![Split Fiction – รีวิว [Review]](https://thaigamewiki.com/wp-content/uploads/2025/03/Format-copy.jpg)
Split Fiction – รีวิว [Review]
หนึ่งในผู้ท้าชิง GOTY
*ขอขอบคุณ EA สำหรับโค้ดเพื่อการรีวิวครับ
**รีวิวนี้เล่นบน PC
นั่นคือความคิดของผมเมื่อเล่น Split Fiction 5 ชั่วโมงแรกครับ และพอเล่นจนจบทั้งเกมแล้วผมก็ไม่ได้เปลี่ยนความคิดนะ ผมก็ยังคิดว่าเกมบังคับเล่น 2 คน เกมนี้ ซึ่งเป็นเกมใหม่จาก Hazelight Studio ที่ฝากผลงานชั้นเยี่ยมคือ It Takes Two มาก่อน มันสมควรได้เข้าชิงรางวัลปีนี้จริง ๆ แต่อาจจะมีหมายเหตุนิดหน่อย เรื่องนั้นคืออะไร ไปฟังกันในรีวิวเต็มของ Split Fiction โดยผม RO เป็นทั้งคนรีวิวและให้เสียงครับ
Split Fiction คือเกมแนวผจญภัยบังคับ co-op เล่น 2 คน ที่จะบอกว่าสืบสันดานเกมเพลย์มาจาก It Takes Two ที่คว้ารางวัล GOTY ปี 2021 มาก่อนเลยก็ได้ครับ แต่มาด้วยคอนเสปที่แตกต่างและท้าทายมากกว่า เพราะแทนที่เราจะได้รับบทเป็นคู่ผัวเมียละเหี่ยใจ คราวนี้เราจะได้รับบทเป็นเด็กสาวสองคนที่ชื่อ Mio และ Zoe ทั้ง 2 คนอยากเป็นนักเขียนที่ให้ผลงานตัวเองได้ตีพิมพ์ จนมีบริษัท เรเด้อ พับลิชชิ่ง ติดต่อไปว่า เราทำให้ฝันของพวกเธอเป็นจริงได้ แค่มาร่วมโครงการของบริษัท โครงการนั้นก็คือการเอานักเขียนเข้าเครื่องที่ทำให้พวกเขาสามารถไปผจญภัยในโลกของเรื่องที่พวกเขาแต่งขึ้นมาได้
แต่แล้วก็เกิดอุบัติเหตุขึ้นจนทำให้โลกงานเขียนของ Mio และ Zoe ต้องมารวมกัน และพวกเธอต้องออกผจญภัยเพื่อหาทางฝ่าออกไปโลกจริง แถมทั้งคู่ก็จับโป๊ะได้แล้วว่า ไอ้เจ้าของบริษัทนี้ที่ชื่อเรเดอร์มันกำลังใช้เครื่องนี้ขโมยเรื่องแต่งจากหัวของนักเขียนมาไว้ในครอบครอง
คอนเสปของเกมแค่ฟังก็น่าสนใจแล้วครับ เด็กสาวสองคนต้องผจญภัยในโลกที่ตัวเองแต่งขึ้น คนนึงมาแนวตีมไซไฟ อีกคนมาสายแฟนตาซี แค่นี้ก็ทำให้มันต่างจาก It Takes Two มากแล้ว แต่จุดที่น่าสนใจมากกว่านั้นก็คือ
ถ้า It Takes Two เล่าเรื่องราวการไปทบทวนความสัมพันธ์อันยาวนานของสองผัวเมียที่มันระหองระแหงใกล้จะเลิกกันอยู่แล้ว Split Fiction มันมาอีกมุมเลยครับ มันคือเด็กสาวสองคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อนเลย โดยเฉพาะ Mio ที่แทบจะไม่อยากคุยกับ Zoe ด้วยซ้ำ แต่เหตุการณ์มันก็ชักนำให้สองตัวละครนี้ต้องไปทำความรู้จักตัวตนของอีกคนในโลกงานเขียน
เพราะการที่นักเขียนคนนึงจะสร้างเรื่องราวของตัวเองขึ้นมา มันย่อมมีตัวตน ความทรงจำ หรือเศษเสี้ยวของตัวเองปรากฏอยู่ในเรื่องราวนั้น แล้วเกมก็ใช้จุดนี้ทำให้ 2 ตัวละครมันได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะบาดแผลในจิตใจแต่ละคน ที่ทั้งสองต้องไปสะสางในเรื่องเล่าของตัวเอง
อีกจุดที่ผมรู้สึกได้เลยว่า เกมนี้ต่างจาก It Takes Two เลยก็คือโทนของเกมครับ ถึง It Takes Two มันจะเล่าเรื่องของผัวเมียซึ่งมันก็เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ แต่โทนของเกมมันจะแนวเด็กเล่นได้ผู้ใหญ่เล่นดี ไม่ค่อยจะมีอะไรกระเทือนใจมาก (ยกเว้นไอ้ฉากช้างน้อยนั่นน่ะนะ) แต่ Split Fiction โทนมันหนักกว่านั้น มันจะมีความถึงเลือดถึงเนื้อขึ้นมานิดหน่อย แค่เริ่มต้นมาไม่นานเจอฉากโทรลโดนตัดมือขาดแล้ว
แต่มันก็ไม่ได้ถึงดาร์กขมปี๋แบบ 18+ อะไรขนาดนั้น มันยังคงมีความฟีลกู๊ดอยู่ ซึ่งผลลัพธ์สุดท้ายมันสอบผ่านมั้ยเดี๋ยวเราค่อยไปว่ากันในตอนท้าย เพราะผมจะประเมินมีเรื่องสำคัญที่สุดของเกมนี้ให้ฟังก่อน นั่นคือเกมเพลย์ครับ
2 คน 2 โลก
อย่างที่บอกครับว่าเกมนี้มันมาด้วยเงื่อนไขที่ยุ่งยากกว่าเกม Single Player ทั่วไปอยู่แล้วคือการต้องหาอีกคนมาเล่นด้วยใช่มะ และถึงมันจะแปะป้ายว่าเป็นเกมแนวผจญภัย แต่ผมอยากจะเติมคำว่า Platformer เข้าไปแล้วไฮไลต์ตัวใหญ่ ๆ ไว้เลยครับ เพราะ Split Fiction เป็นอย่างนั้น ตั้งแต่ต้นเกมจนจบไม่ว่าคุณจะไปโลกไหนก็ตาม ไซไฟ แฟนตาซี สิ่งที่คุณจะเจอก็คือ การปีน การกระโดด โจนทะยาน ประมาณ 70% ของเกมเลย
แล้วตัวละครที่เราเล่น 2 ตัว ก็จะมีความสามารถต่างกัน แต่มันต้องพึ่งพากันในการผ่านฉากตลอดเวลา หรือในหลาย ๆ ครั้งการที่ผู้เล่นคุยกันก็ยังไม่พอ มันถึงขนาดต้องให้สัญญาณกันเลย อย่างตอนที่ Mio มันจะข้ามไปอีกฝั่ง แล้วคนที่บังคับ Zoe จะต้องใช้แส้ปาเสาไปปักแท่นให้กระโดดไปทีละอัน ๆ ทั้งหมดนี้มันต้องการการสื่อสาร ความแม่น ความไว
ผมก็ต้องพูดตรง ๆ ว่านี่เป็นเกมที่ยากนะครับ เล่นครั้งแรกคุณจะตายเป็นน้ำเลย แต่ถึงมันจะยากยังไง เงื่อนไขมันจะเยอะแค่ไหน ผมอยากให้ทุกคนได้ให้โอกาสเกมนี้ก่อน เพราะไอ้อารมณ์ตอนที่มันร่วมมือกันแก้ปัญหายาก ๆ แล้วมันทำสำเร็จ มันเป็นความฟินที่มันหาไม่ได้จากเกมแบบ Single Player ทั่วไปจริง ๆ
แล้วทีมงานก็ใช้ศักยภาพของความเป็นเกมเล่น 2 คนอย่างเต็มที่ ประมาณว่า ไหน ๆ เกมกูก็มีเงื่อนไขเยอะกว่าชาวบ้านแล้ว งั้นกูผลักเกมเพลย์แบบสองคนให้ไปให้สุดเลย ทุกอย่างมันในเกมมันเลยเหมือนถูกออกแบบมาให้ตอบโจทย์ว่า จะทำยังไงให้สองคนร่วมมือกันให้ได้มากที่สุดและทำยังไงให้มันครีเอตมากที่สุด
อย่างด่านนึงให้สองคนเล่นบังคับลูกบอล แล้วมันจะมีช่วงไอ้คนนึงต้องลอบเร้นหลบโดรน ไอ้คนนึงต้องคอยยิงโดรนให้โดรนมันช็อตเพื่อเปิดทางให้อีกคน ตอนบอสไฟต์ที่อีกคนต้องสู้อยู่ข้างนอก อีกคนต้องเข้าไปในตัวบอสแล้วดึงจุดอ่อนบอสให้โผล่ออกมาไอ้คนข้างนอกจะได้โจมตีได้ แทบจะทุกโมเมนต์ที่ผมใช้ไปกับเกมนี้ ผมเลยไม่รู้สึกว่าทีมสร้างเขากั๊กไอเดีย มันคือการที่เราได้เจอกับมินิเกมหรือวิธีการเล่นใหม่ ๆ มาเสริ์ฟตลอดเวลา
ทีนี้ผมไม่อยากพูดว่าเขาเอามินิเกมมาต่อ ๆ กัน เพราะมันฟังเหมือนโยนอะไรสุ่ม ๆ เข้าไป แต่ความน่าทึ่งของเกมนี้ก็คือในขณะที่วิธีการเล่นมันเปลี่ยนแทบตลอด 3 นาที ผมไม่รู้สึกว่ามันเป็นการกระโดดจากมินิเกมนึงไปอีกมินิเกมนึง ผมรู้สึกว่ามันถูกขัดเกลาร้อยเรียงให้อยู่ในตีมเดียวกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ ส่วนที่มันไม่เวิร์กก็พอมีอยู่บ้างแต่น้อยครับ ซึ่งสิ่งนี้มันยังสะท้อนถึงความเอาใจใส่ของการคิดพัซเซิลให้มันผสานเข้ากับงานเลเวลดีไซน์
เลเวลดีไซน์ของเกมนี้ก็จะล้อไปกับตีมของโลกไซไฟหรือแฟนตาซี แล้วมันจับมือกับเกมเพลย์แน่นมาก จนถึงขนาดว่ามันมีหลายฉากที่จะมีใครคนนึงต้องรับหน้าที่เป็นคนบังคับฉากเองเลย อย่างด่านแฟนตาซีที่ต้องมีคนนึงบังคับฉาก พยายามกะจังหวะว่าพออีกคนนึงมันปีนมาจุดนี้ผมต้องเอาหนามขึ้น พอมันเดินมาจุดนี้ต้องหมุนลำต้นไม้เพื่อเปิดทางให้มัน ไปจนถึงบังคับน้ำขึ้นน้ำลง บังคับให้มาบังไอ้ปลาตัวใหญ่มันจะได้ไม่มาโจมตีอีกคน แน่นอนครับว่าความเป็นทีมเวิร์กมันต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง
แต่ก็อีกนั่นแหละ ไอ้จุดพวกเนี้ยถ้าอยากแกล้งกันแม่งจะสนุกมาก เกมเพลย์ พัซเซิลและงานเลเวลดีไซน์มันแทบจะเป็นเนื้อเดียวกันเลยครับ
แล้วไม่ใช่แค่เฉพาะตอนที่ผู้เล่นต้องไขพัซเซิลหรือออกแอ็กชัน แค่การเดินทางธรรมดาไปให้ถึงจุดหมาย อย่างมีฉากนึงที่ Mio มีมังกรใช้บินได้ Zoe มีมังกรใช้กลิ้งได้ ในช่วงที่เกมมันยังเป็นจังหวะให้แค่เดินทาง ไอ้เส้นทางที่ไปอ่ะ ไปทิศทางเดียวกันนะ แต่มีทางเลือกให้ว่าเฮ้ยถ้า Zoe กลิ้งไปทางนึงมันเร็วกว่า อีกทางนึง Mio บินไปมันเร็วกว่า อะไรแบบนี้อ่ะครับ มันบอกความใส่ใจในองค์ประกอบของผู้สร้างแบบไม่ต้องพูดอะไรเยอะเลยอ่ะ
เพราะฉะนั้นประสบการณ์เล่นเกมนี้ ด้วยองค์ประกอบการเล่นมันผ่านกระบวนการคิดมารอบด้าน มันจะเหมือนโดมิโน คือพอตัวแรกมันล้ม มันจะไปได้เรื่อย ๆ เลย อย่างฉากไซไฟที่ออกแอ็กชันกันเยอะ ๆ สู้บอสเสร็จไปขับรถ ขับรถเสร็จเดี๋ยวไปต่อมอเตอร์ไซค์ เขาก็เหมือนรู้จุดนี้ดีครับ มันเลยมีการใส่จุดที่เป็นม้านั่งเข้ามา ไม่ใช่ให้ตัวละครได้พักนะ ให้คนเล่นเองเนี่ยแหละได้พัก
อีกสิ่งที่ไม่พูดไม่ได้เลยก็คือการเล่นมุมกล้อง หลายคนอาจจะมองว่าการแบ่งสองจอของเกมเล่นสองคนมันมีข้อจำกัด เพราะมันทำให้เรามองอะไรได้แคบลง แต่สิ่งที่ Split Fiction มีก็คือการเอาข้อจำกัดเนี้ยมาเล่นกับการนำเสนอ แบบเดินมาสองหน้าจออยู่ดี ๆ เข้าลิฟต์ไปปุ๊ปสองจอประสานรวมกันเป็นหนึ่ง อ้าว อยู่ดี ๆ สองคนมาอยู่ในหน้าจอเดียวกัน แล้วเปลี่ยนแนวกลายเป็นเกมเดินข้าง หรือ ฉากเปิดประตู 2 ข้าง แล้วภาพสองจอมันประสานกันเส้นแบ่งตรงกลางหายไป มุมกล้องเปลี่ยนไปเป็นมอง 2 ตัวละครจากด้านบน เขาใส่ลูกเล่นอะไรแบบนี้มาเยอะครับ แล้วพอเจอฉากพวกนี้ผมเห็นหน้า Josef Fares ผู้กำกับเกมนี้มันเลอยมาเลยอ่ะ พร้อมน้ำเสียงแบบกวน ๆ หน่อยว่า โน โน โน การแบ่งสองจอไม่ใช่จุดอ่อนจ๊ะ พี่จะโชว์ให้ดูว่าสิ่งนี้มันเป็นของดีได้ยังไง ถ้าคุณอยากรู้ว่าเขาไปไกลขนาดไหน คุณต้องเล่นไปถึงฉากสุดท้าย โห ฉากสุดท้ายนี่สปอยล์ไม่ได้เลยอ่ะ ต้องไปเจอเอง ผมบอกได้แค่ว่ารีแอ็กชันของคนที่เล่นมาด้วยกันตอนนั้นคือ ยังไม่หมดมุกอีกเหรอ การเล่นมุมกล้องของเกมนี้มันเลยไม่ได้เสิร์ฟแค่ความสนุกครับ แต่มันทั้งเผยแง่มุมความเป็นศิลปะของวิดีโอเกม แล้วมันทั้งยั่วล้อวิธีการเล่นเกมแบบเดิม ๆ ของเรา
ทั้งหมดนี้มันจะเกิดขึ้นได้ยากมากถ้าเกมไม่ใช้เซตติ้งเป็นโลกในหัวของนักเขียนสองคน พอเขาเซตมาว่าเรื่องราวทั้งหมดดเนี่ยมันเกิดขึ้นในหัวในจินตนาการ เขาจะบรรเลงเขาจะเล่นอะไรที่มันสุดโต่งแหกกรอบแค่ไหน เขาก็ทำได้เลย เพราะไม่ต้องมากังวลเรื่องข้อจำกัดความสมจริง แล้วอีกหนึ่งอย่างที่ช่วยยกระดับเรื่องนี้คืองานภาพครับ เกมนี้องค์ประกอบงานศิลป์ที่มันทำถึงมาก ๆ ถ้าเป็นโลกไซไฟมันก็จะเน้นฉากหลังที่เยอะ ดูมีความวุ่นวาย ดูมีความเป็นโลกดิสโทเปีย ส่วนฉากแฟนตาซีมันจะให้อารมณ์ดูแกรนด์ มีภูเขามีปราสาทมีวิหารอลังการเป็นฉากหลัง กราฟิกรายละเอียดพื้วผิวของวัตถุ เปลือกไม้ เกล็ดมังกร มันก็ช่วยส่งเสริมแล้วขับเน้นพลังสุนทรียะของงภาพได้อย่างน่าประทับใจ
แล้วเรื่องการสอดแทรกมุกเกมนี้ก็ฉ่ำนะ มันจะมีหลายโมเมนต์มากที่ผมรู้สึกว่า เออ ก็กล้าคิดเนอะ แบบ Mio กำลังขี่มอเตอร์ไซค์หนีตายเลย อีกฝั่ง Zoe ต้องใช้มือถือปลดล็อกไม่ให้มอเตอร์ไซค์ระเบิด แล้วมือถือมันต้องสแกนหน้า สแกนหน้าเสร็จ ต้องมาเลือกรูปภาพเพื่อแยกว่ากูไม่ใช่บอทนะ แล้วตอนจะปลดล็อกได้แล้วมีสายโทรเข้า ต้องกดอ่านเงื่อนไขไม่งั้นไปต่อได้ มันไปสุดมาก ๆ แล้วใครชอบการอ้างอิงผลงานดัง ๆ เกมนี้มีเพียบครับ เจอทั้ง AC อกิระ เซเล่อ มูนยังมีอ่ะ
แล้วถ้าคุณคิดว่าเล่นแค่ตีมไซไฟ แฟนตาซี มันยังไม่พอ อยากจะตัดเลี่ยนเกมก็ใส่สิ่งที่เรียกว่าประตูมิติไปไซด์เควสต์ให้ครับ ซึ่งคุณก็จะได้รับบทเท่ ๆ อย่างการขี่ฉลามทราย หรือจะบียอนด์หอมกาวเป็นหมูที่มีพลังพิเศษ ไปจนถึงเป็นไส้กรอกที่พยายามจะทำตัวเองเป็นฮอตด็อก ออกแบบมาดีไม่แพ้เควสหลัก มีความยาวเหมาะสม ถ้ารวมเวลาเป็นเลขง่าย ๆ ถ้าเอาแบบเล่นเน้นจบนะ ประมาณ 11 ชั่วโมง แต่ถ้าอยากเก็บไซด์เควสต์หรืออะไรพวกนี้ด้วย ก็มากกว่านั้นเยอะครับ
หมายเหตุ
เอาล่ะ ทีนี้มาถึงส่วนที่เป็นหมายเหตุที่ผมพูดไปแล้วตอนต้น มันคืออะไร
อย่างแรกคือ เนื้อเรื่องเนี่ยมันอ่อมไปหน่อย ไม่ใช่ไม่ดีนะ แต่มันไม่ได้มีการผูกปมคลายปมอะไรที่มันโดดเด่นขนาดนั้น มันคาดเดาได้ง่ายว่าไอ้สิ่งที่เจอในเกมมันเป็นตัวแทนบาดแผลอะไรในใจของตัวละคร ถ้าคุณเล่น It Takes Two มา คุณก็พอจะรู้ว่าเนื้อเรื่องเกมนั้นมันก็แค่อยู่ในระดับพอได้ เกมนี้มาตรฐานก็ไม่ห่างกันมากครับ
มันเลยทำให้ผมรู้สึกเสียดาย เพราะว่าคอนเสปการเข้าไปผจญภัยในเรื่องเล่าของตัวเอง แล้วเจอกับความทรงจำบาดแผล ถ้าเขียนดี ๆ อ่ะ มันขยี้ใจได้เลย
อีกเรื่องก็อย่างที่บอกไปครับ เกมเนี้ยยาก มันไม่ใช่ยากแค่ต้องหาคนมาเล่นนะ แต่ด้วยความเป็นเกมเน้นแพลตฟอร์มของมัน ถ้าคุณเล่นสายนี้ไม่ค่อยได้ เล่นแล้วหงุดหงิด ผมว่ามันก็ไปต่อยากเหมือนกัน แล้วผมต้องพูดแบบนี้เลยว่าเกมนี้มันบังคับให้พูดกันทั้งสองคน
เกมเขาก็พยายามอำนวยความสะดวกครับ คือถ้าคุณซื้อเกมมาคุณสามารถใช้ เฟรนด์พาส ชวนอีกคนนึงมาเล่นได้ โดยที่อีกคนไม่จำเป็นต้องซื้อเกมนี้ด้วย ก็คือซื้อเกมแค่คนเดียว ผมคิดว่าเกมเนี้ยจะเล่นได้ลื่นที่สุดถ้าสื่อสารกันแบบสมูธ ภาษาเดียวกัน ยิ่งมานั่งเล่นข้าง ๆ กันเลยเนี่ยยิ่งดี
ที่เหลือมันก็จะยิบย่อยแล้วครับ มันจะเกมเพลย์บางช่วงที่ผมรู้สึกว่าเอออันเนี้ยไม่ค่อยชอบ แต่มันน้อยครับ ส่วนใหญ่เลยคือสอบผ่าน
สรุป
สำหรับ Split Fiction ผมรู้สึกมันคล้าย Astro Bot ปีก่อน ในแง่ที่ว่า มันเป็นเกมที่หน้าเกมน่ะดูคนจะไม่ค่อยพูดถึง แต่พอได้เล่นจริง มันจะรู้สึกผิดบาป ถ้าไม่แนะนำให้คนอื่นเล่นด้วย นี่เป็นเกมที่พูดได้ว่าเป็นงานคราฟต์ ถึงคุณจะเกลียดการเล่นเกม 2 คน การเล่นเกมแนวแพลตฟอร์มแค่ไหน ผมก็ยังจะแนะนำให้ลองอยู่ดี
เพราะการเดินทางครั้งนี้ของ Mio และ Zoe ได้สร้างอีกหนึ่งเรื่องราวที่ในอนาคตเกมเมอร์จะเล่าขานกันว่านี่คือหนึ่งในเกมเล่นสองคนที่เป็นมาตรฐานใหม่ .ทุกงานออกแบบเกมเพลย์ เลเวลดีไซน์ การนำเสนอทำให้รู้สึกถึงจิตวิญญาณของผู้สร้าง เพราะฉะนั้น 8.5 สำหรับ Split Fiction ครับ และเราจะได้เห็นชื่อเกมนี้บนเวที เดอะ เกม อวอร์ด ไม่สาขาใดก็สาขาหนึ่งแน่นอน