*ขอขอบคุณบริษัท Bandai Namco Entertainment Asia สำหรับโค้ดรีวิวมา ณ โอกาสนี้ครับ
ซีรีส์ดราก้อนเควสต์นั้นอาจเรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งซีรีส์ที่อยู่คู่วงการเกมมายาวนานมาก นับอายุตั้งแต่ภาคแรกในปี ค.ศ.1986 จนถึงภาคล่าสุดอย่างภาค XI นี้ที่จำหน่ายในปี ค.ศ.2017 (ฉบับภาษาญี่ปุ่น) ก็ปาเข้าไป 31 ปีแล้ว ถ้าเป็นคนก็ถือเป็นคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวได้พบเห็นความเปลี่ยนแปลงต่างๆ มากมายในชีวิต และในครั้งนี้ภาค XI ก็กลับมาอีกครั้งในชื่อว่า XI:S Definitive Edition ที่ได้เพิ่มเติมอะไรต่อมิอะไรให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
เนื้อเรื่อง
ถ้าจะมีอะไรที่นิยามเนื้อเรื่องของดราก้อนเควสต์ในภาคนี้ได้ดีที่สุดก็คงไม่พ้นคำว่า “คลาสสิก” ครับ โดยส่วนตัวผมเองไม่ได้เป็นแฟนซีรีส์ที่ติดตามดราก้อนเควสต์มาอย่างเหนียวแน่น แต่ก็พอได้รับรู้เอกลักษณ์บางประการของซีรีส์มาบ้างเหมือนกัน แทบทุกภาคจะต้องมีผู้กล้าที่เป็น The Chosen One จากเหล่าปวงเทพที่ถือกำเนิดขึ้นมาในยุคเข็ญเพื่อปราบมารร้าย ซึ่งในภาค XI นี้ก็ไม่ต่างกันครับ สไตล์การดำเนินเรื่องในช่วงต้นจะเต็มไปด้วยความเรียบง่าย และรักษาขนบเช่นว่าเอาไว้ได้ไม่เสื่อมคลาย ทั้งการที่ตัวเอกถือกำเนิดมาเป็นผู้ถูกเลือก เป็นผู้สืบเชื้อสายแห่งราชวงศ์ซึ่งล่มสลายไปในชั่วข้ามคืน เคราะห์ดีที่เจอบุคคลจิตใจงามมาช่วยเหลือและเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ ก่อนที่ตัวเอกจะทราบความถึงชาติกำเนิดที่แท้จริงของตนจนตัดสินใจออกเดินทางเพื่อไปทำตามชะตาที่ฟ้ากำหนด
โครงสร้างการดำเนินเรื่องของดราก้อนเควสต์ภาคนี้ในช่วงต้น จะเห็นได้ว่าเดินเรื่องตาม Rank-Raglan Mythotype (เป็นชื่อเรียกของรูปแบบโครงสร้างที่ปรากฏในตำนานหรือเรื่องเล่าของวีรบุรุษในวัฒนธรรมต่างๆ ซึ่งเหมือนหรือคล้ายคลึงกัน โดยแนวคิดนี้เสนอโดย Otto Rank ผู้เป็นนักจิตวิทยาวิเคราะห์และ Lord Raglan ผู้เป็นนักมนุษย์วิทยา) แก่นของเนื้อหาดำเนินไปอย่างเนิบช้าเป็นจังหวะจะโคนในตัวของมันเองและเหมือนจะเดาได้ หากแต่เมื่อเนื้อหาดำเนินไปจนเข้าสู่องก์ที่สองแล้ว ความเข้มข้นก็เพิ่มทวีจนแทบจะต้องบังคับตัวเองให้หยุดเล่นบ้างหลังจากที่นั่งเล่นมาไม่หยุดหย่อน จนเมื่อเครดิตขึ้นทุกอย่างดูเหมือนจะคลี่คลายลงด้วยดี แต่เกมก็หักมุมอีกครั้งโดยผูกปมให้ตัวเอกจะต้องออกเดินทางเพื่อแก้ไขทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นในแบบที่ควรจะเป็น เมื่อเครดิตครั้งที่สองขึ้นมาให้เห็นแม้แต่ผมที่ไม่ได้ติดตามซีรีส์นี้มายาวนานก็ยังอดชมไม่ได้ว่าเนื้อหาของเกมนี้ผูกได้อย่างสนุกและมีชั้นเชิงไม่เลวทีเดียว
บรรดาตัวละครต่างๆ ไม่ว่าจะ NPC หรือเพื่อนร่วมปาร์ตี้ของเราแต่ละคนก็ดูมีเอกลักษณ์ของตัวเองชัดเจนทั้งยังมากด้วยสีสัน ซึ่งในภาค Definitive Edition คราวนี้ก็จะมีการขยายเรื่องราวของแต่ละคนเพิ่มเติมเข้ามาจากเดิมในช่วงองก์ที่สองให้เนื้อหาลึกซึ้งขึ้นด้วย เรียกได้ว่าเล่นกันยาว ๆ จนคุ้มไปเลย
กราฟิก
ในส่วนของกราฟิกนั้น แม้จะเป็นภาพสไตล์การ์ตูนแต่ทำออกมาได้งดงามเลยทีเดียว หากเทียบโมเดลตัวละครหรืออาคารบ้านเรือนกับเกมทุนสร้างมหาศาลอื่นๆ แล้ว เกมนี้อาจสู้ไม่ได้ แต่ด้วยอาร์ตสไตล์ของเกมที่นำเสนอในลักษณะของอนิเมก็ทำให้ออกมาดูดีและไม่ขัดตาครับ ซึ่งอาจจะด้วยความที่งานออกแบบตัวละครยังคงเป็นอ.โทริยาม่า อากิระผู้สร้างสรรค์มังงะชื่อก้องโลกอย่างดราก้อนบอลนี่เอง จึงทำให้ทีมสร้างเลือกการนำเสนอที่สอดรับกับลายเส้นของอ.โทริยาม่าได้เป็นอย่างดี ระหว่างที่เล่นจะให้ความรู้สึกเหมือนกำลังชมอนิเมกลายๆ เหมือนกันครับ
งานออกแบบของสถานที่ต่างๆ ก็อ้างอิงมาจากอาคารบ้านเรือนของวัฒนธรรมจากหลายมุมเมืองในโลกแห่งความเป็นจริง จากหมู่บ้านบ่อน้ำร้อนที่มีประตูโทริอิสีแดงเรียงรายพร้อมบ้านเรือนสไตล์ญี่ปุ่นที่ผู้คนล้วนแล้วแต่พูดคุยกันเป็นกลอนไฮกุ ไปจนถึงอาณาจักรทะเลทรายที่อาคารเป็นสไตล์อาหรับผสมอียิปต์ หรือดินแดนเหนือที่มีสถาปัตยกรรมละม้ายรัสเซีย (และมีเพื่อนบ้านเป็นไวกิ้ง) ผู้เล่นจะได้เจอภูมิทัศน์ที่ไม่ซ้ำกันเลยในแต่ละเมืองที่เหยียบไปถึงครับ มิหนำซ้ำภาษาต่าง ๆ ที่พูดกันก็มีการสอดแทรกภาษาอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อังกฤษเข้ามาเล็กน้อย เรียกว่าบอกกันตรง ๆ ไปเลยว่าเมืองนั้น ๆ ออกแบบมาโดยอ้างอิงวัฒนธรรมอะไร
กระนั้น สิ่งที่น่าเสียดายก็คงไม่พ้นบรรดาโมเดลของศัตรูที่หลายตัวใช้โมเดลเดียวกันแต่เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนสี จนกลายมาเป็นมอนสเตอร์ใหม่ให้เราได้สู้นี่ล่ะครับ (แต่เรียกเป็นเอกลักษณ์อย่างนึงของซีรีส์นี้ก็คงไม่ผิด)
เกมเพลย์
รูปแบบการเล่นและระบบสู้ของดราก้อนเควสต์ภาคนี้ สามารถนิยามได้ว่าเป็น JRPG แบบแท้ๆ ดั้งเดิมเลยครับ รูปแบบการเล่นนั้นเป็นเทิร์นเบสผลัดกันโจมตีแบบไม่มีอะไรเจือปน เมื่อถึงตาของตัวละครฝั่งเราตัวไหนหรือถึงตาของมอนสเตอร์ตัวใด ตัวละครนั้นๆ จะต้องได้ออกแอ็คชันทำอะไรสักอย่างตามที่เลือกแน่นอน จะไม่มีระบบหรือปัจจัยอื่นใดที่เข้ามาขัดจังหวะ (นอกจากติดสถานะผิดปกติน่ะนะ) ถ้าหากคุณกดโจมตีธรรมดา ยังไงตัวละครของคุณก็จะต้องเข้าไปตี ส่วนจะโดนหรือไม่จะติดคริติคัลไหมทั้งหมดขึ้นอยู่กับตัวเลขค่าพลังของคุณและศัตรูล้วนๆ ถ้าหากคุณกดใช้เวทย์ตัวละครของคุณจะใช้เวทย์ออกมาทันที ไม่มีดีเลย์ ไม่ต้องเสียเวลาร่าย ไม่มีการโดนโจมตีแล้วถูกขัดจังหวะแต่อย่างใด จึงไม่ต้องกังวลว่ากดใช้เวทย์เติมพลังแล้วจะร่ายไม่ทันครับ
สิ่งที่เพิ่มเติมมาในฉากสู้ของภาคนี้ก็คงเป็นระบบ pep up ที่บางครั้งตัวละครของเราจะทำท่าระเบิดพลังประหนึ่งแปลงร่างเป็นซูเปอร์ไซย่าซึ่งส่งผลให้ค่าพลังหลายด้านสูงขึ้นชั่วขณะ และในสภาวะเช่นนี้ตัวละครของเราจะสามารถใช้ท่าพิเศษต่างๆ ได้ บางท่าก็เป็นการโจมตีรุนแรง บางท่าก็ตีแล้วขโมยของศัตรู บางท่าก็ทำให้อัตรายิงเวทย์แล้วติดคริติคัลมากขึ้น ฯลฯ ซึ่งเงื่อนไขที่จะใช้ได้ก็หลากหลายเช่น ท่าใช้คนเดียว ท่าคู่ ท่าสามคน ก็ถือเป็นอะไรที่ช่วยให้ระบบการเล่นมีสีสันมากกว่าเดิม
ระบบ Pep Up คือสิ่งหนึ่งที่เพิ่มความหลากหลายให้กับเกม
ภาคนี้ใส่ระบบอำนวยความสะดวกแบบเกมสมัยใหม่เข้ามาพอสมควรจากเดิมด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการที่เราสามารถสลับสับเปลี่ยนตัวละครในระหว่างสู้ได้ทันที หรือจะหมุนมุมกล้องดูฉากสู้ ดูโมเดลตัวละครเองก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมองผ่านแต่ด้านหลังของทีมเรา แม้แต่จะบังคับตัวละครวิ่งไปมาในฉากสู้ก็ได้ (แต่สุดท้ายการวางตำแหน่งตัวละครก็ไม่ได้ช่วยอะไรเรื่องกลยุทธ์หรือการเล่นอยู่ดีน่ะนะ) ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ผมเข้าใจว่าทีมสร้างน่าจะกำลังพยายามค่อยๆ ปรับตัวเกมให้ร่วมสมัยมากขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ไม่ได้ทำการเปลี่ยนแบบปุบปับจนแฟนๆ เหนียวแน่นต้องเกิดอาการ culture shock ก็เป็นได้ครับ
อีกระบบหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้คงเป็นการคราฟต์อาวุธ คราฟต์เครื่องป้องกัน หรือแม้แต่การตีบวกเพิ่มประสิทธิภาพของสิ่งต่างๆ ที่เรามีนั่นเอง หากคุณขยันสำรวจอย่างละเอียดและทำไซด์เควสต์ต่างๆ ตามเมืองก็มักจะได้ของรางวัลมาเป็นสูตรในการสร้างอาวุธหรือเครื่องป้องกันที่มักจะเป็นของดีมากกว่าที่มีขายตามร้านในช่วงนั้นๆ เรียกได้ว่าถ้าผู้เล่นใช้งานระบบนี้บ่อยๆ และขยันตีบวกข้าวของเครื่องใช้ที่มีในขณะนั้นก็จะช่วยให้การเล่นสะดวกขึ้นมากเลยทีเดียว
จะคราฟต์ของหรือจะตีบวกทำได้ทุกอย่าง
การเดินทางในฉากนั้น แน่นอนว่าการเดินเท้าถือเป็นวิธีสัญจรปกติของเกม แต่ในกรณีที่คุณอยากไปที่ไหนอย่างฉับไวคุณก็สามารถสั่นกระดิ่งเรียกม้ามาขี่ได้ แถมในบางจุดคุณจะสามารถกำจัดศัตรูเพื่อขึ้นไปขี่มันเป็นพาหนะได้ด้วยนะ โดยในหลายครั้งการขี่ศัตรูก็จะทำให้เราเข้าถึงหีบสมบัติหรือเส้นทางบางจุดที่ซุกซ่อนอยู่ได้ด้วย ส่วนการพบเจอศัตรูในภาคนี้จะไม่มีอีกแล้วที่จู่ๆ เดินแล้วตัดเข้าฉากสู้อัตโนมัติเพราะเราจะเห็นบรรดามอนสเตอร์น้อยใหญ่เดินไปมาในฉากกันตัวเป็นๆ หากเราไปเดินชนจึงจะตัดเข้าฉากสู้ตามธรรมเนียม แต่ถ้าเรากดโจมตีเปิดฉากก็จะเป็นการลดพลังชีวิตของมันก่อนเข้าฉากสู้ให้เราชิงความได้เปรียบเล็กน้อยเช่นกัน (มันอยู่ของมันดีๆ จะพุ่งไปหวดมันทำไมนะคนเรา…) นอกจากนั้นแล้วระยะเวลากลางวันกลางคืนก็จะทำให้มอนสเตอร์ที่ปรากฏตัวในฉากหรือพฤติกรรมของมันเปลี่ยนไปบ้างเช่นกัน
การโดยสารมอนสเตอร์ หลายครั้งจะมีประโยชน์ในการหาไอเทม
แต่สำหรับใครที่อยากจะผละจากการออกเดินทางตามชะตาแห่งผู้กล้า และอยากเถลไถลสักหน่อย เกมนี้ก็มีมินิเกมให้ได้เล่นกันเพลินๆ เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นการลงแข่งม้าที่จะให้เราได้เล่นเกมในสไตล์ของเกมเรซซิ่ง หรือจะเป็นมินิเกมต่างๆ ในคาสิโน เช่น สล็อตแมชชีน หรือโป๊กเกอร์ เป็นต้น และก็แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่คงจะต้องพยายามเล่นมินิเกมเหล่านี้กันอย่างจริงจัง เพราะของรางวัลที่ได้ก็มักจะเป็นของดีซะด้วยน่ะสิ
คาสิโนที่คุณอาจจะต้องใช้เวลากับที่นี่นานกว่าที่คิด
สิ่งหนึ่งที่ต้องกล่าวถึงสำหรับภาค Definitive Edition นี้ก็คือเนื้อหาส่วนเพิ่มเติมของหมู่บ้าน Tickington ที่คุณจะได้ให้ความช่วยเหลือเหล่า Tockles ในการฟื้นฟูหนังสือบันทึกเรื่องราวของเหล่าผู้กล้าต่าง ๆ ที่โดนพลังอำนาจลึกลับเข้าไปทำให้เรื่องราวปั่นป่วน ซึ่งก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหนังสือเหล่านั้นจะให้เราได้ไปเยือนสถานที่ต่าง ๆ ที่หลายคนคุ้นเคยจาก Dragon Quest ตั้งแต่ภาค 1 จนถึงภาค 10 ครับ ความพิเศษอย่างหนึ่งของหมู่บ้านนี้ก็คือตัวเกมจะอยู่ในรูปแบบของโหมด 2D ในแบบคลาสสิกเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ระบบต่อสู้ก็จะเป็นไปในแบบคลาสสิก ซึ่งก็จะขาดความฉับไวไปบ้างเล็กน้อยเหมือนกัน ถ้าโหมด 3D นั้นตัวละครจะสามารถออกแอ็กชันต่าง ๆ ในเทิร์นของตัวเองได้ทันที แต่เมื่อเป็นโหมด 2D แล้วผู้เล่นจะต้องกดเลือกคำสั่งให้ทุกคนในทีเดียวแล้วจากนั้นก็ขึ้นอยู่กับค่าความเร็วตัวละครว่าใครจะได้ออกแอ็กชันก่อน
นอกจากเนื้อหาที่เพิ่มเติมเข้ามาแล้ว เกมยังได้ปรับปรุง quality of life เข้ามาหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นชุดเกราะหรือเสื้อผ้าที่จะเปลี่ยนรูปลักษณ์ตัวละคร ที่เดิมผู้เล่นจะต้องสวมใส่ชุดนั้น ๆ เท่านั้น เมื่อใดที่ถอดชุดออกก็จะเปลี่ยนกลับไปเป็นโมเดลปกติ ดังนั้นแม้ว่าคุณจะมีชุดที่ชอบแค่ไหนแต่พอได้ชุดใหม่ที่ค่าพลังดีกว่าก็ต้องจำใจเปลี่ยนอยู่ดี ซึ่งในคราวนี้เกมก็เลยแก้ปัญหาให้โดยการเพิ่มหัวข้อเปลี่ยนชุดมาให้เลยโดยจะมีผลเป็นการเปลี่ยนรูปลักษณ์เท่านั้นโดยไม่กระทบกับค่าพลังแต่อย่างใด ความยุ่งยากอื่น ๆ ที่เคยมีอย่างเช่น Fun-Size Forge ที่ไว้คราฟต์สารพัดอาวุธของเรานั้น เดิมจะใช้งานได้ต่อเมื่ออยู่ในแคมป์ คราวนี้ก็สามารถเรียกใช้งานได้เลยทุกที่ทุกเวลา หรือถ้าใครเห็นวิวจุดไหนสวย ๆ แล้วอยากแคปภาพเก็บไว้ เวอร์ชันนี้ก็มีโฟโต้โหมดมาให้ด้วย
รูปแบบการเล่นในแบบ 2D ทั้งเกมตั้งแต่ต้นยันจบก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ได้รับการเพิ่มเติมเข้ามาในคราวนี้ ผู้เล่นสามารถสลับสับเปลี่ยนบรรยากาศได้ตลอดเวลา เพียงแค่ไปคุยกับนักบวชแต่ละที่ก็จะมีหัวข้อให้สลับไปเล่นในแบบ 2D ได้โดยง่าย ซึ่งการสลับโหมดระหว่าง 3D และ 2D นั้นก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวของมันเองครับ เพราะเมื่อใดก็ตามที่คุณสลับโหมด คุณจะไม่สามารถดำเนินเนื้อเรื่องต่อจากที่คุณเล่นไว้ได้ แต่คุณจะต้องเลือกว่าจะเริ่มเล่นตั้งแต่เนื้อเรื่องช่วงที่ผ่านมาแล้วเท่านั้น ดังนั้นการสลับโหมดก็คือคุณจะต้องย้อนเล่นตั้งแต่จุดที่เลือกไว้เป็นต้นมา ไม่สามารถสลับโหมดไปมาแล้วเล่นต่อเนื่องได้อย่างไร้รอยต่อครับ ถือเป็นข้อยุ่งยากพอควรเหมือนกัน แต่ข้อดีก็คือการย้อนเล่นด้วยวิธีนี้จะทำให้คุณเล่นได้โดยที่ยังคงมีเลเวลและของรวมถึงไอเทมต่าง ๆ แบบที่มีในปัจจุบัน จะเรียกว่าเป็น New Game Plus แบบกลาย ๆ เลยก็ว่าได้
ถึงการสลับโหมดจะยังมีความขลุกขลักไปบ้าง แต่ก็เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศที่ดี
เพลงประกอบและเสียงพากย์
ในส่วนของเพลงประกอบนั้น ทีมงานเลือกเพลงประกอบที่ฟังสบายรื่นหู ไม่ว่าจะช่วงสบายๆ หรือช่วงตื่นเต้นของเกมก็ไม่มีทำนองที่ฟังแล้วเสียดหูหรือกระแทกหูจนรำคาญแต่อย่างใด ถ้าจะบอกว่าเหมือนใช้วงออร์เคสตรามาบรรเลงให้ฟังทั้งเกมก็คงไม่ผิดอะไร ถ้าจะมีข้อเสียเพียงอย่างเดียวก็คือหากคุณเล่นเกมตอนช่วงกำลังล้าๆ หรืออ่อนเพลียก็อาจจะพาลหลับได้ง่ายๆ เหมือนกันครับ
สำหรับเสียงพากย์ในฉบับภาษาอังกฤษนี้ ก็คงพูดได้ว่าไม่เลวร้ายครับ น้ำเสียงและการใส่อารมณ์ก็ถือว่าทำได้เพลินๆ แถมแต่ละเมืองก็มีการเล่นสำเนียงพื้นถิ่นให้แตกต่างกันไปด้วย ตรงจุดนี้ถือว่าทีมพากย์เอาใจใส่พอสมควรเลย แต่จังหวะจะโคนในการพูดบางทีก็เนิบช้าพอควรจนคนเล่นอ่านจบประโยคก่อนตัวละครจะพูดจบซะอีกครับ บางจังหวะก็เลยมีกดสคิปไม่ทันฟังอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าใครอยากได้รสชาติแบบอนิเมล่ะก็ภาค Definitive Edition นี้เพิ่มเติมเสียงพากย์ญี่ปุ่นเข้ามาแล้วซึ่งก็จะให้อรรถรสที่ต่างไปอีกแบบครับ
สรุป
DRAGON QUEST XI:S ถือเป็นเกม JRPG ขนานแท้และดั้งเดิม ที่รูปแบบการดำเนินเรื่องและการเล่นคลาสสิก แต่ในความคลาสสิกของมันก็ยังคงเล่นแล้วสนุกและมีเสน่ห์ในแบบของตัวเองครับ ในยุคที่มีเกมสไตล์ WRPG ซึ่งเปิดกว้างและมอบอิสระมากมายให้แก่ผู้เล่น ก็คงน่าเสียดายถ้าหากว่า DQXI นี้จะถูกมองข้ามไป ถ้าคุณชื่นชอบเกมสไตล์ JRPG เกมนี้ควรเล่นแน่นอน และสำหรับคนที่เป็นแฟนซีรีส์ Dragon Quest มาช้านาน ผมเชื่อว่าจะหลงรักภาคนี้อย่างไม่ยากเย็นเลย