รีวิว The Dungeon of Naheulbeuk: The Amulet Of Chaos – Chicken Edition
*ขอขอบคุณบริษัท SCRYsoft สำหรับโค้ดรีวิว (PS5) มา ณ โอกาสนี้ครับ
ก่อนเข้าเรื่อง…เรามาตกลงกันก่อนครับเกี่ยวกับชื่อเกมอันยาวเหยียดแถมอ่านยากของเกมนี้ โดยเกมนี้มีชื่อว่า เดอะ ดันเจียน ออฟ นาฮอลเบิก: ดิ อมูเลท ออฟ เคออส – ชิคเก้น เอดิชั่น ซึ่งผมจะขอเรียกต่อไปนี้เพียงสั้น ๆ ว่า “เกมนาฮอลเบิก” โอเค๊? เข้าใจตรงกันนะครับ 555
ผ่านจากเรื่องชื่อ เราก็มาท้าวความกันสักเล็กน้อย โดยเกมนาฮอลเบิกนี้วางจำหน่ายของ PC ไปตั้งแต่ปีที่แล้วครับ ก่อนพัฒนามาลงคอนโซลในภายหลัง ตัวเกมเป็นผลงานจากทีม Artefacts Studio สัญชาติฝรั่งเศส มาในแนว RPG วางแผนแบบเทิร์นเบส มีจุดเด่นที่การใช้ “อารมณ์ขัน” เป็นตัวนำเรื่องราวในโลกแฟนตาซีเฉพาะตัว ผู้เล่นจะต้องนำกลุ่มตัวละครที่ดูไม่น่าจะเป็นฮีโรได้ แล้วออกเดินทางสู่การผจญภัยสุดอลังการที่ผสมผสานความคิดสร้างสรรค์และความอลหม่านของแคมเปญเกมกระดานแบบแฟนตาซีเข้าไว้ด้วยกัน
Story
จักรวาลนาฮอลเบิกนั้นถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาโดยนักประพันธ์ชาวฝรั่งเศสชื่อนาย John Lang (นามปากกาว่า Pen of Chaos เขารับหน้าที่เขียนบทและผลิตซีรีส์นี้ แถมพากย์เสียงตัวละครส่วนใหญ่ด้วย) โดยเริ่มจากเป็นซีรีส์นิยายเสียงออนไลน์ภาษาฝรั่งเศส แนวตลกโปกฮาชื่อดังที่ล้อเลียนแนวเกม RPG เรื่องราวสไตล์แฟนตาซีฮีโร่ทั้งหลาย
สำหรับชื่อฉบับนิยายคือ Le Donjon de Naheulbeuk เล่าเรื่องกลุ่มนักผจญภัยที่ทุกตัวละครจะไม่มีชื่อ แต่เรียกขานกันด้วยคลาส หรืออาชีพแบบในเกมกระดาน ซีรีส์นี้สร้างขึ้นในปี 2544 เป็นซีรีส์ชุดแรก ๆ ที่เปิดให้รับฟังออนไลน์อย่างเสรี กระตุ้นให้เกิด กระแสที่เรียกว่า “MP3 ซาก้า” ที่คล้ายคลึงกันถูกเผยแพร่บนเว็บที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสหลายเรื่องด้วยกัน
หลังจากนาฮอลเบิกประสบความสำเร็จ เรื่องราวได้ถูกดัดแปลงเป็นการ์ตูนซีรีส์ นวนิยายชุด และวิดีโอเกมในที่สุด
Ruins of Limis DLC:
ทีนี้ เวอร์ชันที่มาลงคอนโซลในชื่อ Chicken Edition นี้จะแถมส่วนเสริมมาให้ด้วยเลยครับ นั่นก็คือ Ruins of Limis DLC ซึ่งเมื่อเปิดเข้าเกม คุณจะเลือกได้ว่าจะลุยแคมเปญหลักก่อน หรือเลือกเข้าสู่ส่วนเสริมนี้ได้เลยทันทีที่หน้าจอเมนู โดยตัว Ruins of Limis จะพาผู้เล่นไปสัมผัสกับเรื่องราวสุดขำขันหลังแคมเปญหลัก ด้วยคอนเทนต์ราว 5 ชั่วโมง คุณจะต้องเลือกฝ่ายแล้วเดินเรื่องตามเควสต์ไลน์ที่แตกย่อยออกไปมากมาย ภายในความขัดแย้งระหว่างกลุ่มเนโครแมนเซอร์และกลุ่มแวมไพร์ นอกจากนี้ยังมีของเด็ดก็คือไซด์เควสต์พิเศษ ‘Trollkenstein’ ที่ซึ่งบรรดาฮีโรจะต้องออกล่าชิ้นส่วนร่างกายของโทรลเพื่อนำมาประกอบให้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตสุดแข็งแกร่ง
Gameplay
เมื่อเริ่มเกม ก็แทบไม่มีการเกริ่นนำใด ๆ มากมายครับ เพราะมาถึงก็ลุยกันเลย กับการออกสำรวจดันเจี้ยนขนาดใหญ่ จากนั้นตัวละครจะค่อย ๆ โผล่มาทีละตัวให้คุณได้เรียนรู้ควบคุม ได้แก่ Ranger, Elf, Dwarf, Barbarian, Magician (ให้เสียงโดย Felicia Day ผู้มากความสามารถ!), Ogre และ Thief
การต่อสู้จะเป็นแบบเทิร์นเบสสไตล์ X-COM วัตถุที่ซ่อนอยู่และวัตถุในฉากสามารถทำลายได้ ซึ่งจะช่วยเปลี่ยนกระแสการต่อสู้ให้ดีขึ้นสำหรับคุณ…ไม่ก็แย่ลง
ประเด็นสำคัญในส่วนของเกมเพลย์ก็คือ อย่าให้กราฟิกแบบตัวการ์ตูนของเกมนี้หลอกเอาได้ว่าเกมน่าจะจุ๋มจิ๋มเล่นง่ายดายแบบเกมเด็ก ๆ เพราะเอาเข้าจริงเกมนี้ค่อนข้างซับซ้อน ทีมงานออกแบบรายละเอียดการปะทะในแต่ละครั้งมาดีมาก เผลอ ๆ นี่คือจุดแข็งที่สุดของเกมนี้แล้วครับ เพราะคุณต้องวางแผนให้ดีทุกการกระทำ ต้องทำความเข้าใจสกิลทั้งของทีมเราและฝ่ายตรงข้ามให้ดี ถึงจะเล่นได้สนุกและเคลียร์แต่ละศึกได้อย่างหมดจด ไม่ต้องมีใครตาย (แต่ขนาดผมตั้งใจเล่นอย่างดี ก็มักมีการสูญเสียเกิดขึ้นประจำ แสดงว่าเกมค่อนข้างโหดใช้ได้เลย)
โดยส่วนตัวผมเป็นขาประจำเกมแนวนี้ จึงขอยืนยันได้เลยว่าเกมนาฮอลเบิกออกแบบระบบเทิร์นเบสมาได้ดีมากครับ สนุกสุด ๆ ไปเลย แถมตัวเกมยังมีโหมดไนท์แมร์ให้ลองเล่นด้วยนะ ที่แม้ความผิดพลาดในการวางแผนเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้คุณหายนะได้ทันที!
อย่างไรก็ตาม เกมเวอร์ชันคอนโซลมีปัญหาใหญ่ด้านการออกแบบเมนูในหน้าออปชั่นต่าง ๆ รวมไปถึงหน้าสำหรับดูไอเท็มและสกิล เพราะการจะต้องย้ายตัวเลือกข้ามกรอบเมนู แทนที่จะให้เลื่อนอนาล็อกซ้าย-ขวาเลือกได้เลย ตัวเกมกลับใช้ปุ่มสามเหลี่ยมเพื่อเปลี่ยนกรอบ จากนั้นเราถึงจะสามารถเลือกตัวเลือกในกรอบนั้น ๆ ได้ ซึ่งมันวุ่นวายสับสนมากเวลาใช้จริง นี่แสดงถึงการออกแบบเกมโดยเน้นพีซีที่ใช้เมาส์เป็นหลักอย่างเดียวเท่านั้น
ด้านจุดขายที่เขาโปรโมตเน้น ๆ เลยว่าเกมนี้จะเต็มไปด้วยมุกฮา ๆ แบบเดียวกับต้นฉบับนิยาย แถมด้วยบทสนทนาสุดเพี้ยน, สถานการณ์สุดพิลึก ฯลฯ เหล่านี้ ผมพบว่าส่วนใหญ่เป็นเดอร์ตี้โจ๊ก หยาบ ๆ หน่อย เล่นกันจัดเต็มแบบเสรีภาพสื่อเต็มที่ตามสไตล์เกมจากฝรั่งเศส ซึ่งหลายครั้งมันออกแนวมุกฝรั่งที่ถึงผมจะเก็ตแต่ก็ไม่ค่อยฮาไปกับเขาด้วย อันนี้แล้วแต่คนละกันครับ บางท่านอาจจะชอบก็ได้
Graphic & Sound
ผมไม่มีปัญหากับกราฟิกกึ่งการ์ตูนของเกมนี้นะ และเข้าใจด้วยว่าเขาออกแบบมาให้เข้ากับธีมของเรื่อง ที่เน้นตลกเสียดสีเป็นที่ตั้ง แต่ก็ยังอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าหากระบบการต่อสู้ที่ทำได้ดีขนาดนี้ โครงเกมแข็งและแน่นปึ้กขนาดนี้ แล้วยกไปสวมในจักรวาลแฟนตาซีใหญ่ ๆ ที่เราคุ้นชินมากกว่า มันน่าจะกลายเป็นผลงานเกมวางแผนยอดนิยมได้เลยทันที
ผมขอพูดแบบนี้ดีกว่า…ว่า จากนี้ขอให้จับตาทีมงาน Artefacts Studio ให้ดี ผมว่าทีมนี้เขามีของดี รู้แนวถนัดของตัวเอง ถ้าเกิดคราวหน้าเขาทำเกมวางแผนออกมาอีก แล้วทำให้มีโทนซีเรียสจริงจังมากขึ้น ผมคนแรกล่ะ ที่ต้องเสาะหามาเล่นอย่างแน่นอน
ด้านเสียงในเกม โดยส่วนของดนตรีทำได้ดีตามมาตรฐาน ขณะที่เสียงพากย์ก็เน้นใช้น้ำเสียงหยอกล้อ เล่นมุกโบ๊ะบ๊ะรับส่งกันไปมาประมาณนั้นครับ
Conclusion
ใครอ่านมาถึงตรงนี้อาจจับทางผู้เขียนได้แล้วว่า ผมค่อนข้างไม่อินกับความเป็นการ์ตูนในเกม แต่ทว่า! ผมพบตัวเองเล่นเกมนี้ได้อย่างสนุก จบฉากหนึ่งก็ยังไม่อยากหยุด อยากลุยดันเจียนต่อไปเรื่อย ๆ ซึ่งผมเป็นแบบนี้กับเกมอย่าง X-COM (ทุกภาค) นี่แสดงว่าเกมนาฮอลเบิกทำได้ดีน้อง ๆ เกมอย่าง X-COM เลยนะเนี่ย ถือว่ามาถูกทาง สรุปฟันธงเลยก็คือ “การต่อสู้” อันเข้มข้น ต้องขบคิดทุกตาเดินของเกมนี้คือเดอะแบกที่แท้จริง คุณสามารถเล่นเอามันส์แค่การวางแผนโดยไม่ต้องแคร์เนื้อเรื่องเลยก็ยังถือว่าคุ้มเงินอยู่นะ (ใครชอบเนื้อเรื่อง + ชอบความฮาของเกม ก็ยิ่งคุ้มเข้าไปใหญ่ ถือว่าคุณเจอเกมที่ใช่แล้ว)
Good
- การต่อสู้ในเกมนี้สนุกจริงครับ นี่คือสิ่งดีที่สุดในเกมนี้
- เกมมีขนาดใหญ่ เล่นได้นาน แถมเอดิชั่นนี้ยังยัด Ruins of Limis DLC มาให้อีก นับว่าคุ้มต่อการลงทุน
BAD
- ออกแบบเมนูเวอร์ชันคอนโซลยังไม่ดีพอ ใช้งานยาก ไม่อำนวยความสะดวกแก่ผู้เล่น