Games Reviews

Evil West – รีวิว [REVIEW]

โดย G-jang

Evil West – รีวิว [REVIEW]

*ขอขอบคุณ Ripples Thailand สำหรับโค้ดรีวิวมา ณ โอกาสนี้ครับ
**รีวิวนี้เล่นบน PlayStation 5

Evil West นี่เป็นเกมที่เรียกได้ว่าค่อนข้างประหลาดเอาเรื่องครับ ด้วยหน้าเกมที่โดดเด่นใช้ได้ตั้งแต่แรกเห็นด้วยการจับเอาสื่อบันเทิงสองแนวมาผสมเข้าด้วยกันนั่นคือคาวบอยและแวมไพร์ จนเกิดมาเป็นเกมแอ็กชันที่มีเอกลักษณ์ในตัวเองใช้ได้ในระดับหนึ่ง เพราะคุณต้องรับบทเป็นคาวบอยที่ออกไล่ล่าและฆ่าเหล่าแวมไพร์ให้เรียบนี่ล่ะครับ

ส่วนลักษณะเกมจะเป็นแบบไหนยังไงนั้น เชิญอ่านต่อไปกันเลย


เนื้อเรื่อง

Evil West ดำเนินเรื่องราวในสหรัฐอเมริกาช่วงยุคที่รู้จักกันในชื่อว่า Wild West หรือตะวันตกแดนเถื่อน ซึ่งเหตุการณ์ในเกมเกิดขึ้นช่วงยุคของประธานาธิบดี Grover Cleveland ที่แม้ว่า Civil War อันเป็นสงครามภายในระหว่างฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้จะจบลงไปนานแล้ว แต่ทว่าสหรัฐอเมริกายังคงเผชิญกับสงครามอันไม่เปิดเผยที่ดำเนินต่อไปโดยที่สาธารณชนส่วนใหญ่ไม่ได้รับรู้ นั่นคือสงครามระหว่างมนุษย์กับเหล่าแซนกวิซูจ (Sanguisuge เป็นคำอังกฤษยุคกลางแปลว่าปลิงหรือตัวดูดเลือด) ที่แฝงตัวและคอยก่อภัยอันตรายกับมนุษย์เสมอมา

เพื่อเป็นการตอบโต้เหล่าแวมไพร์นั้น ฝั่งมนุษย์ได้มีการก่อตั้งองค์กรหนึ่งที่เรียกว่าสถาบันเรนเทียร์ (Rentier Institute) ขึ้นมาเพื่อต่อกร โดยเน้นการใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าในการรับมือและสังหารผีดูดเลือดให้สิ้นไป และผู้นำองค์กรก็คือวิลเลียม เรนเทียร์ (William Rentier) ผู้เป็นบิดาแท้ ๆ ของเจสซี เรนเทียร์ (Jesse Rentier) ตัวเอกประจำเกมนี้นั่นเอง

ในแง่ของเนื้อหาเกมนี่ มันสนุกเพลินแบบแปลก ๆ ดีครับ แต่ละบทให้ความรู้สึกเหมือนดูซีรีส์เป็นตอน ๆ ไปที่เจสซีจะต้องเดินทางไปที่นู่นที่นี่ตามจังหวะของเนื้อหาในช่วงนั้น ๆ ซึ่งก็แน่นอนว่ามีจุดหักมุมใส่เข้ามาเนือง ๆ ที่แม้ว่าจะไม่ได้รู้สึกว่ามันพลิกไปจากการคาดเดาอะไรมากมาย และไม่ได้มีอะไรลึกซึ้งจับใจ แต่มันก็สนุกในระดับเหมือนเวลาดูหนังแอ็กชันฮีโรนั่นล่ะครับ

บุคลิกลักษณะนิสัยของเจสซีก็ค่อนข้างมาตรฐานตัวเอกหนังแอ็กชันโบราณเลยคือเป็นพวกขาลุย ใจถึง ชอบลงมือทำมากกว่าพูดและติดจะใจร้อนนิด ๆ ซึ่งก็ยอมรับว่าบางฉากแอบน่ารำคาญไปบ้าง แต่รวม ๆ แล้วปฏิสัมพันธ์ของเจสซีกับตัวละครสมทบอื่น ๆ ก็ถือว่าทำออกมาได้โอเคและมีแบบฉบับที่น่าจะคุ้นเคยกันจากสื่อบันเทิงเรื่องอื่น ๆ กันมา ไม่ว่าจะตัวละครเจ้ายศเจ้าอย่างชอบชี้นิ้วสั่ง มีตัวละครคู่หูอาวุโส มีตัวละครหญิงที่เข้มแข็งสามารถรับมือกับสถานการณ์ตรงหน้าได้ มีตัวละครที่เก่งด้านเทคนิคแต่มักมีปัญหาเรื่องการวางตัวกับคนอื่น ฯลฯ ไดนามิกตัวละครนี่คือสิ่งที่คุ้นตากันมาก่อนแน่นอน แต่ก็อย่างที่บอกไปนั่นล่ะครับว่ามันเล่นได้เพลิน ๆ


เกมเพลย์

ตัวเกมเป็นแอ็กชันเกือบจะเพียว ๆ เลย รูปแบบการเล่นคือเราต้องเคลียร์แต่ละฉากในลักษณะที่ค่อนข้างเป็นเส้นตรง แต่บางจุดก็จะมีทางแยกเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เราไปสำรวจเพื่อเก็บเงินบ้าง เก็บไอเท็มบ้าง แต่ถึงแบบนั้นก็จะไม่มีการเลือกเส้นทางแต่อย่างใดเพราะหนทางที่จะไปเคลียร์ฉากได้นั้นมีเพียงเส้นทางเดียวครับ

ระบบการเล่นนี่ ถ้าจะให้อธิบายแบบเห็นภาพชัดเจนสุดก็คือมันเหมือนเล่น God of War (เวอร์ชันปี 2018 และ 2022) ในธีมคาวบอยสู้แวมไพร์ครับ ตัวเกมค่อนข้างเน้นหนักด้านการสู้ระยะประชิด (แต่ก็ยังใช้ปืนยิงได้อยู่) เพราะเจสซีจะใช้อาวุธหลักเป็นสนับมือที่ประจุพลังไฟฟ้าไว้ฆ่าล้างเหล่าตัวเห็บ (ในเกมจะเรียกหยามผีดูดเลือดเป็นเห็บ) ดังนั้นการโจมตีศัตรูแต่ละตัวมักจะเป็นการเอากำปั้นไปกระแทกใส่หน้าพวกมันซะเป็นส่วนใหญ่ โดยอาวุธปืนต่าง ๆ รวมถึงระเบิดจะโดนจัดหมวดไปเป็นอาวุธเสริม ที่พอใช้แล้วก็จะต้องรอคูลดาวน์ก่อนจะสามารถใช้ได้ใหม่แบบที่ไม่ต้องกังวลกระสุนจะหมด หรือระเบิดจะเกลี้ยง

ตัวเกมนั้นดูจะค่อนข้างเรียบง่ายเมื่อมองผิวเผิน แต่พอยิ่งเล่นไปและเราได้อุปกรณ์หรือได้ความสามารถใหม่มาเรื่อย ๆ ก็จะได้พบว่าเกมนี้ให้อิสระในการผสมผสานการโจมตีและใช้อุปกรณ์มากเลยทีเดียวครับ คุณอาจจะงัดศัตรูลอยแล้วยิงซ้ำระหว่างที่มันลอยอยู่ด้วยปืนลูกโม่ หรืออาจจะต่อยเสยแล้วกระแทกมันให้พุ่งไปโดนศัตรูตัวอื่น หรืออาจจะหลบการโดนรุมโจมตีโดยใช้ไฟฟ้าพุ่งหาศัตรูที่อยู่ไกลออกไป ฯลฯ ทั้งหมดนี่มันทำให้การสู้แต่ละรอบสนุกและพลิกแพลงได้เยอะ

อีกประการหนึ่งก็คือรูปแบบศัตรูที่ค่อนข้างหลากหลายใช้ได้ ซึ่งก็มีวิธีการรับมือที่ค่อนข้างต่างกันไป เลยทำให้การเจอศัตรูในบางรอบจะค่อนข้างอีรุงตุงนังเหมือนกันเวลาเจอศัตรูหลายประเภทมาพร้อม ๆ กัน แต่ถ้าถามว่ายากไหม โดยส่วนตัวผมรู้สึกว่าตัวเกมอยู่ในระดับที่กำลังดีครับ แม้ว่าช่วงหลังนี่ศัตรูจะมารอบนึงทั้งหมู่บ้านก็เถอะแต่เครื่องไม้เครื่องมือที่เราใช้รับมือมันก็เยอะตาม เลยไม่ค่อยรู้สึกว่ามันเป็นปัญหาเท่าไรนัก

เกมนี้มีระบบ RPG เข้ามานิด ๆ ในแง่ของการอัปเกรดอาวุธของเจสซีโดยใช้เงินที่สามารถอัปได้ตลอดเวลา ไม่ต้องแวะหาเวิร์กช็อปที่ไหน กับอีกอย่างหนึ่งคือการอัปเกรดความสามารถที่จะต้องใช้ค่าสกิล ซึ่งก็มักได้มาเมื่อตอนเลเวลอัปครับ โดยพวกความสามารถแต่ละอย่างนี่ก็ใส่มาแบบคิดมาดีใช้ได้ ไม่มีอะไรที่รู้สึกว่ามันไร้ประโยชน์และมันช่วยให้คุณเอาตัวรอดได้ดีขึ้นจริง ๆ

ในแง่ของการดีไซน์เกมนี่ Evil West มีการบอกใบ้ในแง่ของงานภาพเยอะอยู่ทั้งเกมครับ จุดที่คุณจะสำรวจได้นั้นจะมีการไฮไลท์วัตถุขึ้นมาชัด ๆ การโจมตีไหนของศัตรูที่คุณสามารถเตะเพื่อขัดจังหวะได้ตัวมันก็จะเรืองขึ้นมาให้เห็น หรือศัตรูระยะไกลที่เผยจุดอ่อนก็จะมีวงกลมขึ้นแจ้งให้คุณยิงสกัด ฯลฯ ดังนั้นถ้าคุณเข้าใจระบบเกมเบื้องต้นแล้ว จะค่อนข้างเล่นได้ราบรื่นอยู่ แต่ส่วนใหญ่บางทีถ้ามีพลาดก็เพราะเกมมันค่อนข้างเร็ว หรือไม่ก็ศัตรูเยอะจนอีรุงตุงนังนั่นล่ะครับ

หากจะมีจุดนึงที่ผมขัดใจในแต่ละฉากก็คือ หลายครั้งที่เกมมักมีเส้นทางให้เราเลือกเดิน ซึ่งทางหนึ่งก็คือทางไปต่อและทางอื่น ๆ ก็อาจไปเก็บไอเท็มหรือเก็บเงินอะไรต่าง ๆ แต่พอเวลาที่เราดันเลือกเส้นทางดำเนินเรื่องต่อบางทีเกมไม่ยอมให้ย้อนกลับทางเก่าหลังจากที่คุณรู้ตัวว่าอาจจะพลาดอะไรไปนี่ล่ะครับ ถ้าถามว่าเกมนี้มีอะไรที่พลาดแล้วพลาดเลยถาวรไหม? ไม่มีครับเพราะเราสามารถย้อนเล่นฉากเก่าได้ตลอด และมีนิวเกมพลัสหลังจบด้วย แต่ยังไงมันก็ไม่สะดวกเท่าสามารถเดินย้อนทางเก่าได้ทันทีเลยอยู่ดีครับ

อ้อ สิ่งที่ดีอย่างหนึ่งคือเกมนี้ไม่ได้กั๊กในแง่ของความแหวะและความเลือดสาดครับ ยิ่งคุณโจมตีศัตรูเยอะจนมันใกล้ตายเนื้อหนังมันก็จะยิ่งถลอกปอกเปิกให้เห็น บางทีก็แหว่งจนแทบจะเหลือแต่ซี่โครงด้วย และพวกท่า finisher สำหรับปลิดชีพต่าง ๆ ก็ดุดันรุนแรงดีไม่เบา ซึ่งก็สมกับธีมของเกมที่เป็นการไล่ล่าฆ่าแวมไพร์นั่นล่ะครับ


กราฟิกและการนำเสนอ

กราฟิกของเกมนี้นี่มีทั้งจุดที่ผมชอบและจุดที่ไม่ชอบครับ พวกฉากคัตซีนต่าง ๆ นี่ทำออกมาดูดีใช้ได้และสวยงามอยู่ สีหน้าท่าทางตัวละครก็ทำออกมาได้ไม่เลว แต่พอเป็นฉากเล่นนี่ผมคิดว่าทีมงานพยายามคุมโทนสีในแต่ละฉากให้มันเป็นโทนเดียวกันมากเกินไป ผลคือมันทำให้มองอะไร ๆ ได้ค่อนข้างยากเอาเรื่อง บางฉากที่เป็นช่วงเย็น โทนสีก็จะออกแดงส้มทั้งฉาก พอเป็นฉากที่มีหิมะก็สีออกโทนฟ้าซะหมด แล้วพอเป็นหนองบึงก็เขียวไปทุกสิ่งอัน ผมเดาว่านี่อาจจะเป็นแนวทางงานศิลป์ของเกม แค่ว่าสำหรับผมแล้วมันรู้สึกรำคาญสายตามากกว่าจะรู้สึกว่ามันเจ๋งน่ะครับ

อีกเรื่องนึงก็คือเรื่องความคมชัดระหว่างเล่นครับ ผมเลือกการแสดงผลแบบ performance เพื่อเน้นเฟรมเรตเป็นหลัก ผลที่ได้ก็คือตัวเกมไหลลื่นดี ไม่มีอะไรสะดุดให้เห็น แต่ก็รู้สึกได้เลยว่าโมเดลตัวละครมันคุณภาพดรอปจากคัตซีนชัดเจนมาก อีกอย่างคือภาพจะออกเบลอ ๆ ทั้งเกมแม้กระทั่งตอนที่ไม่ได้อยู่ในฉากเคลื่อนไหวก็เถอะ ยิ่งบางจุดนี่ถ้าเข้าไปดูใกล้ ๆ จะเห็นชัดเลยว่าเท็กซ์เจอร์มันความละเอียดต่ำ ซึ่งก็น่าเสียดายเพราะผมคิดว่าทีมงานน่าจะทำได้ดีกว่านี้ครับ ตัวเกมอย่างที่เป็นในตอนนี้เอาในแง่งานภาพคือรู้สึกเหมือนยังไม่สมเครื่องยุคปัจจุบันเท่าไรนัก


เสียงประกอบ

ในแง่การออกแบบเสียงนี่ผมรู้สึกว่าพวกเสียงเอฟเฟกต์อาวุธหรือตอนต่อสู้นี่ทำออกมาได้หนักหน่วงสะใจดีใช้ได้ พวกเสียงตอนเราต่อยศัตรูนี่เสียงแน่นตุบตับ และเวลาซัดเหล่าผีดูดเลือดจนกลายเป็นกองเนื้อเลือดกระจายก็ให้เสียงที่รู้สึกแหยะไม่เบา โดยรวมแล้วงานเสียงถือว่าใช้ได้เลยล่ะครับ พวกงานพากย์ของแต่ละตัวละครก็งานดีไม่มีจุดไหนให้ติอะไรเท่าไรนัก


สรุป

Evil West นี่เป็นเกมแอ็กชันลุยแหลกเกือบจะเส้นตรงที่ระบบคอมแบทเรียบง่ายแต่สนุกมาก ถ้าจะบอกว่าคอมแบทแบกไว้ทั้งเกมเลยก็คงไม่ใช่เป็นการพูดเกินเลยครับ จุดที่คิดว่ายังสามารถปรับปรุงได้อีกหลัก ๆ เลยก็ไม่พ้นเรื่องกราฟิกที่มันยังดีกว่านี้ได้แน่ ๆ ล่ะเมื่อเทียบกับเกมอื่น ๆ ในแนวเดียวกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าคุณเล่น God of War Ragnarok แล้วยังอยากหาเกมที่มีระบบคอมแบทคล้าย ๆ กันล่ะก็ Evil West ตอบโจทย์คุณได้ครับ

Evil West จำหน่ายบน PlayStation Store ในราคา 2,022 บาท และบน Steam ในราคา 1,190 บาท

The Review

75% คาวบอยเดือด เชือดแวมไพร์

Evil West คือเกมแอ็กชันที่ระบบต่อสู้สนุกเร้าใจ แม้ว่างานภาพจะยังต้องปรับปรุง แต่ภาพรวมที่ออกมานั้นเล่นเพลินไม่เบาและน่าจะถูกใจเกมเมอร์สายบู๊แน่นอน

75%

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ข้ามไปยังทูลบาร์