The Quarry – รีวิว [REVIEW]
Supermassive Games เป็นที่คุ้นหูของชาวเกมเมอร์มาสักพักใหญ่ ๆ ในฐานะผู้สร้างสรรค์เรื่องเล่าเขย่าขวัญที่หัวใจสำคัญคือผู้เล่นต้องเลือก อย่างซีรีส์ The Dark Picture Anthology หรือผลงานเปิดม่านของพวกเขาอย่าง Until Dawn ก็ยังวนเวียนอยู่ในบทสนทนาของเหล่าเกมเมอร์ คราวนี้พวกเขากลับมาเขย่าเส้นแบ่งระหว่างหนังกับเกมอีกครั้งด้วยงานที่กลั่นออกมาจากประสบการณ์อันโชกโชน ใช่แล้วครับ ผมกำลังพูดถึง The Quarry
*ขอขอบคุณ 2K สำหรับโค้ดเพื่อการรีวิวด้วยครับ
โดยปกติแล้ว การแบ่งเนื้อเรื่องกับเกมเพลย์แยกจากกันจะให้ภาพที่ชัดเจนของการรีวิว แต่สำหรับ The Quarry ผมคงต้องขอพูดรวมทั้งสองเรื่องไปพร้อม ๆ กันเป็นกรณีพิเศษครับ เพราะมันถูกละลายให้กลายเป็นเนื้อเดียวกันไปแล้ว
เนื้อเรื่องและเกมเพลย์
หลังจากที่ได้ลองเล่นเองจนจบรอบแรก มวลความรู้สึกที่ได้รับตอนเล่นก็คือ The Quarry มันดูไม่ใช่เกมสยองขวัญขนาดนั้นครับ ถึงหน้าปกมันจะตั้งใจสื่อแบบนั้นมากก็เถอะ The Quarry เล่าเรื่องของวัยรุ่นที่ไปทำหน้าที่คล้ายจิตอาสาคอยดูแลนักเรียนในช่วงแคมป์ฤดูร้อน แต่ในวันที่ทั้งหมดจะต้องเดินทางกลับ มันมีเหตุบางอย่างที่ทำให้ทุกคนต้องติดอยู่ที่นี่อีกคืน โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัวเลยว่าวันแห่งการล่ามาถึงแล้ว และเกมเอาชีวิตรอดก็ส่งสัญญาณเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน
ที่ผมบอกว่า The Quarry ดูไม่ค่อยสยองขวัญ ไม่ใช่มันไม่มีองค์ประกอบแบบนั้นนะครับ มันมีทั้งช่วงจัมป์สแกร์ ช่วงลุ้นหนีตาย มีช่วงลุ้นหยุดหายใจ มีกระทั่งฉากแหวะถึงแหวะมาก คือไวยากรณ์ของเรื่องสยองขวัญมาครบ แต่ผมกลับรู้สึกว่าอารมณ์หลัก ๆ ของมันคือการสืบสาวราวเรื่องอันลึกลับมากกว่า
The Quarry จะค่อย ๆ ปล่อยจิ๊กซอว์ของเรื่องออกมาตั้งแต่ต้นในรูปแบบของเบาะแส การกระทำของตัวละคร และส่วนที่เราบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งพอเห็นครั้งแรกมันจะดูกระจัดกระจายมากครับ ดูไม่รู้ว่าของแบบนี้มันจะเอาไปใช้เป็นหลักฐานได้ยังไง เช่น เบาะแสที่เป็นโปสเตอร์โชว์งานแม่หมอ ขวดที่มีของเหลวกลิ่นแปลก ๆ อยู่ แต่พอเนื้อเรื่องมันเดินหน้าไปเรื่อย ๆ ไอ้เบาะแสที่เราเก็บได้รายทางมันจะเริ่มดูเข้าเค้า แล้วต่อเข้ากับเบาะแสอื่น เพื่อเปิดเผยเรื่องราวและนำไปสู่ฉากจบหลากหลายแบบ
เกมเพลย์จะเข้ามามีบทบาทในการหาเบาะแสและหลักฐานครับ คุณจะได้อะไรจากการเล่นมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการเลือกตอบ และที่สำคัญคือการขยันเดินสำรวจด้วย เอาเข้าจริง ผมรู้สึกผิดคาดอยู่เหมือนกัน จากใจคนที่ไม่เคยลองเล่น Until Dawn หรือ ซีรีส์ Dark Picture มาก่อน เพราะคิดว่าเกมจะเน้นการกด QTE กับเลือกคำตอบเท่านั้น แต่การบังคับตัวละครออกสำรวจกลับมีบทบาทไม่แพ้กัน พูดได้ว่าส่วนที่เราต้องเล่นกับส่วนที่เราต้องดูมีน้ำหนักพอ ๆ กันเลย แถมส่วนที่เดินสำรวจยังใช้การบังคับมุมกล้องแบบตายตัว (เราไม่สามารถขยับมุมได้อิสระ) แบบ Resident Evil ภาคดั้งเดิม ซึ่งผมคิดว่าทีมงานเลือกสิ่งนี้ได้ถูกต้องแล้ว เพราะการจำกัดอิสระในการมองของเราก็ถือเป็นความน่าอึดอัดที่ควรมี และผู้พัฒนาก็สามารถใส่ลูกเล่นเช่นการมีเงาของอะไรบางอย่างวิ่งตัดฉากไป สิ่งเหล่านี้จะทำได้ยากมากหากปล่อยให้ผู้เล่นบังคับมุมกล้องได้
อีกระบบที่ผมสนใจและน่าจะโดนใจสายมูบางส่วนคือการหาไพ่ทาโรต์ครับ ในช่วงเดินสำรวจของเกมจะมีจุดที่ให้เราเก็บไพ่ เพื่อที่ว่าพอจบบทนั้น ๆ แล้วกลับไปหาแม่หมอ การอ่านไพ่ของแม่หมอจะเป็นเหมือนการบอกใบ้เรื่องราวอนาคต แต่เอาเข้าจริง มันก็ไม่ได้ช่วยคุณให้เลือกเส้นทางได้ถูกใจขนาดนั้น คำพูดป้าที่ตีความไพ่ออกจะเป็นแนวกำกวม (เหมือนเวลาคุณดูไพ่ทาโรต์ตามช่อง YouTube นั่นล่ะ) สุดท้ายก็ไปลุ้นกันหน้างานอยู่ดี แต่ไพ่ทาโรต์บางใบจะทำให้เกิดเหตุการณ์พิเศษขึ้น ที่จะทำให้คุณรู้เรื่องราวสำคัญบางอย่าง
ว่าด้วยพลัง What If ของเกม
ความสงสัยว่าอะไรจะเกิดขึ้น หรือ “What If” ถ้าเราเลือกหรือไม่เลือกทำแบบนั้นแบบนี้มีอยู่ตลอดเส้นเรื่อง ผมรู้สึกว่าเกมแทบจะมีคัตซีนมารองรับทางเลือกต่าง ๆ เกือบหมด การเลือกที่ต่างไปก็ทำให้คุณได้เห็นฉากหรือเรื่องในมุมมองใหม่ด้วย แล้วมันก็ทำสิ่งที่เกมเน้นเนื้อเรื่องทำได้ยาก นั่นคือความอยากเล่นซ้ำ เพราะถ้าเป็นเกมเนื้อเรื่องทั่วไปเราจะรู้เรื่องราวแทบจะหมดในการเล่นครั้งเดียว แต่ The Quarry มันจะเชิญชวนให้คุณอยากลองเล่นเพื่อเจอเส้นทางใหม่ ๆ ซึ่งส่วนหนึ่งต้องขอบคุณทีมเขียนบทและบรรดาตัวละครในเรื่องราวนี้
ถึงแบบนั้น… ในขณะที่เกมมีพลังดึงดูดให้คนเล่นซ้ำมาก มันกลับยิงขาตัวเองด้วยการไม่ใส่ระบบให้เราเลือกกดข้าม หรือแม้แต่กดเร่งบทสนทนาได้ เกมจะให้เราเลือกบทที่จะเล่นเมื่อตอนเราจบเกมใหม่ ๆ แต่หลังจากนั้นเกมจะเข้าสู้จังหวะเดิมเหมือนคุณเล่นครั้งแรก ไม่มีการ Skip ฉาก ไม่มีการเร่งบทสนทนาที่คุณรู้อยู่แล้ว ด้านหนึ่งผมเข้าใจเอาเองว่าทีมพัฒนาอยากให้เรารู้สึกดื่มด่ำไปกับตัวละครมากกว่านี้ แต่ในมุมมองของเกมเมอร์หลายคน สิ่งนี้เป็นภาระมาก ๆ ที่เราจะต้องมารออะไรใหม่ทั้งหมด และไม่แปลกใจเลยว่าแทนที่พวกเขาจะยอมกลับมาเล่นซ้ำ พวกเขากลับเลือกคำตอบที่สมเหตุสมผลชื่อ YouTube แทน ต้องมาคอยดูกันล่ะครับว่าทีมพัฒนาจะมีการอัปเดตส่วนนี้เพิ่มหรือไม่ในอนาคต หรือเราอาจจะต้องหวังม็อดไปเลยสำหรับชาว PC
ความเป็นตัวละครของ The Quarry มีบทและการแสดงที่อัดแน่นมาก มันมาพร้อมงานเขียน บทสนทนา การแสดงสีหน้าท่าทาง และบุคลิกที่ผสานกันจนทำเอาคนเล่นจะไม่สามารถลืมบางตัวละครได้ ผมจะไม่ลืมสีหน้าของแม่หมอที่แอบขยับริมฝีปากอย่างเจ้าเล่ห์เหมือนรู้ชะตากรรมของเราจากการอ่านไพ่ทาโรต์ รวมถึงการฟาดอารมณ์ใส่กันของสมาชิกในครอบครัว Hackett เมื่อได้ยินข่าวร้าย บอกเลยว่าการลงทุนลงแรงกับพวกโมชันแคปเจอร์เขาสุดจริง
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือมันมีตัวละครที่เป็นไปตามขนบหนังสยองขวัญเยอะ ทั้งนายตำรวจที่ฉายแววความเป็นตัวร้ายตั้งแต่ต้น วัยรุ่นสาวผมบลอนด์ที่พกความเป็นดอกมาเต็มที่ ชายร่างยักษ์ที่ทำท่าเหมือนออกมาไล่ล่าเหล่าวัยรุ่น และอีกมากมาย แต่ทั้งหมดนั้นคือฉากหน้าที่เกมตั้งใจจะให้เราเข้าใจแบบนั้น ความจริงแล้วทุกตัวละครในนี้มีมิติบางอย่างที่ทำให้เราต้องมาตั้งคำถามกับขนบแบบเดิม ๆ รวมถึงเรายังเข้าไปมีบทบาทในฐานะผู้เลือกเส้นทาง เกมเลยให้อำนาจ “บางส่วน” ให้เราในการร่วมเขียนชะตากรรมและการแสดงออกของตัวละคร
สำหรับใครที่อยากรู้ แต่ไม่อยากลองเล่น เกมก็ใส่โหมดภาพยนตร์มาให้ และความพิเศษมากของมันคือ มีให้เลือกว่าจะดูฉากจบแบบไหน จะเอารอดหมดหรือตายหมดก็ตามสบาย แถมยังมีตัวเลือกให้เราขึ้นนั่งเป็นผู้กำกับ เลือกตัวเลือกต่าง ๆ จนเสร็จแล้วก็จับเข่าคลุมโปงนั่งดูกันไปเลยตั้งแต่ต้นยันจบ
แต่ว่า… โหมดภาพยนตร์นี่ล่ะครับที่กลายเป็นจุดอ่อนของ The Quarry ด้วย จากการที่ผมได้ดูรีแอ็กชันของคนที่เปิดโหมดนี้ มันจะมีหลายตอนที่พวกเขารู้สึกเอะใจหรือ งง ๆ ว่าตัวละครพูดหรือทำแบบนั้นไปทำไม มันดูประหลาดมาก ซึ่งผมเข้าใจสิ่งที่พวกเขารู้สึก 100% เลยครับ นั่นเพราะส่วนใหญ่จังหวะเหล่านั้นมันจะเป็นการให้เรากด QTE พอมันถูกดึงออกมาให้เราดูแบบหนังโดยไม่มีการโต้ตอบแบบเกม มันเลยรู้สึกแปลกได้ แต่ถ้าได้ลองเล่นแล้วได้โต้ตอบในช่วงจังหวะนั้นจริง ๆ เราจะรู้สึกไม่ขัดใจมากเท่าการดูอยู่เฉย ๆ เอาเข้าจริงสิ่งนี้ก็เป็นเรื่องท้าทายมาก ๆ เหมือนกัน ถ้าจะทำให้เรื่องราวมันเนียนทั้งตอนเล่นเกม และตอนเอามาดูเป็นหนังด้วย
งานออกแบบ
อีกนิดหนึ่งสำหรับไพ่ทาโรต์ ในเกมจะมีการออกแบบไพ่ทาโรต์ให้เข้ากับธีมเรื่องสยองในเกม แถมแต่ละบทยังมีการสรุปคล้ายเป็นวิดีโอหนังผีเก่าเวอร์ชันฝรั่งด้วย ให้อารมณ์เรื่องสยองย้อนอดีตได้ดีมาก
สรุป
แน่นอนเลยครับว่า The Quarry ต้องเจอกับคำถามที่แทงไปถึงตัวตนความเป็นเลือดผสมว่า ตกลงแกเป็นอะไรกันแน่? เป็นภาพยนตร์เหรอ? หรือจะเป็นเกม? คำตอบที่ผมได้จากการเล่น The Quarry ก็คือ มันเป็นและไม่เป็นทั้งสองอย่างนั่นล่ะครับ มันทั้งภูมิใจในความเป็นเลือดผสมของมัน ขณะเดียวกันมันก็ไม่เกี่ยงที่ตัวเองจะเป็นเกม หรือจะเป็นหนังไปเลย (โหมดภาพยนตร์) ทั้งหมดนั้นไม่ใช่ประเด็น เพราะสิ่งที่ The Quarry โฟกัสคือ มันจะลากเราให้ติดตามเรื่องราวของมันยังไง และผมคิดว่ามันหาทางได้จริง ๆ ครับ
ถึงความพยายามผสานเอกลักษณ์การเล่าเรื่องของสื่อภาพยนตร์กับวิดีโอเกมเข้าด้วยกันจะมีมานานแล้ว แต่ The Quarry เหมือนเป็นของที่กลั่นออกมาจากประสบการณ์ทำสื่อผสมที่บ่มมานาน ของ Supermassive Games จนมันเริ่มเข้าเค้าและลงตัว ถึงมันจะดูมีรสฝาดไปบ้าง ทั้งเรื่องการแบ่งคัตซีนสำหรับตอนใช้เล่นเกม และตอนเป็นภาพยนตร์ที่ยังไม่เนียน หรือเรื่องที่ยังเถียงกันหัวชนฝาว่าทำไมไม่ใส่ระบบเร่งบทสนทนาหรือข้ามคัตซีนเข้ามา แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ผมคิดว่าพวกเขาใกล้พบส่วนผสมที่สมบูรณ์ของความเป็นเลือดผสมเกมและภาพยนตร์แล้ว