Reviews

One Piece Odyssey – รีวิว [REVIEW]

by Reviewer Ocelot

One Piece Odyssey – รีวิว [REVIEW]

รีวิว One Piece Odyssey

*ขอขอบคุณโค้ดรีวิวจาก Bandai Namco Entertainment Asia มา ณ โอกาสนี้ครับ

**รีวิวนี้เล่นบน PlayStation 5

มหากาพย์ครั้งนี้คืออะไร?

แก่นของเนื้อเรื่องใหม่ในOne Piece Odyssey ก็ยังขาย “ความรักในพวกพ้อง” ตามแนวทางที่ One Piece เป็นมาตลอด ถ้าสิ่งนี้ยังมีผลต่อหัวใจของคุณอยู่ เนื้อเรื่องในส่วนของอาดิโอและริมสองตัวละครใหม่ก็ถือว่าอยู่ในระดับพอใช้ได้ครับ ถึงบทบาทของทั้งสองคนจะไม่ได้มีสัดส่วนมากเท่ากับการผจญภัยทั้ง 4 แต่มันก็ทำได้ดีในแง่ของการสื่อสารแก่นเรื่องที่ว่าไป

ส่วนคนที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อินกับ One Piece ในแง่ของการขายเรื่องมิตรภาพพวกพ้องแล้ว ก็คงไม่ได้แคร์อะไรกับสองตัวละครนี้มากนัก แต่คงไปตื่นตาตื่นใจกับบทบาทของพวกกองทัพเรือ การได้เห็นพลังบัสเตอร์คอลล์อะไรพวกนี้มากกว่า ซึ่งในเกมก็ไม่ได้มีให้เห็นมากมายเท่าไร

ส่วนเนื้อเรื่องที่เกมเน้นขายจริง ๆ ก็ยังเป็นการผจญภัยหลักทั้ง 4 คือ อลาบาสต้า วอเตอร์เซเว่น มารีนฟอร์ด และเดรสโรซ่า แต่การเล่าใหม่ครั้งนี้ไม่ใช่การเดินเรื่องซ้ำ มันมีความพิเศษอย่างหนึ่งก็คือ เรื่องมันปูมาว่าพลังของ ริม สามารถช่วยให้พวกลูฟี่ย้อนกลับไปผจญภัยในความทรงจำที่เคยผ่านมาแล้วได้ แต่เนื่องจากมันเป็นความทรงจำ พวกรายละเอียดเหตุการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ มันก็จะมีเปลี่ยนแปลงไปบ้าง พูดง่าย ๆ ว่ามันจะเป็นเรื่องราวในอีกเวอร์ชันนึงที่ไม่เหมือนกับต้นฉบับซะทีเดียว

แล้วมันก็จะไปตอบโจทย์แฟนตาซีบางอย่างของแฟน ๆ เช่น ถ้าลูฟี่พาพวกลูกเรือทั้งหมดไปร่วมในสงครามมารีนฟอร์ดหลังจากผ่าน 2 ปี ของการฝึกหนักแล้ว ผลลัพธ์มันจะเป็นยังไง จะพอยันกับสามพลเอกได้มั้ย มันก็ฟังดูน่าสนใจดีและให้ความรู้สึกติดตามขึ้นมาหน่อย อย่างน้อย ๆ เราได้รับรู้ความรู้สึกนึกคิดของพวกลูฟี่ต่อเหตุการณ์สำคัญผ่านสายตาที่ลูกเรือทั้งหมดเติบโตขึ้นแล้ว

แต่ไอ้ความรู้สึกเหล่านี้ถ้าคุณไม่ได้อินกับเรื่องราว ตัวละครในมังงะ หรือแอนิเมชันมาก่อน คุณจะได้รับไอ้ความรู้สึกแบบนี้มั้ย? บอกเลยว่า ไม่ หรืออาจจะได้แต่ว่าก็น้อยมากจริง ๆ ถึงในเกมจะมีการเล่าสรุปเรื่องราวที่เกิดขึ้นในมังงะสำหรับผู้เล่นใหม่ให้ด้วย แต่มันก็รวบรัดและคร่าว ๆ มาก ผมมองไม่เห็นทางเลยว่าคนที่อยากติดตาม One Piece หน้าใหม่ ๆ จะอินได้ยังไง มันเหมือนไอ้เนื้อเรื่องย้อนอดีตบทใหญ่ 4 บท มันทำมาเพื่อแฟนเซอร์วิสคนติดตาม One Piece อยู่แล้ว แค่นำเสนอมุมมองใหม่ ๆ ในเหตุการณ์นั้น

ผมจะให้คำแนะนำว่า ถ้าคุณเป็นผู้เล่นที่ไม่ได้ติดตาม One Piece มาก่อน แล้วอยากดูบทสรุปของเนื้อเรื่องบทต่าง ๆ แบบแอนิเมชันสวย ๆ ผมว่าคุณไปเล่น One Piece มุโซ ดีกว่า เพราะเนื้อเรื่องตามทันมังงะที่สุด และเกมเพลย์ส่วนมุโซก็แอนิเมชันสวยและสนุกเหมือนกัน

นี่ยังไม่นับว่าน้ำหนักของเรื่องราวใหม่ในภาคนี้มันถูกด้อยค่าลงไปอีก เพราะธรรมเนียมที่ว่าเนื้อเรื่องนอกเหนือจากมังงะ มันแทบจะไม่นับเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเรื่องหลัก (Canon) เลย เรื่องราวของอาดิโอและริมมันเลยยิ่งกลายเป็นของที่คุณจะเสพก็ได้ ถ้าไม่เสพก็ไม่ได้ถือว่าคุณพลาดอะไรร้ายแรง

แน่นอนว่ากฎข้อนี้มันก็มีข้อยกเว้นบางอย่าง เช่น กระแสความนิยมของ One Piece: Film Red ที่ดังมาก ๆ อาจจะทำให้ตัวละครอย่าง อูตะ ไปมีตัวตนจริงในเนื้อเรื่องเลยก็ได้ มันเป็นการตลาดที่บอกตามตรงว่าผมก็ไม่เห็นด้วย เพราะสุดท้ายมันสร้างความสับสนให้คนติดตามซีรีส์ว่าเนื้อหาไหนมันถูกนับหรือไม่ถูกนับเป็นเนื้อเรื่องหลักกันแน่

แต่ถามว่าเรื่องราวของ อาดิโอ กับ ริม มันจะสร้างกระแสสูงจนไปเทียบเท่าตัว อูตะ ในภาพยนตร์รึเปล่า ผมว่าห่างไกลเลยครับ นี่ก็อาจจะเป็นการผจญภัยนอกเส้นทางหลักของลูฟี่ที่อาจจะโดนลืมไปตามกาลเวลา

ว่ากันเรื่องโลกและการสำรวจ

ในแง่ของเฟสการสำรวจ ผมได้บอกไปในพรีวิวเดโมที่ได้ลองเล่นแล้วว่ามันค่อนข้างจะน่าเบื่อ ซึ่งพอมาได้เล่นเกมตัวเต็มผมก็พอจะนิยามไอ้ความน่าเบื่อตรงนี้ได้ดียิ่งขึ้นว่ามันจืดจางยังไง ทั้ง ๆ ที่คอนเสปในเฟสสำรวจของเกมมันมีศักยภาพแอบ ๆ อยู่นะ ก็คือลูฟี่และบรรดาลูกเรือแต่ละคนจะมีความสามารถพิเศษในการสำรวจฉากแตกต่างกันไป แล้วก็ออกแบบมาให้เข้ากับความเป็นตัวละครนั้น ๆ ด้วย ถ้าเลือกซันจิ คุณจะสามารถหาวัตถุดิบพิเศษในฉากเอามาทำเป็นอาหารได้ เลือกอุซปก็สามารถยิงรังนกจากที่สูงเพื่อเก็บไอเทมได้ หรือแม้แต่โรบินก็จะสามารถหาข้อมูลทางประวัติศาสตร์เพื่อเพิ่มความลึกของโลกในเกมภาคนี้ได้ด้วย

จากที่เล่าไปข้างบน เห็นชัดเลยว่าไม่ใช่ทีมงานเขาไม่ใส่ใจเรื่องเฟสการสำรวจ เข้าใจว่ามันมีความพยายามช่วยให้ผู้เล่นมีอะไรทำนอกจากชมฉากอย่างเดียว มอนสเตอร์ตามทางก็ออกแบบมาได้มีเอกลักษณ์ แต่ทำไมมันก็ยังน่าเบื่ออยู่? เหตุผลง่าย ๆ ข้อแรกเลยครับก็คืองานออกแบบเควสมันเชยไม่ว่าจะเป็นเควสหลักเควสรอง มันไม่ได้ช่วยเปิดมิติมุมมองด้านเนื้อเรื่องที่น่าสนใจของกลุ่มหมวกฟาง ผมยกตัวอย่างเควสในอลาบาสต้านิดหน่อย เช่น หาถั่วให้นกกิน เอาของให้คนที่หิวข้าวกิน แล้วสิ่งที่เราต้องลงมือทำอย่างมากก็คือเดินวนกลับไปมาแต่ละเขต ซึ่งถ้าไม่ใช้คำว่าน่าเบื่อก็ไม่รู้จะใช้คำไหนแล้ว

ในรีวิวนี้ผมจะเน้นอลาบาสต้าเยอะหน่อย เพราะมันเป็นแผนที่ใหญ่สุดของภาคนี้แล้วล่ะ มันเป็นทะเลทรายกว้างใหญ่ แห้งแล้ง ไม่ใช่แห้งแล้งแค่น้ำ แต่ยังแห้งแล้งในความสนุกด้วย เอาจริง ๆ ต่อให้จะเอาจุดนี้ไปขายเกมเมอร์ที่ไม่เคยอ่าน One Piece มาก่อน ผมว่าผลก็ไม่ต่างจากที่ผมรู้สึกมากเท่าไร จนอดที่จะคิดไม่ได้เลยว่าช่วงอลาบาสต้าอาจเป็นช่วงหนูลองยารึเปล่า พอทำท่าดูแล้วไม่น่าเวิร์กทีมงานก็ไปเปลี่ยนแนวทางทีหลัง พอไปวอเตอร์เซเว่นเห็นชัดเลยว่าโลกมันแคบลง แต่กลับสนุกกว่าเดิม แล้วไปสั้นลงอีกตอนมารีนฟอร์ดซึ่งผมว่าเป็นช่วงที่สนุกที่สุดแล้วในเกมนี้ กลายเป็นว่ายิ่งทำให้สั้นเท่าไร ยิ่งอาการดีขึ้น

เรื่องเควสก็เรื่องนึง แต่สิ่งที่ผมว่ามันร้ายแรงกว่านั้นคือการกำกับจุดทริกเกอร์ของเหตุการณ์ One Piece Odyssey มีการตัดฉากดำเข้าบทสนทนาที่พร่ำเพรื่อที่สุดเกมหนึ่งเท่าที่ผมเคยเจอมา มันมีหลายจุดในเกมมากที่ผมเดินไปยังไม่ทันถึง 5 ก้าว แม่งตัดเข้าฉากคุยอีกแล้ว แถมหลายครั้งบทสนทนามันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรมากด้วยนะ มันจะมาประมาณว่า “ลูฟี่ นายใช้แขนยางยืดไปเกาะห่วงตรงนั้นได้นะ” ซึ่งไอ้ห่วงนั่นไม่ต้องใช้ฮาคิสังเกต มันก็โชว์เด่นตรงหน้าแล้วครับ คือมันไม่ต้องบอกทุกสิ่งทุกอย่างก็ได้มั้ง ให้พื้นที่คนเล่นมันใช้ลูกตาเองบ้างก็ได้

ยังไม่จบแค่นี้ การกดเปลี่ยนตัวละครในเฟสสำรวจมันก็ต้องตัดฉากดำอีก แล้วบางเส้นทางเราต้องใช้โซโลฟันประตู บางเส้นทางเราต้องใช้ชอปเปอร์มุดเข้าไป จนท้าย ๆ เรื่องผมตัดสินใจไม่สำรวจอะไรนอกลู่นอกทางต่อเลย เพราะขี้เกียจจะมานั่งจอดำไว้ทุกข์เปลี่ยนตัวไป ๆ มา ๆ

ผมไม่รู้ว่ามันเป็นความตั้งใจ หรือ มันเป็นข้อจำกัดด้านงบ แต่มันจะดีกว่ามั้ยถ้าไม่ต้องใส่จุดตัดฉากดำเข้ามาขนาดนี้ บางบทสนทนาถ้ามันไม่สำคัญจริง ๆ ก็ให้ขึ้นกล่องบทสนทนาในระหว่างเดินอยู่ก็ได้

แล้วที่ผมไม่เข้าใจเลยก็คือ ทำไมเกมไม่สามารถทำระบบเช็คพอยต์แบบเกมทั่วไปในยุคนี้ทำกัน One Piece Odyssey ทำเหมือนเกมที่เดินทางมาจากยุค PS2 แบบต้องบังคับผู้เล่นเซฟเองทุกครั้ง การตายครั้งนึงก็หมายถึงเกมโอเวอร์แล้วกลับไปเริ่มต้นจากที่เซฟไว้ใหม่ ซึ่งบอกตามตรงว่ามันสาหัสเอาเรื่อง

ระบบการต่อสู้

แล้วเราก็มาถึงส่วนที่ผมต้องยกให้เป็น เดอะ แบก ของเกมนี้จริง ๆ นั่นคือระบบต่อสู้แบบเทิร์นเบส ซึ่ง One Piece Odyssey อาศัยสูตรความเป็น JRPG ดั้งเดิม มาดัดแปลงเพิ่มระบบจุดอ่อนจุดแข็งเข้าไป เพิ่มระบบแยกพื้นที่กันสู้เข้าไป ซึ่งช่วยเติมลูกเล่นให้เราสามารถเลือกได้ว่าจะเคลียร์ศัตรูฝั่งเราก่อน หรือจะใช้ท่าโจมตีไกลไปช่วยเพื่อนอีกโซนหนึ่ง มันเป็นความคลาสสิคที่เรายังพยักหน้าให้มันได้อยู่ใน พ.ศ.นี้ แต่ที่มันดียิ่งไปกว่านั้นคือมันสวยครับ

อยากมอบมง อยากโยน One Piece ให้เหล่าแอนิเมเตอร์เบื้องหลังเกมนี้ เพราะแอนิเมชันทั้งการเคลื่อนไหวตัวละคร เอฟเฟกต์เสียงต่าง ๆ ไม่ว่าจะการเฉือนด้วยดาบของโซโล เสียงฟาดแข้งซันจิ ไปจนถึงหมัดคองกันยางยืดของลูฟี่ ทุกอย่างมันไม่ใช่แค่เคารพต้นฉบับ แต่มันยกระดับไปเหนือกว่านั้น มันคือภาพการต่อสู้ที่ One Piece ควรจะเป็นจริง ๆ ถ้ามีกราฟิกเกมระดับนี้

ถึงแบบนั้น มันก็มีจุดติในระบบการต่อสู้อยู่ก็คือ พอเราเล่นไปในช่วงต้นเกมเราอาจรู้สึกว่าพวกระบบแบ่งพื้นที่สู้ ระบบจุดแข็งจุดอ่อนจะทำให้เกมช่วงหลังซับซ้อนและใช้กลยุทธ์มากกว่าเดิม แต่มันจะไม่เป็นแบบนั้นครับ

พวกท่าไม้ตายต่าง ๆ ที่เราได้มาใหม่ตลอดการผจญภัยจะไม่ได้ทำให้การต่อสู้มีมิติขึ้น แต่ทำหน้าที่คล้ายมาแทนของเดิมเลย ประมาณว่าคุณจะไปใช้ท่าไม้ตายเก่า ๆ ทำไม ในเมื่อท่าใหม่ที่ปลดล็อคมามันตีได้แรงกว่า โจมตีเป็นหมู่อีกต่างหาก อาจยกเว้นบางตัวละคร เช่น นามิ ที่มีท่าสนับสนุน หรือ อุซปที่ใช้กระสุนพิเศษลดความสามารถฝ่ายตรงข้าม แต่ภาพรวมการต่อสู้มันก็คือเลือกตัวละครที่ศัตรูแพ้ทางมากดใช้ท่าโจมตีแรง ๆ ถ้าศัตรูดูตึงมือ ก็ให้พวกฝ่ายสนับสนุนไปยืนอยู่นอกพื้นที่ คอยบัฟ คอยฮีลให้พวกสายโจมตี ส่วนใหญ่กลยุทธ์มันก็มาจบประมาณนี้แหละครับ

แล้วพอพูดกันในเรื่องของบอส พอผ่านบอสไปสักสองสามตัว คุณจะเริ่มรู้สึกว่าพวกท่าโจมตีของบอสมันก็จำกัดอยู่ประมาณ 3-4 ท่า คือ ท่าโจมตีธรรมดา ท่าไม้ตายใส่เป้าหมายเดี่ยว ท่าตีเป็นวงกว้าง และท่าตีเป็นวงกว้างครอบคลุมทั้งสนาม มันจะมาแค่ประมาณนี้จริง ๆ ความท้าทายหรือความยากมันเลยอยู่ที่ความถึกและความตีแรงของบอส ถ้าใครอยากได้อะไรที่มันมากกว่านั้น ผมเกรงว่า One Piece Odyssey คงให้มากกว่านี้ไม่ได้

การแปลภาษาไทย

สำหรับของที่ดีอยู่แล้ว ผมก็ไม่มีอะไรให้พูดถึงมาก Bandai Namco คงเป็นค่ายที่มีความลงตัวด้านงานแปลภาษาไทยไปเรียบร้อยแล้ว การใช้ตัวอักษรกับ UX UI ดูกลมกลืนไม่ขัดตา

และสำหรับการผจญภัยครั้งนี้

One Piece Odyssey มีโลกที่ค่อนข้างกว้างใหญ่ โดยเฉพาะฉากอลาบาสต้า แต่นอกจากการเสพทิวทัศน์แล้ว เฟสการสำรวจกลับไม่ได้ให้อะไรมากไปกว่าเควสที่ค่อนข้างเชย ระบบเซฟที่เชย ตัวละคร NPC ที่หน้าตาเหมือนออกมาจากท้องแม่เดียวกันหลายสิบตัว และส่วนที่ต้องพูดจริง ๆ ว่าน่าเบื่อเลยก็คือการวางจุดตัดฉากดำเข้าบทสนทนาที่พร่ำเพรื่อ หรือ การเปลี่ยนตัวละครในช่วงสำรวจที่ไม่คล่องตัว สิ่งเหล่านี้ลดสเน่ห์ของการสำรวจโลกของ Odyssey ลงไปอย่างเห็นได้ชัด

แต่ในอีกด้านหนึ่ง เกมนี้ก็เดินตามสูตรการต่อสู้แนวเทิร์นเบส JRPG ที่หนักแน่น ระบบจุดแข็งจุดอ่อน การต่อสู้ต่างพื้นที่กัน ระบบใช้ท่าไม้ตายประสานดูเรียบง่ายและสนุก ถึงแม้ศัตรูและบอสจำนวนมากในเกมจะมีแพทเทิร์นการโจมตีซ้ำ ๆ และถ้าแกะให้ดี ระบบต่อสู้ก็ไม่ได้มีความลึกมากขนาดนั้น โดยเฉพาะช่วงท้ายที่ตัวละครหลักมีท่าโจมตีหมู่แบบเทพ ๆ กันเกือบหมด

ยังไงก็ตามทุกอย่างของการต่อสู้กลับออกมาดูดี ต้องขอบคุณทีมแอนิเมชันและทีมใส่เอฟเฟกต์เสียงที่ช่วยทำให้การออกท่าไม้ตายต่าง ๆ ไม่ว่าจะของกลุ่มลูฟี่ หรือ พวกศัตรูออกมาเท่ ดุดัน ไม่เกรงใจใครมาก ๆ ไม่ว่าท่านั้นจะเป็นท่าช่วงต้น กลาง หรือท้ายเกม คุณภาพของงานแอนิเมชันและเสียงไม่มีดรอปลงไปเลย

เวลาที่ใช้เล่นเกมนี้จนจบรวมแล้วประมาณ 20 กว่า ชั่วโมง ยังไม่นับรวมภารกิจช่วงหลังจบเกมด้วย นับเป็นผลงานที่มีคอนเทนต์มากสมราคา เพียงแค่ว่าใจคุณจะซื้อกับสิ่งที่ต้องเจอด้านบนไหวหรือเปล่า สำหรับผม One Piece Odyssey ก็เล่นเอาเพลิน ๆ ได้ครับ เล่นจบแล้วก็แล้วกัน

จุดเด่น

  • ระบบต่อสู้ที่เรียบง่าย แต่ดูหนักแน่นและสนุก
  • แอนิเมชันและเสียงเอฟเฟกต์การต่อสู้เข้าขั้นยอดเยี่ยมทั้งกลุ่มหมวกฟางและศัตรู
  • งานแปลภาษาไทยที่ได้คุณภาพ

จุดด้อย

  • เนื้อเรื่องเป็นการขายการผจญภัยเก่าที่เหล่าแฟนหน้าใหม่อาจไม่อิน
  • เฟสการสำรวจที่จืดชืด มีการตัดฉากดำไปมามากเกินจำเป็น
  • ระบบบันทึกความก้าวหน้าต้องเซฟด้วยตัวเองเท่านั้น

The Review

70% การผจญภัยที่ก็เล่นเอาเพลิน ๆ ได้ เล่นจบแล้วก็แล้วกัน

70%

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ข้ามไปยังทูลบาร์