Reviews

รีวิวความรู้สึกระหว่างเล่น Wild Hearts

by Reviewer Ocelot

รีวิวความรู้สึกระหว่างเล่น Wild Hearts

รีวิวความรู้สึกระหว่างเล่น Wild Hearts

*ขอขอบคุณ Electronic Arts Australia สำหรับโค้ดเพื่อการรีวิวครั้งนี้ด้วยครับ

**รีวิวนี้เล่นบน PS5

เพื่อความแฟร์ผมต้องขอออกตัวก่อน 2 เรื่องเลยครับว่า 1. ผมไม่ใช่แฟนซีรีส์ Monster Hunter เพราะฉะนั้นผมจะไม่ขอเปรียบเทียบระบบสองเกมนี้แบบเชิงลึก ผมรู้แค่ว่า Wild Hearts เอารากพื้นฐานมาจากซีรีส์ล่าแย้แน่นอนไม่มากก็น้อย และข้อ 2. ผมยังออกเดินทางในโลก Wild Hearts ไปยังไม่ถึงจุดจบเกม แต่เวลาที่ใช้ไปก็มั่นใจว่ามันมากพอจะมาบอกเล่าคอนเสป หรือ ไอเดียในภาพรวมที่เกมนี้มันต้องการจะสื่อสารไปถึงผู้เล่น

ในรีวิวนี้จะนับว่าเป็น Review in Progress และขอยังไม่เคาะคะแนนสรุปสุดท้ายครับ

Kemono ความพิโรธของธรรมชาติ

Wild Hearts ประกาศจุดขายตัวเองว่าเป็นเกมล่าสัตว์ประหลาดเหนือธรรมชาติแบบให้เราสวมบทนักรบแดนปลาดิบที่ใช้พลังพิเศษ ฉะนั้น ไฮไลต์ หรือ ตัวเอกของเกมก็ต้องเป็นพวกสัตว์ประหลาด (Kemono) และพลังพิเศษของเราอยู่แล้ว Wild Hearts ยึดจุดขายตรงนี้แน่นมาก ถ้าคุณคาดหวังจะได้ออกล่าอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอัน คุณจะได้สิ่งนั้นแน่นอน เพราะเกมนี้ดูท่าแล้วเขาไม่เน้นขายลูกกระจ๊อกนะครับ เน้นขายบอส หรือ Kemono เป็นหลักจริง ๆ

เรื่องที่มันสำคัญที่สุดคือ ความรู้สึกตอนได้ออกล่ามันเป็นยังไง จากเท่าที่ผมได้สู้มายอมรับอย่างนึงว่า Kemono แต่ละตัวค่อนข้างอึดจริง ๆ ซึ่งเกมไม่ได้ขึ้นแถบพลังชีวิตบอสให้เราดูนะครับ ที่พอจะเดาได้คือพลังโจมตีของเราในเกมนี้ส่วนใหญ่จะขึ้นเป็นหลักหน่วย เอาแรง ๆ ก็หลักร้อยกว่า เดาว่าพลังชีวิต Kemono ก็อาจราว ๆ หลักพัน บางตัวก็ใกล้เฉียดหมื่น

เพราะฉะนั้น ถ้าคุณใช้เวลาล้ม Kemono ตัวแรกสัก 30 นาที หรืออาจจะมากกว่านั้น ขอให้รู้ไว้เลยครับว่าเป็นเรื่องธรรมดา แล้วเวลามันจะสั้นลงเรื่อย ๆ ขึ้นอยู่กับว่าคุณจับทางจุดแข็งจุดอ่อน Kemono ตัวนั้นได้เร็วแค่ไหน รวมถึงความเชี่ยวในอาวุธและการใช้พลังจักรกลชักเชิด (Karakuri) ซึ่งมีบทบาทในการต่อสู้มากพอตัว

นอกจากอึดแล้ว Kemono ตัวนึงก็มีท่าโจมตีที่หลากหลายมาก ไม่ว่าคุณจะไปอยู่ด้านหน้า ด้านข้าง ด้านหลัง หรือใต้ท้องพวกมัน มันมีท่ารับมือคุณเสมอ แต่ละท่าก็เล่นเอาเลือดกบปากเลยล่ะ สิ่งที่จะทำให้คุณรอดนั้น เบสิกที่สุดคือการแดช การสไลด์ แต่ถ้าเอาเป็นงานเป็นการมากกว่านี้ก็คือการเสก Karakuri กำแพงยักษ์ มาป้องกัน ซึ่งถ้าใช้ถูกจังหวะจริง ๆ อย่างตอนบอสมันพุ่งมาแรง ๆ มันจะโหม่งกำแพงจนกระเด็นไปนอนเป็นผักชั่วคราว ให้เราเข้าไปจ้วงท้องมันแบบเต็มไม้เต็มมือ

แต่ถึงบอสจะอึดมาก มีท่าตีแรงและหลากหลาย เกมก็ไม่ได้อำมหิตกับผู้เล่นขนาดนั้น เพราะเราจะมีน้ำยาเติมพลังชีวิตเริ่มต้นถึง 10 มากกว่าเกมซีรีส์โซลส์ตั้งเยอะ แถมเรายังวิ่งเก็บเพิ่มในฉากสู้บอสได้ รวมถึงยังมีหุ่นจิ๋ว Tsukumo มาช่วยล่อความสนใจในเวลาคับขัน ปล่อยควันฮีลได้อีกต่างหาก เหตุผลที่ใส่ของพวกนี้เข้ามาก็คงเป็นความตั้งใจของทีมงานที่อยากให้เราได้ต่อสู้และเรียนรู้จากบอสให้นานที่สุด ซึ่งผมคิดว่าเป็นการจัดสรรที่เหมาะสมแล้ว ถ้าน้อยไปโอกาสถอดใจคงเยอะน่าดู

อีกสิ่งที่เป็นจุดขาย นอกจากการต่อสู้ ก็คือกระบวนการออกล่า Kemono ตัวนึง โดยเฉพาะพวกตัวยักษ์ ๆ มันจะมีกลิ่นเหมือนให้เราออกไปล่าสัตว์ในโลกจริงอยู่ เริ่มตั้งแต่เราต้องระบุพิกัดว่าพวก Kemono ที่เราจะล่าอยู่ที่ไหน ทำอาหารไว้กินบูสต์พลัง เตรียมอาวุธให้เหมาะจะสู้กับ Kemono ตัวนั้น พอมันบาดเจ็บแล้วหนีเราไปพื้นที่อื่น เราต้องรู้จักใช้เครื่องยิงเชือกห้อยตัวตามพวกมันไป (ซึ่งต้องอาศัยความเคยชินไปจนถึงเชี่ยวชาญแผนที่นั้นแบบทะลุปรุโปร่ง)

ความหลากหลายของ Kemono ในเกม ผมให้อยู่ในระดับที่ไม่น่าเกลียดครับ แต่ก็ไม่ถึงขั้นว่ามากมาย คุณจะได้เจอ Kemono ตัวที่เอาโมเดลเดิมมารียูสใหม่แน่นอน

พลัง Karakuri สิ่งที่บ่งบอกตัวตนของเกม

ถ้าจะหาอะไรที่เป็นลายเซ็นว่านี่คือ Wild Hearts ระบบ Karakuri ก็ดูจะเข้าเค้าสุดแล้วครับ การผจญภัยใน Wild Hearts จะเริ่มจริงจังเมื่อคุณสร้าง Karakuri ใหญ่ได้สัก 4-5 แบบไปแล้ว

ในตัวอย่างเกมเราจะเห็นพลังพวกนี้ในฐานะอุปกรณ์ช่วยต่อสู้ แต่ในเกมจริงเรายังสามารถใช้พลัง Dragon Karakuri สร้างอุปกรณ์อเนกประสงค์ที่จำเป็นได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการสร้างแคมป์ สร้างโต๊ะตีเหล็กทำอาวุธ สร้างเครื่องยิงเชือกเปิดเส้นทางลัด ถึงขั้นสร้างหอส่งสัญญาณระบุตำแหน่ง Kemono ในแผนที่ก็ทำได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นของจำเป็นทั้งหมดตอนเราเตรียมจะออกล่า

ทีมพัฒนาทำได้ดี ในแง่ของการเอา Karakuri มาผสมเข้ากับระบบต่อสู้ในเกม มันมีความหลากหลาย และใช้ง่ายกว่าที่คิด Karakuri หลายชิ้นยังเปิดโอกาสให้เล่นอะไรแผลง ๆ เยอะมาก อย่างแท่นยิงที่เราสามารถใส่อะไรลงไปให้ยิงก็ได้ แม้แต่ตัวเราเอง… รอดูตอนเกมเปิดให้เล่นจริงได้เลยครับ พวกคลิปเอาของแปลก ๆ ยิงใส่บอส มาเยอะแน่

ลูกเล่นการนำเสนอ Karakuri ในเกมที่ผมว่าเข้าท่ามาก คือเราจะปลดล็อค Karakuri รูปแบบใหม่ ๆ ได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในการต่อสู้กับบอส แล้วบอสมันใช้ท่าโจมตีบางอย่าง เช่น บินขึ้นฟ้า เกมจะให้เรากดปุ่มคล้าย QTE เพื่อปลดล็อค Karakuri รูปแบบใหม่มาใช้รับมือกับสถานการณ์ตรงหน้าเลย อารมณ์เหมือนตัวเอกของเราพลังมันตื่นขึ้นระหว่างการต่อสู้ ในกรณีที่เราเจอบอสกำลังบินเกมก็ให้เราเสกบ้องไฟพญานาคที่ปล่อยพลุไฟขึ้นไประเบิดจน Kemono มันร่วงลงมามึนอยู่บนพื้นเปิดโอกาสให้เราเข้าไปโจมตี

ว่าด้วยเรื่องคลังแสง

อาวุธนี้ในเกมนี้มีประมาณ 8 ชิ้นครับ ตอนเริ่มต้นผมจะได้ใช้ดาบคาตานะก่อน ส่วนอาวุธที่เหลือเราจะต้องไปปลดล็อกเอาเอง ผมขอพูดถึงอาวุธ 3 ชิ้น ที่ลองใช้ไปแล้ว คือดาบคาตานะ ร่มคมดาบ และธนูยักษ์

อาวุธแต่ละอย่างให้อารมณ์การต่อสู้ต่างกันชัดเจนเลย มีจุดเด่นและจุดด้อยต่างกันไป ดาบคาตานะจะมีการต่อคอมโบหลากหลายและมีเกจไว้ปลดปล่อยพลัง ถ้าอยากเล่นอะไรแบบเซฟ ๆ ใช้ความอดทนสูงหน่อยก็ไปสายธนู จะยิงแบบใช้ศรแรง หรือยิงรัวแบบหลายดอกก็เลือกเอาตามสถานการณ์ ส่วนร่มที่ดูไม่น่ามีพิษสง เอาเข้าจริงกลับเป็นอาวุธที่ผมชอบที่สุด เพราะร่มจะเน้นขายคนชอบสายแพรี่ มันตีเบา แถมจังหวะแพรี่ก็ต้องกดเป๊ะมาก แต่จุดเด่นของร่มคือมันจะมีเกจสะสม ยิ่งตีต่อเนื่องและกดแพรี่ได้มากเท่าไร เกจตรงนี้จะยิ่งมากขึ้น แล้วทำให้ร่มกลายเป็นอาวุธสุดสะใจที่มาพร้อมความแรงและรัว

สำหรับสายการอัปเกรดอาวุธและเสื้อผ้าก็ออกแบบมาแนวพื้นฐานทั่ว ๆ ไปครับ คือใช้พวกวัตถุดิบจาก Kemono กับของรายทางที่เราไปหามาได้ ข้อสังเกตผมก็คือสายการอัปเกรดอาวุธชิ้นนึงค่อนข้างเยอะ ทรัพยากรที่ใช้ก็ต้องไปหาเอาจาก Kemono เป็นหลัก ถ้าเราตีเวลาซะว่าการปราบสักตัวใช้เวลาอย่างน้อย ๆ 10 นาทีกว่า ๆ การจะอัปได้แต่ละช่องมันก็ใช้เวลาเยอะเหมือนกัน แล้วผมแอบรู้สึกว่า Stat ที่เราได้จากการอัปเกรดมันดูไม่ค่อยคุ้มค่าเท่าไร เช่น ให้แค่ค่าอัตราติดคริติคอลเพิ่ม 3% ดูท่าเกมอยากจะให้เราโฟกัสกับอาวุธที่เราถือเป็นเมนให้สุดก่อน แล้วค่อยไปตามเก็บอาวุธชิ้นอื่น ๆ ทีหลัง

โลกของ Wild Hearts

การแบ่งพื้นที่ในเกมนี้ไม่เชิงเป็น Open-World แบบสมบูรณ์ครับ มันจะแบ่งเป็นแผนที่มากกว่า เริ่มจากเบสิกก่อนเลยคือแผนที่ป่า แผนที่หมู่บ้าน แผนที่เกาะกลางทะเล แผนที่ที่เหมือนเกาะวิหารขนาดใหญ่ จุดที่ต้องให้คะแนนเลยก็คือ ในแต่ละแผนที่มีอะไรให้ทำเยอะ กว้างจนเดินขาลาก ที่สำคัญคือมันไม่ดูซ้ำซากครับ อย่างแผนที่ป่ามันจะทั้งส่วนที่เป็นเหมือนลานศาลเจ้า ส่วนวิหารในถ้ำ ไปจนถึงที่ราบสูงมองเห็นทะเล

ส่วนระบบ Fast Travel เกมนี้ ถ้าเป็นแผนที่หมู่บ้าน เขาปักหมุดจุดสำคัญให้หมด คือแทบไม่ต้องเดินเลย แต่ถ้าเป็นพวกแผนที่ที่เราต้องออกล่า เราจะ Fast Travel ได้เฉพาะกับแคมป์ที่เราไปเลือกพื้นที่ไว้เท่านั้น และมีค่อนข้างจำกัดครับ ส่วนใหญ่แผนที่พวกนี้มันจะเรียกร้องให้เรารู้จักใช้เครื่องยิงเชือกสร้างทางลัดมากกว่า พูดง่าย ๆ ว่าเกมมันกระตุ้นให้คนเล่นคิดกลยุทธ์ในการเดินทางด้วย

มีอะไรขัดใจตอนเล่น?

จุดที่ Wild Hearts น่าจะโดนเสียงด่าจากคนเล่นอย่างมีเอกฉันท์ร่วมกันเลยก็คือปัญหาที่ผมได้เขียนไปในพรีวิวตัวก่อนหน้า ปัญหาเรื่องมุมกล้องนั่นล่ะครับ เป็นประเด็นเรื้อรังเหมือนมะเร็งร้ายในเกมแนวนี้ที่ยังไม่มียารักษาแบบหายขาด หลายคนอาจจะสงสัยว่าถ้าแผนที่มันกว้างขนาดนั้น ยังมีปัญหาเกี่ยวกับมุมกล้องอีกเหรอ? มีจ้า มีเยอะด้วย

เท่าที่ได้ต่อสู้กับพวก Kemono มา พื้นที่ส่วนใหญ่มันก็ต่อสู้ในที่โล่งก็จริง ถึงจะสู้กันในถ้ำ แต่ถ้ำก็ใหญ่โตมาก ปัญหาของมุมกล้องมันมาจากสองเรื่องหลักครับ เรื่องแรกคือการโจมตีของพวก Kemono เอง ด้วยความที่ไอ้พวกนี้มันเป็นสัตว์ประหลาดยักษ์ที่มีพลังธรรมชาติ มันก็จะสามารถเสกธรรมชาติมาเปลี่ยนสภาพแวดล้อมได้ อย่างหมูป่ายักษ์ที่มีพลังพืช เมื่อถึงจุดที่มันเอาจริงแล้ว มันจะเรียกรากไม้ยักษ์ขึ้นมา หรือ Kemono ที่รูปร่างคล้ายหนูก็สามารถเรียกหนูตัวเล็ก ๆ ออกมาเป็นฝูงได้

สิ่งที่พวก Kemono ร่ายมานี่แหละครับ มันจะทำให้มุมกล้องเราถูกบังถ้าเราอยู่ในตำแหน่งไม่ดี และไม่ใช่แค่นั้น Kemono ที่ตัวใหญ่มาก พวกสายตีใกล้ก็มีโอกาสสูงที่เราจะไปติดใต้ท้องมัน แค่นี้ก็ไม่รู้เหนือรู้ใต้แล้ว พวกตัวขนาดกลางก็ใช่ย่อย เพราะส่วนใหญ่พวกนี้จะมีท่าโจมตีอย่างการพุ่งไปมา บางตัวพุ่ง 2-3 ที ติด ๆ กัน ตีจนตัวเรากระเด็นไปติดซากหินบ้าง ติดผนังบ้าง มันเลยเกิดเหตุการณ์แบบสู้ไปมา อ้าว ทำไมหน้าจอมีวอลเปเปอร์เป็นกำแพงไปแล้ว

ส่วนอีกเรื่องก็คือพวกวัตถุในฉาก อย่างซากอาคาร เสาหิน ของอะไรแบบนี้เป็นตัวขัดขวางการมองเห็นชั้นดีอยู่แล้ว พวก Karakuri ที่เราเสกมาก็เหมือนกัน แบบเสกกำแพงยักษ์ขึ้นมา พอกระโดดไปตีบอสอีกฝั่ง กำแพงดันบังตัวเรา เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นบ่อยเลยครับ

สรุป ถึงผมจะไม่สามารถแนะนำเกมนี้ในฐานะแฟน Monster Hunter ได้ แต่ถ้าพูดในฐานะเกมเมอร์คนนึง Wild Hearts เป็นเกมที่เหมาะกับคนที่พร้อมจะลงทุนเรื่องเวลาไปกับมัน แล้วความสนุกของเกมนี้มีอะไรอีก ถ้าเราไม่นับเรื่องการเอาชนะพวก Kemono? เท่าที่ผมรู้สึกได้ก็คือมันชวนให้เราทดลองอะไรใหม่ ๆ ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นอาวุธใหม่ กลยุทธ์ใหม่ การให้อิสระเราคิดค้นการเดินทางใหม่ ๆ ในแผนที่

ถ้าคุณโดนเกมนี้มันตกได้ในไม่กี่ชั่วโมงแรก ก็มีโอกาสสูงมากที่คุณจะอยากจ่ายอีกสัก 70 ถึง 100 กว่าชั่วโมง เพื่อลับคมฝีมือการล่า ในทางกลับกัน ถ้าคุณรู้สึกว่าฆ่า Kemono ไปสามสี่ตัวแล้วยังไม่ใช่ โอกาสดรอปเกมนี้ไปเลยก็สูงมากเหมือนกัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ข้ามไปยังทูลบาร์