Reviews

Marvel’s Spider-Man 2 – รีวิว [REVIEW]

โดย ปอลนาโช่

รีวิว Marvel’s Spider-Man 2

  • ขอขอบคุณ Sony PlayStation สำหรับโค้ดเกม PS5 เพื่อการรีวิวในครั้งนี้
  • ภาพและคลิปฟุตเทจของรีวิวนี้มาจากการเล่นในโหมด “ประสิทธิภาพ” ทั้งหมด
  • ผู้เขียนรีวิวหลังเล่นจบเนื้อเรื่องแล้ว และไล่เคลียร์ภารกิจรองต่าง ๆ ในเกมไปได้ราว 60 % ของตัวเกม

ไอ้แมงมุมภาค 2 คือเกมที่ผมรอคอยที่จะได้เล่นมากที่สุดประจำปีนี้ครับ เนื่องด้วยผมประทับใจผลงานสองภาคที่ผ่านมาของทีมงาน Insomniac Games เป็นอย่างมาก (Marvel’s Spider-Man (2018) กับ Marvel’s Spider-Man: Miles Morales (2020) แถมผมเองยังเป็นแฟนภาพยนตร์ในแฟรนไชส์ Spider-Man ของมาร์เวลอีกด้วย แบบนี้จะให้พลาดเล่นเกมได้ยังไงกันล่ะ!

ทีนี้ เมื่อ 29 ก.ย.ที่ผ่านมา ทางโซนี่ใจใหญ่หยิบยื่นตัวเกมฉบับรีวิวมาให้สื่อเกมอย่างพวกเรา ซึ่งตัวเกมจริง ๆ มีกำหนดวางขายวันที่ 20 ต.ค.! ให้ก่อนนานขนาดนี้แปลว่าพวกเขามั่นใจผลงานตนเองมาก ๆ ซึ่งผลออกมาจะเป็นแบบนั้นหรือเปล่า? อยากรู้กันแล้วใช่ไหมล่ะครับพี่น้อง…มาครับๆๆๆ ผมจะตีแผ่เกม Marvel’s Spider-Man 2 ให้ทุกท่านได้ทราบกันเดี๋ยวนี้แหละ เริ่มได้!

STORY

(คำเตือน: ตัวบทความจะไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องแต่อย่างใด แต่ฉบับวิดีโอรีวิว อาจเผยให้เห็นเกมการเล่นช่วงบทนำ และบางส่วนของตอนต้นเกม ซึ่งเป็นไปตามกติกา/ข้อตกลงกับทางโซนี่แล้ว ฉะนั้น หากใครอยากเล่นเองแบบเพียว ๆ ก็แนะให้ข้ามได้ตามสะดวกครับ ไม่ว่ากัน)

เกม Marvel’s Spider-Man 2 เล่าเรื่องราว 10 เดือนให้หลังจากเหตุการณ์ในภาค Miles Morales โดยภาคของไมลส์นั้นเขาเน้นหนักไปที่การค้นหาตัวตน, การเปลี่ยนผ่านจากวัยรุ่นของไมลส์ไปสู่วัยที่ต้องเริ่มทำความเข้าใจกับการเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น การมีหน้าที่รับผิดชอบ

ทว่าพอมาภาค 2 นี้ พล็อตหลักจะตีกลับไปที่ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ ครับ ว่าด้วยการเผชิญปัญหาชีวิตแบบวัยผู้ใหญ่เต็มตัว ที่ต้องแบ่งเวลาระหว่างหน้าที่การงานและครอบครัว, การพยายามหาจุดลงตัวของการเป็นฮีโร่ประจำเมืองและความหมายที่แท้จริงของคำว่าวีรบุรุษกับการเสียสละ ตลอดจนการต้องยอมรับความจริงของโลก ที่มันจะมีบางเรื่องที่อาจต้องปล่อยวาง…ให้มันเป็นไปตามวิถีธรรมชาติ

ซึ่งประเด็นเหล่านี้ที่ผมเอ่ยมา มันไปเซ็ตโทนให้เกมภาคนี้มีความจริงจังมากขึ้น ชวนให้คนเล่นได้คิดตามมากขึ้น แถมบรรยากาศช่วงครึ่งแรกของเกม ที่บรรดาปัญหาทุกอย่างมันรวมตัวกันถล่มเข้าใส่ปีเตอร์นั้น เล่นเอาคนเล่นอย่างเรายังท้อแทนเลยครับ เล่นไปเล่นมานึกว่านี่มันหนังชีวิตเครโทสจากก็อดออฟวอร์หรือเปล่านี่

ตัวเกมเขาพยายามย้ายมุกตลกขำขันไปให้กับการเล่นฝั่งไมลส์ โมราเลส แต่ผมมองว่าน้ำหนักที่ได้ไม่ได้ถ่วงดุลได้มากเท่าไหร่นัก ทำให้เมื่อเล่นเกมจนจบ ผมพบว่าเกมนี้ขาดความตลกแบบหนังมาร์เวลไปพอสมควร แต่ที่ได้มาก็คือ ผลงานการเล่าเรื่องที่ดราม่ากินใจ มีความลึกซึ้งจับใจผู้เล่น ซึ่งเมื่อบวกกับการเดินเรื่องสไตล์เกมโซนี่ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ตัวเกมครบเครื่องลงตัว รู้สึกว่าเล่นแล้วคุ้มค่าเป็นอย่างมาก

ขณะที่เนื้อเรื่องฝั่งตัวร้าย หลายคนก็จะมีปมของตนเอง มีกิเลสมีความหลงผิดแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นคราเว่นหรือวีน่อมและคนอื่น ๆ แต่ที่ Insomniac Games เขาทำได้ดีมากก็คือ จังหวะจะโคนของแต่ละตัวที่เราต้องเผชิญ เขาวางให้มันสานต่อกันได้ดี ทำให้เกมมีช่วงตื่นเต้น, ช่วงเหวอช่วง “ลวงคนดู” ตลอดจนช่วงเวลาแห่งการคลี่คลาย ซึ่งไอ้การเดินเรื่องให้ออกมาดีแบบนี้แหละ หลายเกมตกม้าตายมากันมาเยอะแล้วนะครับ

สรุปคือในหัวข้อนี้ผมให้คะแนนไปเลยเต็ม ๆ ไม่มีหักครับ แค่อยากจะสื่อสารให้ทราบกันว่าตัวเกมมันมาแนวเข้ม ๆ เลยนะครับ (ขนาดวีน่อมภาคนี้ยังเป็นสายเครียดอ่ะคุณเอ๊ย) ไม่เน้นฮาโบ๊ะบ๊ะว่างั้นเถอะ

GAMEPLAY

มาต่อกันที่ระบบเกมการเล่น ซึ่งขอเริ่มต้นหัวข้อนี้ด้วยระบบการเปลี่ยนตัวละครสลับไป-มาได้ระหว่างเล่น ซึ่งถือว่าตัวเกมทำได้ยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก คุณสามารถเปลี่ยนตัวได้โดยปัดทัชแพดเพื่อเรียกหน้าจอแอปสื่อสารในเกมขึ้นมา จากนั้นก็กดปุ่มสี่เหลี่ยมค้างไว้แป๊บนึงก็จะเป็นการสลับไปใช้สไปเดอร์แมนอีกคน ไม่ว่าเขาจะอยู่ตรงไหนในแมปก็ตาม ถือว่าทำได้สะดวกมาก โหลดเร็วแบบกะพริบตาเลยทีเดียว

ด้านการต่อสู้ในเกม โดยภาคนี้เพิ่มการตั้งการ์ดสวนการโจมตีได้แล้ว (parry) ไม่จำเป็นต้องคอยโยกหลบอย่างเดียว ขณะที่สายสกิลก็แบ่งเป็นของปีเตอร์ ของไมลส์ แล้วก็สกิลที่สามารถใช้ร่วมกันได้ รวมเป็น 3 เส้นทาง เมื่อรวมกับการอัปเกรดอุปกรณ์แมงมุมเพิ่มเติมด้วยแล้วจะยิ่งทำให้สไปเดอร์แมนทั้งสองคนมีท่วงท่าวิชาการต่อสู้หลากหลายมาก ๆ

อย่างไรก็ดี ศัตรูในภาคนี้แกร่งมากครับ เก่งกว่าเกมสองภาคแรกแบบคนละชั้น พวกมันรู้จักป้องกัน หลบหลีกท่าโจมตีของเราได้ด้วย แถมมีจำนวนมากมายหลายคนในทุกการปะทะ สู้กันปวดนิ้วแน่นอนอ่ะ

ทั้งนี้ ในภาพรวมก็ต้องขอชื่นชมว่า ทีมงานออกแบบระบบการต่อสู้ได้ดีมาก ขนาดผมเองเล่นเกมมาเยอะแยะ ผ่านมาแล้วมากมายก็ยังอดทึ่งไม่ได้ว่าเกมนี้สามารถทำให้การต่อสู้ในเกมให้ความรู้สึกสดใหม่, เล่นสนุก ที่สำคัญคือไม่น่าเบื่อแม้แต่น้อย

การเปลี่ยนแปลงสำคัญในเกมที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ การใช้ Web Wings เพื่อร่อนในฉากโอเพ่นเวิลด์ ที่ใช้งานสะดวกมาก เคลื่อนที่ได้เร็วและไกลมากจนแทบไม่ต้องโหนใยแบบเก่ากันแล้ว

ทางด้านภารกิจในเกม นอกจากภารกิจเนื้อเรื่องหลักแล้ว คุณยังจะได้เจอกับไซด์คอนเทนต์อีกมากมายในฉากแผนที่ (รวม ๆ กันแล้วก็ประมาณ 9-10 ประเภท) ซึ่งทั้งหมด ไม่ซ้ำกับเกมในภาคแรก (แต่ก็ยังมีหลักการในการเล่นคล้ายกันอยู่) โดยบางมิชชันจะเป็นมินิเกมเน้นการแก้พัซเซิล, บางอันเน้นการสืบสวนในสไตล์เดียวกับเดอะ วิชเชอร์ 3, บางภารกิจเน้นการเดินทางแข่งกับเวลา เป็นต้น

ซึ่งเมื่อรวมกับแคมเปญหลักแล้ว ต่อให้รีบเล่นยังไงก็ต้องใช้เวลาเยอะพอสมควรกว่าจะจบเกมครับ ผมไม่อยากบอกเป๊ะ ๆ เพราะแต่ละคนเล่นไม่เหมือนกันแต่อย่างน้อย 20 ชั่วโมงต้องมีแน่นอน

ส่วนการสู้บอส ต้องบอกเลยว่าอย่างเดือด บอสมีพลังชีวิตเยอะ บางตัวมีพัซเซิลในฉากต้องแก้ก่อนถึงจัดการได้ หลายตัวเลยที่เล่นแล้วผมรู้สึกว่าสนุกมาก ทำได้ดีจริง ๆ

ประเด็นสุดท้ายในหัวข้อนี้ก็คือเรื่องของปัญหาที่พบระหว่างการเล่น ซึ่งเอาเข้าจริง ปัญหาเดียวที่ผมพบก็คือพวกความบั๊กความก่งก๊งของเอไอในเกมโลกเปิดที่เจอได้แทบทุกเกมครับ ยิ่งภาคนี้เขาขยายแมปให้ใหญ่กว่าเดิมถึงสองเท่ายิ่งทำให้พบเห็นบั๊กต่าง ๆ ในฉากได้ง่ายขึ้นไปอีก

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ อาทิ ช่วงระหว่างอินเกม Scripted sequence ผมดันไปกดนั่งบนเก้าอี้สาธารณะขณะที่เดินสนทนากับ NPC มันเลยกลายเป็นว่าผมลุกไม่ขึ้นครับ ถูกล็อกอยู่อย่างนั้นเฉยเลย

อีกเหตุการณ์ก็เจอระหว่าง Scripted sequence ก็คือ ผมต้องโหนใยไปยังจุดที่กำหนดให้ทันเวลา ทีนี้ผมหลงทิศมุ่งหน้าไปผิดทางครับ ตัวเกมมันจะพยายามหมุนกล้องดึงตัวสไปเดอร์แมนให้กลับมาทางเดิมจนผมติดอยู่ในกำแพงล่องหนกลางอากาศ ไปไหนไม่ได้

อ่ะแถมให้อีกอัน ที่พบบ่อยก็คือ NPC ที่เราไปกระตุ้นให้เกิดอีเวนต์แล้วหากมันไม่ได้ยืนอยู่ในจุดที่กำหนด มันจะสไลด์ตัว…แว้บบบ…มาอยู่ตรงที่ ๆ ควรอยู่อย่างกับท่าเต้นของไมเคิล แจ๊กสันอ่ะครับ 555

อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อเหลือเกินว่าบรรดาเออเรอร์เหล่านี้จะได้รับการแก้ไขปรับจูนให้ดีขึ้นอย่างแน่นอนในอนาคต เพราะอย่าลืมว่าเวอร์ชันที่ผมเล่นมันเป็นตัวแรกสุดนะครับ เดี๋ยวต้องมีแพตช์ออกมาอีกเยอะเชื่อสิ

ปล.ทิ้งท้ายกับข้อสงสัยที่หลายคนอาจกังวลเกี่ยวกับระบบการเล่นลอบเร้นของ MJ นั้นจะกลับมาอีกมั้ยในภาคนี้ ขอบอกเลยครับว่ามี แต่มีนิดเดียวจริง ๆ ถ้าเทียบกับทั้งเกมผมว่ามีแค่ประมาณ 2% เองมั้ง มันเป็นส่วนเติมเนื้อเรื่องให้สมบูรณ์เฉย ๆ ครับ

THAI LOCALIZATION

การแปลภาษาไทยในเกมนี้ถือว่าทำได้ดี ผมไม่พบเจอการแปลผิด หรือใช้สำนวนที่ดูแปลกแปร่งแต่อย่างใด แถมฟอนต์ที่ใช้ก็อ่านง่ายสบายตา

ART & CREATIVITY

ผมเล่นด้วยโหมด performance ที่เฟรมเรตไหลลื่นปรื๊ด ๆ โดยตัวเกมรองรับ ray-tracing ซึ่งให้ภาพฉากเมืองนิวยอร์กที่สวยงามอย่างมาก มีรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ สมจริงแถมด้วยการแสดงผลแสงแดดในเกมที่งดงาม จะเห็นความหยาบของภาพก็ต่อเมื่อคุณลอยตัวขึ้นไปบนฟ้าได้สูงมาก ๆ แล้วมองลงมาก็จะเห็นภาพบ้านเรือนที่ดูแบน ๆ ไร้รายละเอียดเหมือนกล่องกระดาษอยู่บ้างเหมือนกัน

CONCLUSION

พอเล่นเกมจบ ผมยิ่งเห็นภาพชัดเจนของการทำเกมสไตล์โซนี่เลยครับ คือเขารู้แล้วว่าสูตรของเกมที่ประสบความสำเร็จนั้นเป็นอย่างไร มีอะไรเป็นปัจจัยที่จำเป็นต้องมีบ้าง เมื่อรู้แล้วเขาก็ทุ่มทุนมหาศาลเพื่อให้ได้ออกมาตามเช็กลิสต์ที่เขาวางไว้

ผลที่ได้ก็คือ เกมคุณภาพแน่นปึ้ก ที่ผมพยายามแค่ไหนก็ยังหาจุดจับผิดแทบไม่ค่อยจะได้ จะให้ไปตัดแต้มยังไงล่ะครับ ก็ในเมื่อเขาทำมาตอบโจทย์ตอบการบ้านมาถูกต้องแล้ว มาแบบนี้ก็ต้องให้ผ่านตามระเบียบ อยู่ดี ๆ จะไปตัดแต้มเขาได้ยังไง

ซึ่งจะซื้อหรือไม่ซื้อนั้น คงอยู่ที่รสนิยมส่วนตัวคุณแล้วล่ะ ว่าชอบสไปเดอร์แมนกันมากแค่ไหน ส่วนเรื่องคุณภาพเกมน่ะหายห่วงได้ เกมเขาเจ๋งอยู่

แต่มันก็ชวนให้สงสัยอยู่นิดหน่อยนะครับว่า ถ้าภาคสามยังทำสไตล์เดิมเป๊ะ ๆ ส่งรายงานคุณครูด้วยรีพอร์ตแบบเดิม ๆ แล้วหวังจะได้เกรด A+ อาจจะยากหน่อยล่ะทีนี้ แต่ในทางกลับกัน มันก็น่าสนใจน่าติดตามมาก ๆ เลยนะครับว่าถ้าเขาทำภาคสามอีก ทีนี้ตัวเกมจะอัปเกรดไปในทิศทางไหนได้อีก ผมคนหนึ่งล่ะที่จะรอตรวจการบ้านเกมนี้อีกครั้ง!

ขอสรุปแบบฟันธงปิดท้าย! ผมขอบอกว่า Marvel’s Spider-Man 2 เป็นหนึ่งในเกมผจญภัยโอเพ่นเวิลด์ที่ดีที่สุดเกมหนึ่งประจำปีนี้ครับ ซื้อมาเล่นเหอะ ไม่มีเสียดายเงินแน่นอน

Pros

  • โลกโอเพ่นเวิลด์ในเกมนี้คือดีงาม ภาพสวย เดินทางสะดวกและสนุก ไม่ว่าจะปีนป่ายห้อยโหนหรือร่อนถลาลม แถมมีอะไรให้ทำเยอะแยะไปหมด
  • ระบบต่อสู้คือไฮไลต์ บู๊เดือด, มันส์ และถ้ารู้สึกว่าช่วงไหนยากไปก็ปรับลดความยาก/ง่ายได้ตลอดเวลา
  • เนื้อเรื่องและการเดินเรื่อง เขียนมาได้ดี, การแสดงดีพล็อตดี, ตัวร้ายเกือบทุกตัวมีมิติ มีเหตุมีผลในทุกการกระทำ ดราม่าช่วงท้ายไม่น้ำเน่า แอบซึ้งกินใจด้วยซ้ำไป เล่นจบแล้วใจฟูอ่ะบอกเลย
  • ผลงานการแปลไทยผ่านฉลุย

Cons

  • บั๊กแบบเกมโอเพ่นเวิลด์ที่พอมีให้เห็นให้ฮากันเป็นระยะ ๆ
  • ในภาพรวมของตัวเกมทั้งหมด ยังมีรากฐานการเล่นไม่แตกต่างจากภาค 1 เท่าใดนัก

The Review

90% Spider-Man 2: อะไรคือความหมายที่แท้จริงของคำว่าวีรบุรุษ?

Marvel's Spider-Man 2 เป็นเกมเกรด AAA ที่ต่อยอดจากภาคเก่าของตัวเอง และยังคงยืนอยู่บนโครงสร้างพื้นฐานเกมแบบเดิม ๆ นั่นเอง ถามว่าเกมดีมั้ย ตอบได้เลยว่าดี แต่อย่าเล่นรวดแบบภาค 1 ภาค 2 ต่อกันเลยล่ะ ระวังจะเบื่อเอาได้!

90%

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ข้ามไปยังทูลบาร์