้อ่านกันครับ


เนื้อเรื่อง

สำหรับเซ็ตติ้งของเกมนี้จะเล่าถึงตัวเอกของเกมอย่างเจส (Jess) ที่จิตใจไม่มั่นคงเพราะโดนรบกวนจากเหตุการณ์ในอดีต เธอจึงตอบรับคำเชิญของเพื่อนอย่างคิม (Kim) ที่ชักชวนเจสไปพักผ่อนทางจิตวิญญาณและผ่อนคลายจิตใจ ณ เกาะห่างไกลที่ชื่อเกาะกลอรี (Glory Island) โดยที่มีผู้นำทางจิตวิญญาณอย่างไทเลอร์ แอนตอน (Tyler Anton) คอยแนะแนวทางพร้อมด้วยผู้คนอีกบางส่วนที่ต่างก็มีบาดแผลและปูมหลังต่างกันไป โดยมีวัตถุประสงค์ที่มายังเกาะแห่งนี้ก็เพื่อเยียวยาจิตใจตัวเองกันทั้งนั้น

ทว่าในคืนที่ทุกคนมารวมตัวกันทำพิธีเพื่อหวังใช้ศาสตร์แห่งแท่งปริซึมทำการดูดพลังงานด้านลบออกไปนั้น พิธีเกิดการผิดพลาดขึ้นมาจนทำให้เกิดเป็นเหตุการณ์ชวนสยอง จนเหล่าสิ่งมีชีวิตประหลาดที่ถูกเรียกว่ากลูม ครีเจอร์ (Gloom Creatures) ต่างเพ่นพ่านออกมาทั่วเกาะ จากที่เจสหวังมาที่นี่เพื่อสงบจิตใจก็กลายเป็นการต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดไปในที่สุด

ถ้าจะพูดในแง่ของเนื้อเรื่องนั้น ผมคิดว่าตัวเกมทำออกมาได้สนุกและน่าติดตามอยู่ในระดับหนึ่งครับ เพราะโดยส่วนตัวคิดว่ารูปแบบการนำเสนอนั้นค่อนข้างมีรสชาติแปลกดีใช้ได้ และใส่ประเด็นจิตวิทยาเข้ามานิด ๆ หน่อย ๆ เพราะจะเห็นได้จากอาการสติแตกของแต่ละคนหลังจากที่พิธีผิดพลาดจนทุกคนโดนสะกิดแผลใจกันขึ้นมาอย่างถ้วนทั่วแม้แต่เจสเองก็ไม่เว้นแล้วเพราะด้วยเหตุนั้นผู้เล่นก็จะได้เจอสิ่งที่รบกวนจิตใจของเธอตามมาหลอกหลอน (และไล่ล่า) บ่อย ๆ ทั้งเกม

หากจะมีอะไรที่ผมแอบเสียดายก็คงเป็นพวกพล็อตบางจุดที่ยังรู้สึกว่าขยี้ไม่สุดครับ การเล่าปมในอดีตโดยเฉพาะของเจสนี่ผมคิดว่าถ้านำเสนอโดยการเน้นเป็นคัตซีนย้อนอดีตให้เห็นชัด ๆ ให้คนเล่นได้รับรู้เหตุการณ์ตรง ๆ กับตาก็น่าจะดีกว่า เพราะในเกมนี่ทำออกมาแค่เป็นการยืนคุยกันของตัวละครแค่นั้นเอง มันเลยทำให้ไม่ค่อยรู้สึกถึงน้ำหนักของความผิดบาปในใจที่มีเท่าไรนัก แถมตัวละครสำคัญบางตัวก็หมดบทไปแบบงง ๆ เหมือนกัน

ที่สำคัญคือตอนจบนี่ก็จบแบบ อ้าว จบละ ผมยังงง ๆ อยู่เลยว่าเรื่องราวมันคลี่คลายในตัวได้ยังไง จะว่าเราพลาดคัตซีนไปหรือไม่ได้เก็บเอกสารอะไรมาก็เหมือนจะไม่ใช่ แต่เกมมีฉากจบ 3 แบบด้วยกัน ก็เป็นไปได้ว่าแต่ละแบบอาจจะทำให้ได้รับรู้อะไร ๆ ในแง่มุมที่ต่างกันนั่นล่ะครับ


เกมเพลย์

ในส่วนของเกมเพลย์นี่ เอาเข้าจริงต้องบอกว่าค่อนข้างสนุกกว่าที่คิดเอาไว้ทีแรกครับ คือเดิมทีเลยผมเข้าใจว่าตัวเกม The Chant น่าจะมีลักษณะเหมือนเกมสยองขวัญสไตล์เล่นซ่อนแอบ แต่กลายเป็นว่าตัวเกมเองมีระบบคอมแบทที่ก็เล่นได้เพลิน ๆ อยู่ ถึงเกมจะไม่ได้รวดเร็วฉับไวแบบเกมแอ็กชันไฮสปีด แต่การเคลื่อนไหวของเจสเองก็ไม่ได้ช้าจนหงุดหงิดครับ คืออยู่ในวิสัยของคนธรรมดาทั่วไปที่ไม่ได้ฝึกฝนอะไรมาเป็นพิเศษนั่นล่ะครับ

ระบบพื้นฐานของเกมคือเราจะมีเกจพลังด้วยกันสามเกจ นั่นคือเกจจิตใจ (Mind) เกจร่างกาย (Body) และเกจวิญญาณ (Spirit) ซึ่งทั้งสามเกจนี้จะมีความสำคัญพอ ๆ กัน เกจจิตใจนี่จะค่อย ๆ ลดถ้าคุณไปอยู่ในพื้นที่ซึ่งโดนปกคลุมด้วยเดอะกลูม (The Gloom) ซึ่งหากคุณย่างเท้าเข้าไปก็จะได้เห็นสิ่งมีชีวิตต่างมิติต่าง ๆ มากมาย และถ้าลดจนหมดคุณจะอยู่ในอาการสติแตก ภาพจะกลายเป็นขาวดำและจะต้องหาทางหนีไปยังเซฟโซนเพื่อสงบสติอารมณ์ไม่งั้นจะไม่สามารถทำอะไรได้เลย

พอเป็นเกจร่างกาย ก็ตามชื่อเลยครับเพราะนี่คือพลังชีวิตของคุณและจะลดเมื่อโดนโจมตีทางกายภาพ หากลดหมดก็คือเกมโอเวอร์ ส่วนเกจวิญญาณก็จะเปรียบเหมือนเกจพลังพิเศษที่จะทำให้คุณใช้ความสามารถอันมีประโยชน์ต่าง ๆ ได้ เช่นทำให้ศัตรูช้าลง บ้างก็เป็นการผลักศัตรูออกไป หรือไม่ก็เรียกหินแหลมออกมาโจมตีรอบตัว อะไรทำนองนั้น โดยที่คุณสามารถยืนทำสมาธิเพื่อใช้เกจวิญญาณไปฟื้นฟูเกจจิตใจได้ ซึ่งกิมมิคอะไรแบบนี้มันทำให้เกมดูมีเอกลักษณ์ในตัวเองดีไม่หยอก

ระบบต่อสู้ของเกมนี่คือเน้นสู้ประชิดเป็นหลักเลยครับ ไม่มีปืนหรืออาวุธระยะไกลให้ใช้ (ถ้าไม่นับพวกอาวุธสำรองที่เอาไว้ปา) และอาวุธที่คุณมีก็แหวกแนวจากเกมสยองขวัญอื่น ๆ มาก เพราะคุณจะต้องไปเก็บพวกกิ่งไม้หรือไม่ก็พืชพรรณบางชนิดเอามาคราฟท์เพื่อทำเป็นอาวุธไว้โจมตี ซึ่งอาวุธที่ว่านี่ก็เป็นพวกไม้หอมมัดแท่งที่น่าจะเคยเห็นผ่านตากันมาบ้างเวลาที่มีการทำพิธีทางจิตวิญญาณพวกนั้นนั่นล่ะครับ

ขนาดอาวุธสำรองยังเป็นของที่มีความหมายด้านไสยศาสตร์หรือพิธีกรรมทางจิตวิญญาณทั้งนั้นเลย เช่นกระปุกเกลือมั่งล่ะ ไม่ก็พวกน้ำมันหอมระเหยมั่งล่ะ ซึ่งของที่นำมาคราฟท์ได้ก็จะมีจำกัดเหมือนกัน เกมเลยบีบให้คนเล่นต้องรู้จักบริหารทรัพยากรในระดับหนึ่ง กระนั้นผมเล่นนอร์มอลจบก็ไม่เจอช่วงที่รู้สึกว่าไอเท็มไม่พอจนต้องหลบอย่างเดียวนะ ยังสามารถสู้ได้ทุกฉากอยู่

อย่างที่ผมบอกไปก่อนหน้านี้ว่าคอมแบทของเกมนี้คือเล่นได้เพลิน ๆ ถ้าจะให้อธิบายคือผมว่ามันคล้ายระบบสู้ประชิดของเกม Tomb Raider เวอร์ชันรีบูตล่าสุดครับ คือเราต้องกำไม้หอมมัดแท่งพวกนี้แหละเข้าไปหวดศัตรู แต่พอจังหวะที่ศัตรูโจมตีเราก็จะกดหลบได้ ซึ่งถ้ากดรอบเดียวก็จะเป็นการหลบเอี้ยวตัวเล็กน้อย แต่ถ้ากดอีกครั้งเจสก็จะกึ่งโผลงไปกับพื้น เหมือนเป็นการหลบในจังหวะเข้าตาจน โดยที่บรรดาไม้หอมมัดแท่งสามแบบที่เราทำได้ ก็จะใช้ได้ดีกับศัตรูต่างประเภทกันไป (แต่ถึงสุดท้ายจะแบบไหนก็ตีตายได้หมดอยู่ดีน่ะนะ)

เกมนี้มีระบบการอัปเกรดตัวละครแบบเบสิคอยู่ด้วยเหมือนกัน ซึ่งการที่คุณจะอัปสกิลไหนได้คุณจำเป็นต้องเก็บ EXP ที่เกี่ยวข้องก่อน บางสกิลอาจต้องการ EXP ด้านจิตใจ บางสกิลต้องการด้านร่างกาย และบางสกิลอาจต้องใช้สองด้านผสมกัน และเมื่อ EXP ถึงแล้วคุณก็ค่อยไปหาไอเท็มกระปุกคริสตัลปริซึมมาใช้เพื่ออัปสกิลนั้น ๆ อีกทีหนึ่ง

ส่วนวิธีการได้ EXP ก็เข้าใจง่ายครับคืออาศัยการกดใช้ไอเท็มที่เป็นการฟื้นฟูเกจที่เกี่ยวข้องบ่อย ๆ (ซึ่งก็พูดปุ๊บน่าจะเก็ตกันปั๊บอย่างลาเวนเดอร์งี้ ขิงงี้) หรือไม่ก็เลือกตอบคำถามในบทสนทนาด้วยตัวเลือกที่สอดคล้องกับเกจนั้น ๆ ที่เราต้องการ กระทั่งการเก็บเอกสารอ่าน lore ของเกมก็ให้ EXP เหมือนกัน

จุดหนึ่งที่ผมคิดว่าเกมทำออกมาได้สนุกอยู่ก็คือการสำรวจฉากครับ เกมนี้ดีไซน์ออกมาไม่ใช่โอเพนเวิลด์และเส้นทางที่เราจะต้องไปก็มีการกำหนดเอาไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า ณ ช่วงนั้น ๆ ของเนื้อเรื่องคุณต้องไปไหน แต่ว่าในแต่ละจุดที่เราไปก็มักจะมีเส้นทางให้เราซอกแซกได้ซึ่งก็มักจะพาไปเจอไอเท็มดี ๆ หรือไม่ก็เอกสารให้อ่านเพิ่มเติม เรียกได้ว่าการพยายามสำรวจและออกนอกลู่นอกทางมักจะให้รางวัลแก่คนเล่นเสมอครับ ถึงกระนั้นสิ่งที่แย่อย่างหนึ่งก็คือเกมดันไม่มีแผนที่ให้ดู เพราะงั้นในบางฉากที่แอบกว้างหรือไม่ก็มีเส้นทางให้สำรวจเยอะนี่มันก็แอบชวนหลงได้อยู่

พัสเซิลนี่ก็เหมือนจะเป็นสิ่งหนึ่งที่อยู่คู่เกมแนวนี้อย่างแยกไม่ค่อยออก โดยสำหรับเกมนี้ตัวพัสเซิลนี่มักเป็นพัสเซิลที่อาศัยการสังเกตสภาพแวดล้อมมากกว่าจะเป็นการตีความปริศนาจากบทกลอนหรือบทกวีอะไรเทือก ๆ นั้นครับ บางทีคำตอบของพัสเซิลก็เขียนอยู่บนกำแพงนั่นล่ะ แค่ต้องมองให้ออกเท่านั้นเอง

ซึ่งก็อย่างที่ผมบอกไปว่าเกมมีฉากจบ 3 แบบ มันก็ขึ้นอยู่กับว่า EXP ด้านไหนของคุณเยอะที่สุดในการเล่นรอบนั้น ๆ คุณก็จะได้ฉากจบตามนั้นครับ หากจะมีสิ่งที่ผมแอบเสียดายก็คือเกมมันค่อนข้างสั้นเหมือนกัน เพราะผมเล่นจบรอบแรกแบบนอร์มอลก็ใช้เวลาราว 6 ชั่วโมงเอง แถมไม่ใช่การเล่นแบบรีบเล่นจบด้วยนะ แต่พยายามสำรวจซอกแซกหาของเท่าที่จะทำได้แล้ว

อ้อ แล้วถ้าจะถามว่าเกมนี้มันสยองอะไรขนาดนั้นไหม ส่วนตัวผมรู้สึกว่าก็ไม่ได้สยองอะไรขนาดนั้นครับ แต่อาจจะมีตั้งตัวไม่ทันบ้างเพราะเกมก็มักใช้มุกตุ้งแช่ศัตรูโผล่มาบ่อย ๆ ครับ แต่เรื่องบรรยากาศอะไรในเกมนี่ทำออกมาได้ดีเลยล่ะ


กราฟิกและการนำเสนอ

ในส่วนของกราฟิกนี่ก็เป็นอะไรที่ดูดีใช้ได้เหมือนกัน พวกพื้นผิวของตัวละครเวลาซูมใบหน้าให้เห็นเม็ดเหงื่อ หรือไม่ก็รอยเปื้อนจากเลือดอะไรต่าง ๆ นี่ทำออกมาดูละเอียดดี แต่สิ่งที่ผมชอบที่สุดก็คงเป็นพวกดีไซน์และธีมของสิ่งต่าง ๆ ในเกมครับ คือมันชัดเจนมากว่าทีมสร้างออกแบบมาโดยอ้างอิงงานศิลป์ในสไตล์ฮิปปี้มาเยอะมาก โดยเฉพาะบรรยากาศของเดอะกลูมที่มักเน้นความหลอน ๆ และล่องลอย แถมรูปลักษณ์ศัตรูบางประเภทก็ดูเหมือนเป็นพวกดอกไม้ที่พอรวมกับสีสันสว่างแสบตาเข้าไป มันก็คงคล้าย ๆ กับสิ่งที่บรรดาฮิปปี้น่าจะได้เห็นเวลาเสพยากันนั่นล่ะครับ (คิดว่านะ)


เพลงและเสียงประกอบ

เพลงและเสียงประกอบนี่ทำออกมาได้ดีเลยครับ มันช่วยเน้นบรรยากาศอึดอัดและไม่น่าไว้วางใจของตัวเกมออกมาได้ดี แต่ขณะเดียวกันมันก็ให้บรรยากาศแบบยุค 70s ด้วยเสียงสังเคราะห์ที่ชวนล่องลอยแบบประหลาด ๆ เหมือนกัน มันเลยออกมามีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครดี


สรุป

The Chant เป็นเกมแอ็กชันผจญภัยสยองขวัญที่สนุกและเล่นเพลินใช้ได้อยู่ และนำเสนอได้เป็นเอกลักษณ์ ติดแค่ว่าตัวเกมออกจะสั้นไปสักหน่อยแต่ว่าด้วยราคาเวอร์ชัน PS5 ที่ขายอยู่ตอนนี้ 1,380 บาท และราคา 1,099 บาทนี่ผมคิดว่าเป็นราคาที่สวยอยู่สำหรับคนที่อยากหาเกมเอาตัวรอดสยองขวัญที่ไม่เหมือนใครไปเล่นครับ

The Review

75% เกาะลึกลับหลอกลวงหลอน

นี่คือเกมแอ็กชันผจญภัยสยองขวัญที่มีดีไม่เบา แม้ตัวเกมจะสั้นไปสักหน่อยแต่ก็สามารถเล่นได้สนุกและเพลินตั้งแต่ต้นจนจบได้

75%

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ข้ามไปยังทูลบาร์