รีวิว The Last Oricru
*ขอขอบคุณ Plaion สำหรับโค้ดเพื่อรีวิวด้วยครับ
**รีวิวนี้เล่นบน PC
ถ้าในชีวิตนี้คุณเคยมีโอกาสได้เข้าดูวิดีโอฟุตเตจของเกมเกมหนึ่งที่อัปโหลดเมื่อ 3 ปีที่แล้ว คุณอาจมีคำถามขึ้นในใจมากมาย เช่น ทำไมมันจืดขนาดนั้น ? ใครคิดชื่อเกม? หรือ มันสร้างมาให้ใครเล่น? คำถามทั้งหมดได้รับคำตอบแล้วเมื่อ Goldknight ได้เข็น The Last Oricru ซึ่งเป็นร่างพัฒนาสุดท้ายของไอ้เกมจืด ๆ นั้น ออกมาให้เกมเมอร์สัมผัสเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม ที่ผ่านมานี้เอง นอกจากธีมและกราฟิกของเกมจะเดินทางมาไกลมาก มันยังชูจุดขายตรง ๆ ทุบ ๆ เลยว่า นี่คือเกมที่ทุกทางเลือกจะให้ผู้เล่นตัดสินใจเอง และไม่ว่าผลลัพธ์มันจะออกมาในแง่ไหน มันจะไม่มีคำตอบถูกผิด
ขอสารภาพว่าหลังจาก 2 ชั่วโมงแรก ผมบอกไม่ถูกเลยครับว่าควรรู้สึกยังไงกับเกมนี้ มันออกตัวเหมือนเกมซีรีส์โซลส์ที่มีธีมแฟนตาซีผสมไซไฟ แล้วมันก็ดูไม่มีอะไรมากกว่านั้น จนกระทั่งการตัดสินใจของผมต่อชะตากรรมตัวละครบางตัวมันเริ่มไปส่งผลกระทบกับเส้นเรื่องข้างหน้ามากขึ้น ๆ
ผมเลยพอนิยามให้มันได้ว่า The Last Oricru คือเกมโซลส์ไลค์ที่หัวใจเป็น ดราก้อน เอจ (ออริจินส์) พวกกลไกการต่อสู้ การเกิดใหม่ การอัปเลเวล การติดอาวุธต่าง ๆ หยิบยืมมาจากซีรีส์ Souls แน่นอน แต่ของดีของ The Last Oricru จริง ๆ คือการมอบอำนาจให้ผู้เล่นในการเลือกเส้นทาง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสิ่งที่เราต้องเจอในอนาคต
แม้ The Last Oricru จะเต็มไปด้วยการเสียดสีจิกกัด แต่เรื่องราวของมันกลับคุกรุ่นไปด้วยไฟสงคราม การล้างแค้น เกมการเมือง หนี้เลือด เสรีภาพและสันติภาพระหว่างสองเผ่าพันธุ์คือพวก Naboru ที่ถือตนว่าทรงภูมิมีอารยะกว่าใคร กับเผ่า Ratkins เหล่าหนูยักษ์ที่ดิ้นรนต่อสู้เพื่อปลดแอกจากความเป็นทาสและเชื่อมั่นในไฟการปฏิวัติ เราจะได้รับบทเป็นมนุษย์ชื่อ Silver ศูนย์กลางผู้คอยขับเคลื่อนกงล้อชะตากรรมทั้งสองเผ่าไปสู่จุดจบในรูปแบบต่าง ๆ รวมถึงการหาคำตอบว่า Silver และมนุษย์ที่เหลือรอดแท้จริงแล้วเป็นใคร ทำไมพวกเขาถึงมาได้สติกันบนดาวดวงนี้
เนื้อเรื่องจะยึดโยงกับเกจความสัมพันธ์ของสองเผ่า การกระทำของเราล้วนส่งผลต่อเกจนี้ เช่น ถ้าเราฆ่าฝ่าย Naboru หรือบุคคลสำคัญ ความสัมพันธ์ของเรากับ Naboru จะลดลง และไปเพิ่มให้ Ratkins มากขึ้น ค่านี้จะขึ้นลงมากน้อยขึ้นอยู่กับว่าความดี หรือ ความเลวที่เราทำมันใหญ่หลวงขนาดไหน สิ่งที่ค่านี้จะส่งผลต่อเกมเพลย์อย่างชัดเจนคือ ทางเลือก และ ศัตรูที่พบเจอระหว่างทาง ทุกการตัดสินใจมีผลให้เห็นตลอดตั้งแต่ต้นยันท้ายเกม พูดง่าย ๆ ว่าจุดขายตรงนี้ไม่มีแผ่วเลย สะท้อนว่าทีมเขียนบทที่วางเส้นเรื่องทำการบ้านมาอย่างเข้มข้น
เอาเข้าจริง การแตกแขนงเส้นเรื่องที่ส่งผลกับเนื้อเรื่องในอนาคตก็เป็นสิ่งที่เกมอย่าง Elden Ring ใส่มามากเหมือนกัน แต่ที่ผมรู้สึกว่า The Last Oricru แสดงจุดนี้ออกมาชัดเจนมากกว่าจนคล้าย ๆ ดราก้อน เอจ เพราะว่าการนำเสนอของมัน เกมจะใช้คัตซีนเล่าเรื่องแบบตรงไปตรงมา เช่น ถ้าเราเลือกฆ่าตัวละครตัวไหนก็จะมีฉากฆ่าให้เห็น และจะเกิดเหตุการณ์จากผลที่เราทำไปไม่นาน ความตรงไปตรงมานี้ ช่วยให้ผู้เล่นตามเรื่องราวได้ทันว่าทำอะไรไป ได้ผลอะไรกลับมา
ถ้าจะมีอะไรให้บ่นในหัวข้อนี้ ขอชี้ไปเรื่องบทสนทนาครับ โอเค ผมชอบความสร้างสรรค์ในการเสียดสีของพระเอกและพวกตัวละครรายล้อม มันจิกกัดกันสะใจและมีกลิ่นวัฒนธรรมปัจจุบัน แต่ยังรู้สึกอดไม่ได้ว่า บทสนทนาแอบน้ำท่วมทุ่งไปหน่อย คุยกับตัวละครแต่ละรอบบทสนทนาโต้ตอบกันเกิน 10 ครั้ง ขับรถรอบอนุสาวรีย์อยู่นั่นแหละกว่าจะจอด ซึ่งจริง ๆ มันสรุปจบได้แค่ใน 4-5 ประโยคด้วยซ้ำ
สำหรับใครที่อยากเสพเนื้อเรื่อง แต่แขยงกับความยากในเกม The Last Oricru ก็ใส่ความยากระดับ Story มาให้ตั้งแต่ต้น ใครที่อยากเล่นเสพเรื่องราว หรือ อยากวนเล่นซ้ำแล้วเลือกตัวเลือกใหม่ ๆ แบบไม่เสียเวลาตายเยอะก็กดความยากนี้ไปเลย
เกมเพลย์
ระบบต่อสู้จะมีการหยิบยืมซีรีส์ Souls มาเน้น ๆ เลยครับ อาวุธจะแบ่งเป็น 2 มือ โดยเราไม่ได้มีอิสระในการติดอาวุธมากนัก เพราะเกมกำหนดมาแล้วว่าอาวุธไหนต้องใช้กับมือไหน การโจมตีก็จะมีแบบตีหนัก ตีเบา ล็อคเป้าศัตรูแล้วหาโอกาสเชือดตอนได้จังหวะ อาวุธแต่ละชิ้นก็จะเรียกร้องค่า Stat ของเราในการใส่ด้วย ถ้าเรามี Stat ไม่ถึง ก็จะทำให้เราใช้พลังวิเศษของพวกมันไม่ได้ หากเราตายเราจะสูญเสีย Essence ซึ่งเอาไว้ใช้เพิ่มค่าประสบการณ์และแลกเป็นเงิน จากนั้นร่างเราจะไปโผล่ที่ Terminals (ทำหน้าที่เป็น Bonfire ของเกมนี้)
ในฐานะคนเล่นสายเวท เกมนี้ให้อารมณ์ที่แตกต่างจากการเล่นเวทมนตร์ในเกมโซลส์ทั่วไป เวทในเกมนี้จะแบ่งเป็น 3 สาย คือไฟ วอยด์ และสายฟ้า แต่ละสายจะมีอาวุธมาให้ และอาวุธนั้นก็จะมีเวทให้ใช้สองแบบคือ ยิงธรรมดา กับเน้นแรง แถมยังมีพวกดาบเวทเฉพาะของจอมเวทด้วย
ทั้งหมดนี้จะใช้มานาของตัวละครในการโจมตีทั้งหมด จุดนี้ล่ะครับที่มันไม่เหมือนใคร เพราะเกมนี้ไม่มีของเพิ่มมานาแบบกิจจะลักษณะ! (อาจจะมีแหวนเพิ่มมานาบ้าง แต่ก็ไม่ได้เติมมานาทันใจขนาดนั้น) เกมจะให้อาวุธชื่อว่า Mana Drainer ติดมือเราอีกข้าง คุณสมบัติก็คือมันจะดูดมานาจากศัตรูเมื่อเราตีมันโดน ทำให้ผมจะมาใช้มุกยืนยิงทิ้งยิงขว้างและกินขวดมานาไม่ได้อีกแล้ว มันต้องมีเข้าไปแลกหมัดกับศัตรูหน่อย ซึ่งการเพิ่มความเสี่ยงให้นักเวทแบบนี้ผมคิดว่าช่วยเปิดมิติใหม่ ๆ ของการเล่นนักเวทได้ดีเลย
ถ้ามองแค่ระบบต่อสู้โดด ๆ โดยภาพรวมผมถือว่าพอเอาตัวรอดได้ น่าเสียดายว่าปัญหาเดิม ๆ ของเกมแนวนี้ยังตามมาหลอกหลอนเราอยู่ นั่นคือเรื่องมุมกล้อง การล็อคเป้าเข้ามุมอับมรณะยังมีให้หัวร้อนตลอดทั้งเกม ยิ่งตอนโดนรุมติดกำแพงผมนี่อยากกดฆ่าตัวตายเองให้รู้แล้วรู้รอด The Last Oricru ยังเติมน้ำมันใส่หัวเราเพิ่มด้วย Hitbox สุดมหัศจรรย์ หลายครั้งตัวละครเราออกท่าตีจนมือจะจมเข้าไปในหัวศัตรูอยู่แล้วแต่ปรากฎว่าตีไม่โดน… ปัญหานี้ค่อนข้างเด่นชัดมากเท่าที่ผมเล่นมา
งานออกแบบ
The Last Oricru เล่นท่ายากด้วยการจับธีมที่ฉีกกันอย่างไซไฟและแฟนตาซีมาสร้างเป็นโลกในเกม ซึ่งนับว่ามีความท้าทายว่าจะออกแบบมาให้ลงตัวได้อย่างไร แต่เกมสามารถเอาตัวรอดในเรื่องนี้ได้ เพราะการสร้างเรื่องราวมาอธิบายที่มาที่ไป (Lore) เช่น ทำไมตัวเราถึงสามารถตายแล้วเกิดใหม่ได้ตลอดเวลา ก็เพราะเรามีเข็มขัดที่เป็นเทคโนโลยีสุดลึกลับอยู่กับตัว แล้วทำไมพวก Ratkins ถึงสามารถใช้ไฟได้เหมือนใช้เวทมนตร์ นั่นเพราะพวกมันอาจถูกตัดต่อพันธุกรรมบางอย่างมาแล้ว ซึ่งรายละเอียดเบื้องหลังพวกนี้เราจะได้ฟังได้อ่านจากบทสนทนาต่าง ๆ รวมถึงบันทึกของกัปตันผู้อยู่เบื้องหลังของเรื่องราวนี้ มันช่วยให้งานออกแบบมีเหตุผลมาสนับสนุนให้ผู้เล่นซื้อในสิ่งที่เห็นได้
ส่วนงานของการออกแบบฉากก็ทำออกมาก็อยู่ในเกณฑ์ดี โลกของ The Last Oricru ให้เราได้ออกเดินทางไปหลายที่มากกว่าที่คิด แต่ละสถานที่ก็จะมีบรรยากาศ ศัตรู และจุดขายของตัวเอง เช่น หากลงเหมืองก็จะมีแมงมุม มีแร่ให้ขุด และรถรางช่วยเดินทาง บริเวณภูเขาไฟก็จะเป็นฐานใหญ่ของพวก Ratkins ส่วนปราสาทและบ้านเมืองแนวยุคกลางก็มีพวก Naboru ปกครองอยู่ ข้อเสียใหญ่ ๆ ที่เห็นก็คือเกมใช้เวลาโหลดตอนเข้าฉากใหม่นานจริง ๆ
ปัญหาทางเทคนิค
ทั้งหมดทั้งมวลที่ว่าไป ผมเสียใจที่จะบอกว่าการเก็บงานของ The Last Oricru อยู่ในขั้นน่าเวทนามาก มีบั๊กที่สร้างความรำคาญไปจนกระทั่งทำลายประสบการณ์การเล่น เอาแบบเบา ๆ ก็คือคุยกับ NPC อยู่ดี ๆ มุมกล้องก็ไล่เราไปคุยกับตึก คุยกับกำแพง แถบแสดงหน้าจอภารกิจที่ยิ่งคุณทำภารกิจมาก มันก็จะยิ่งอัดรายการภารกิจเข้าไปจนตัวอักษรเล็กลง ๆ เท่าขนหน้าแข้งมด และอย่างที่บอกไปด้านบนครับ พวกบอสต่าง ๆ ที่ใส่ Hitbox มาแบบไม่ตรวจงาน ตีโดนบ้างไม่โดนบ้างทั้งเราและบอส
สรุป
ถ้าคุณรู้สึกว่าเกมซีรีส์ Souls มันเล่าเรื่องไม่ชัดเจน พึ่งพาการตีความของผู้เล่นเยอะ The Last Oricru คือทางเลือกที่คุณน่าไปโดนมาก เกมใช้วิธีเล่าเรื่องแบบตรงไปตรงมาผ่านคัตซีน คุณสามารถจับต้นชนปลายเนื้อเรื่องได้ง่าย ๆ แม้ว่าคุณจะเลือกเส้นทางเนื้อเรื่องให้มันแตกแขนงไปมากมายแค่ไหนก็ตาม เกมยังมีโหมด Story มาเป็นทางเลือกให้เล่นซ้ำ สำหรับคนที่อยากลองทางเลือกใหม่ ๆ แบบไม่ตายเยอะ ตัวเกมใช้เวลาประมาณ 10 ชั่วโมงขึ้นไปในการเล่นรอบแรก ก็ถือว่าเป็นความยาวในระดับที่ไม่น่าเกลียด แถม The Last Oricru ก็มีเส้นเรื่องในการเล่นต่อรอบเยอะด้วย
แต่อย่าเพิ่งเอามือล้วงกระเป๋าตังค์ครับ มันมีเหตุผลที่เกมนี้ได้แค่ 7 เพราะผมขอยืนยันอีกเหมือนกันว่าสถานะของ The Last Oricru ตอนนี้ยังไม่พร้อมที่จะให้คุณได้สัมผัสมันตั้งแต่ต้นจนจบแบบไม่สะดุด ตัวเกมมีปัญหากับการเก็บงานไม่เนี๊ยบมากพอสมควร อย่างน้อยก็ในเวอร์ชันบน Stream ที่ผมเล่น ไม่ว่าจะเป็นบั๊กการแสดงผล การโหลดเกมผ่านฉากที่กินเวลานานมาก หน้าจอ UI ที่ไม่ใช่แค่จืด แต่ยังแสดงผลขัดข้องอีกอย่างภาพที่ผมแปะไปด้านบน ปัญหาเทคนิคพวกนี้ไม่ได้ทำให้เกมพังจนถึงขั้นต้องเอาออกจากร้านค้า แต่ว่าถ้าคุณเลือกจะเล่นตอนนี้ ก็ต้องทนสภาพเล่นไปกำหมัดไปนั่นล่ะครับ