Total War Warhammer 3 + Forge of the Chaos Dwarfs – รีวิว [REVIEW]
*ขอขอบคุณ SEGA Corporation สำหรับโค้ดรีวิวมา ณ โอกาสนี้ครับ
สเปกคอมที่ใช้เล่นเกมนี้คือ
Intel(R) Core(TM) i7-10700 CPU @ 2.90GHz 2.90 GHz
NVIDIA GeForce RTX 3070
RAM 32 GB
สำหรับคนที่ไม่ได้เป็นสมาชิกชมรมค้อนสงครามเต็มตัว หรือ ไม่แม้แต่เคยแตะเกมซีรีส์ Total War มาก่อน รีวิวนี้นับเป็นความรับผิดชอบที่ท้าทายมากพอสมควร เพราะผมไม่สามารถพูดแทนในนามของแฟนทั้งสองซีรีส์ได้เลย แต่ในฐานะเกมเมอร์ที่มีชั่วโมงเล่นรวมทั้งชีวิตมาพอสมควร ก็น่าจะบอกประสบการณ์จากเท่าที่เล่น Total War Warhammer 3 (TWW3) ได้บ้าง
แคมเปญ
สิ่งที่ดูจะโดดเด่นออกมาชัดเจนคือส่วนของ แคมเปญ ที่เกมแนะนำให้ผู้เล่นมือใหม่ทุกคนได้ลองก่อน เพราะมันจะเป็นเหมือนบทสอนเล่น ให้คนมาใหม่ได้ทำความคุ้นเคยกับการจัดทัพ การรบ และการบริหารจัดการอาณาเขตใต้บัญชาในแบบสไตล์ Total War
พอพูดถึงบทช่วยส่วน หรือ Tutorial มันให้ความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกสำหรับใครหลาย ๆ คน เพราะมันเป็นส่วนที่ทำให้คนเบื่อเกมง่ายมาก แต่ถ้าขาดไปเลยก็ไม่ได้ ซึ่งทีมพัฒนา TWW3 คงรู้จุดอ่อนตรงนี้ดี พวกเขาเลยออกแบบแคมเปญให้มีลักษณะดูน่าสนใจมากขึ้น
โดยในแคมเปญของ TWW3 เราจะได้รับหน้าที่ให้ออกเดินทางเพื่อไปช่วยเหลือเทพเจ้าหมี Ursan ของ Kislav เพราะมีการปูเรื่องว่า Ursan ทำหน้าที่เป็นผู้ปัดเป่าเมฆหมอกแห่งความหนาวเหน็บ ทำให้แสงอาทิตย์ได้มอบความอบอุ่นแก่พื้นผิวโลกอีกครั้ง แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็คือ Ursan ถูกจับคุมขังที่ไหนสักแห่ง และเป็นหน้าที่เราที่จะต้องไปช่วย
ถ้าพูดกันในแง่การนำเสนอเนื้อเรื่อง มันก็เหมือนเราได้ทำความรู้จักกับตำนานบทใหม่ มันไม่ได้ทำราวกับว่าคนเล่นมีแต่แฟน ๆ เท่านั้น ผู้เล่นหน้าใหม่ก็สามารถติดตามเรื่องราวนี้ไปได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ส่วนใครที่ยังอยากลงลึกเรื่องราวเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ นั่นเป็นเรื่องที่ไปตัดสินใจกันทีหลังได้
เกมเพลย์
เกมเพลย์ของแคมเปญจะมีลักษณะลูกผสมของสองส่วนคือความเป็นบอร์ดเกม และความเป็นเกมแนวกลยุทธ์แบบ Total War ความเป็นบอร์ดเกมก็คือจะมีการเดินเกมเป็นเทิร์นเบส เราจะบังคับตัวละครให้เดินไปยังจุดหมายบนแผนที่ วางแผนบุก อัปสกิล ปรับแต่งตัวละครของเรา หรือ สร้างอาคารต่าง ๆ
สิ่งที่โดดเด่นคือเมื่อเราเดิน หรือ ทำอะไรก็ตามจนถึงกำหนด จะมีหน้าต่างทางเลือกให้ตัวละครเราเด้งขึ้นมา คล้าย ๆ กับตอนเราเล่นบอร์ดเกมแล้วเดินไปตกช่องที่ต้องมีการตัดสินใจ เช่น เราจะทำยังไงกับอาวุธของบอสศัตรู ไม่มีถูกผิด ทุกอย่างมีประโยชน์ของมันเองที่จะช่วยคุณตลอดการเดินทาง
แคมเปญของภาคนี้เลยมีลักษณะคล้ายเมนูอุ่นเครื่องที่จะทำหน้าที่พาคุณไปสัมผัสรสชาติที่ลึกซึ้งขึ้นของมหากาพย์สงครามของเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ
ส่วนเกมเพลย์แบบแนว Total War ก็อย่างที่ทุกท่านคงจะพอเดากันได้ว่าน่าจะเน้นที่การรบพุ่งกันอย่างเต็มสูบ ตอนแรกผมเข้าใจว่ามันน่าจะเป็นแนว RTS แบบพวก Warcraft, StarCraft แต่พอเล่นจริง ๆ มันก็พูดได้ไม่เต็มปากครับ เหมือนมันมียีนส์ความเป็น RTS ที่เอามาตัดต่อคัดเลือกบางสิ่ง ทิ้งบางอย่าง เช่น คุณสามารถบังคับยูนิตเป็นกองพลได้ แต่มันก็จะมีจังหวะช้า มีการต่อสู้ในเสกลใหญ่ยักษ์ระดับเอาทหารเป็นพันมายันและเหยียบกันเล่น
ลักษณะโกลาหลแบบนี้ รวมถึงองค์ประกอบแบบเทิร์นเบส ทำให้แฟน ๆ ยังเถียงกันจนมาถึงปัจจุบันว่า Total War คือ RTS จริงมั้ย หรือควรจะจับมันใส่กล่อง Grand Strategy แทน ซึ่งผมจะขอหลีกทางให้แฟน ๆ (หนึ่งในนั้นอาจเป็นคุณ) หาคำตอบและนิยามที่เหมาะสมของมันต่อไป
สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยก็คือ ถ้าคุณอยากเห็นการรบพุ่งระดับมหึมาที่มีรสชาติความเป็นแฟนตาซีฉ่ำ ๆ แบบที่ตัวละครระดับ Lord ฟาดอาวุธแล้วพลทหารอีกฝั่งลอยไปมาเหมือนเซารอนหวดใส่พวกพันธมิตรในฉากเปิด The Fellowship of the Ring หรือ พวกจักรกลไฟนรกตบไล่ขยี้ทัพทหารเหมือนมดปลวก เอฟเฟกต์เวทมนตร์สุดอลังการต่าง ๆ มันคือ TWW3 เลยครับ ผมอาจจะไม่ได้เล่น Total War ภาคที่เป็นโรมัน ญี่ปุ่น หรืออะไรก็ตามที่มันยืนพื้นบนสงครามในโลกจริง แต่ไอ้รสชาติแฟนตาซีที่ผมบอกไปด้านบน ผมว่ามันเข้ากันอย่างกลมกล่อมกับซีรีส์นี้เลย ต้องสเกลใหญ่ยักษ์แบบนี้แหละที่มันจะให้คุณรู้สึกอีปิกได้จริง ๆ
แต่พูดตรง ๆ ผมคิดว่าเกมเพลย์ที่มีมุมมองเสกลใหญ่ยักษ์มันก็มีจุดที่ผมไม่ชอบเหมือนกัน นั่นคือการที่ยูนิตมันมีจำนวนเยอะมาก ๆ ทำให้เราต้องซูมหน้าจอให้ออกห่างมาในระยะที่ค่อนข้างไกล เพื่อที่เราจะได้เห็นภาพรวมของสนามรบ ยูนิตบางกลุ่มนี่ตัวเล็กเหมือนมดเกาะบนหน้าจอ จังหวะเกมมันเลยบังคับให้เราต้องซูมเข้าออกบ่อย ๆ
นอกจากเรื่องของเกมเพลย์ เผ่าพันธุ์อันมากมายมหาศาลก็เป็นอีกจุดเด่นของ TWW3 ที่มันเยอะจนอดคิดไม่ได้ว่าคนสร้างจะมโนแจ่มอะไรได้ขนาดนั้น ทั้งพวกเผ่าเบสิกสามัญประจำบ้าน เอล์ฟ คนแคระ พวกยักษ์ ไปจนถึงแวมไพร์ อันเดด และพวกที่มีชื่อเฉพาะอย่าง Khorne ที่ถนัดการต่อสู้ระยะประชิด หรือ Slaanesh ที่อาศัยหากินกับความเร็วและดุดันของตัวเอง
แล้วในแต่ละเผ่าก็จะมีการแบ่งชนชั้นยูนิต เป็นพวกลอร์ด พวกฮีโร พวกพลเดินเท้า พลยิงไกล พวกสัตว์ประหลาด หรือ จักรกลขนาดยักษ์ ซึ่งก็เปิดพื้นที่ให้ผู้เล่นทดสอบกลยุทธ์ในแบบของตัวเองได้ไม่มีสิ้นสุด
โรงหลอมนรกของ Chaos Dwarfs
FORGE OF THE CHAOS DWARFS นับเป็น DLC ที่จะมาเติมสีสันของเผ่าพันธุ์ในเกมจากที่เยอะอยู่แล้ว ก็เยอะกว่าเดิม Chaos Dwarfs จะให้คุณได้บังคับสามลอร์ดในตำนานผู้ชั่วร้ายของเผ่า รวมถึงอีกหนึ่งฮีโร และยูนิตอย่างพวกอสุรกายใหม่ ๆ ที่ออกแบบมาให้สะท้อนความน่ากลัวของโรงหลอมนรก
แคมเปญที่มาพร้อมกับ DLC ตัวนี้ก็จะถูกออกแบบมาใหม่ให้เล่นหลายแคมเปญ ผมขอยกตัวอย่างแคมเปญหนึ่งที่ได้เล่น มันก็จะเป็นแคมเปญที่เราต้องบังคับ Astragoth Ironhand นายเหนือหัวของ Chaos Dwarfs คอยปกป้องผู้รุกรานไม่ให้มาขัดขวางการทำงานของสว่านยักษ์แห่งฮาชูต (Great Drill of Hashut)
เกมเพลย์ในแผนที่ที่ผมเล่นจะมีลักษณะให้ศัตรูตีกระหนาบเราทั้งสองฝั่ง โดยเราต้องทำยังไงก็ได้ไม่ให้ศัตรูเดินทัพเข้ามายึดจุดสำคัญทั้งหมด ทางเลือกเราก็จะมีทั้งนำทัพไปตั้งดักยิงบนที่สูง การสร้างกำแพงป้องกัน ไม่ก็สร้างหอยิงลูกไฟระเบิดใส่ศัตรู (มีความเป็นแนว Tower Defense หน่อย ๆ ) ซึ่งก็สนุกใช้ได้
ปัญหาสำคัญของ DLC ตัวนี้ไม่ใช่เรื่องของคุณภาพ แต่เป็นเรื่องของปริมาณล้วน ๆ เลยครับ คิดดูว่าคุณจะต้องยอมจ่ายเงิน 590 บาท (อ้างอิงราคาปัจจุบันบน Steam) เพื่อจะเพิ่มหนึ่งเผ่าพันธุ์เข้าไป แล้วก็ภารกิจอีกเล็กน้อย สำหรับผมแล้วเป็นราคาที่น่าตกใจกับสิ่งที่ให้มา และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกในกรณีที่ SEGA เป็นผู้จัดจำหน่าย เพราะผมก็เคยพูดเรื่องความไม่สมเหตุสมผลของราคาเทียบกับปริมาณคอนเทนต์ใน DLC School Spirits ของ Two Point Campus เหมือนกัน
แต่ถ้าเทียบกับ FORGE OF THE CHAOS DWARFS ผมรู้สึกว่ามันยิ่งกว่านั้นอีกครับ ราคามันแรงจนผมไม่แน่ใจว่าโรงหลอมของพวกคนแคระขูดรีดแรงงานหรือเงินในกระเป๋าผู้บริโภคมากกว่ากัน ถ้ามันหั่นราคาลงสักครึ่งนึง (เอาเข้าจริงก็ยังแอบแพงอยู่) ผมก็ยังพอจะกัดฟันแนะนำว่าให้ไปลองกันได้ แต่ถ้าราคาหน้าร้านปัจจุบันยัง 590 บาท ผมว่ารักษาเนื้อรักษาตัวกระเป๋าเงินของคุณไปรอ Shadows of Change ดีกว่า
จุดเด่น
- มีแคมเปญที่ออกแบบมาสำหรับมือใหม่ได้สมดุล ไม่น่าเบื่อ หรือ เข้าใจยาก เกินไป
- เป็นเกมเริ่มต้นเปิดโลก Warhammer และ Total War ได้ดี
- การรบพุ่งเสกลมหึมา อลังการจนตาระเบิด
- เกมมีหลากหลายเผ่าพันธุ์ เปิดความเป็นไปได้ในการสร้างกลยุทธ์ได้มหาศาล
จุดด้อย
- เกมมีจังหวะเนิบช้าและอาศัยความอดทนพอสมควร อาจไม่ถูกจริตสาย RTS ที่มีจังหวะเร็วกว่านี้
- ตัว DLC: FORGE OF THE CHAOS DWARFS มีราคาที่กล้าพูดได้ว่าสูงไป ถ้าเทียบกับคอนเทนต์ที่ได้