![Mandragora – พรีวิว [PREVIEW]](https://thaigamewiki.com/wp-content/uploads/2025/04/ss_81067691a39b1b7850532965a0f81eaaaf731048.1920x1080-copy.jpg)
พรีวิว Mandragora – Whispers of the Witch Tree
เมื่อคุณจับ Price of Persia: The Lost Crown, Blasphemous, Path of Exile, มาผสมและเติมส่วนเล็ก ๆ ของ Diablo เข้าไป
คุณเลยได้เกม Soulsvania ที่พะรุงพะรัง แต่ยังหนักแน่นด้วยการนำเสนอ
เรื่องราวของ Mandragora เปิดฉากมาได้อย่างน่าสนใจในเมือง Crimson City ขณะที่ราชาผู้เลือดเย็นกำลังพึงใจกับการจับแม่มดนางนึงทรมานเพื่อให้คายความลับบางอย่าง ตัวเราในฐานะ Inquisitor กลับเป็นคนปลิดชีพแม่มดนางนั้นให้พ้นความทรมานอย่างรวดเร็ว (ในพรีวิวนี้ยังไม่มีคัตซีนให้ดู มีแค่ข้อความเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คัตซีนจะมีในเกมตัวเต็ม)
ถึงจะรู้สึกโกรธเกรี้ยวและสามารถสั่งประหารได้ แต่ราชาก็มอบหมายให้เราไปทำภารกิจแก้ตัวนั่นคือการไปล่าแม่มดอีกคนหนึ่ง โดยหมายเหตุตัวใหญ่ ๆ ว่า ห้ามฆ่า ให้จับเป็นมาเท่านั้น และนั่นคือจุดเริ่มต้นการผจญภัยของเรา
แต่พอข้ามไปพูดในแง่การเล่นสิ่งที่ผมรู้สึกได้ทันทีก็คือตัวละครเอกของเราไม่ว่าจะเลือกเพศไหนดูจืดชืดมาก ปกติผมไม่ค่อยได้ใส่ใจกับเรื่องพวกนี้เท่าไร แต่กับเกมนี้ไม่รู้เพราะสาเหตุไหน อาจจะเพราะตัวละครที่รายล้อมอื่น ๆ คือพวก NPC ต่าง ๆ ทำออกมาดูน่าสนใจทั้งหมด
ทั้งรูปร่างหน้าตาและเครื่องแต่งกายของตัวละครเราเหมือนถูกสุ่มสร้างขึ้นมาจากโปรแกรมพัฒนาเกมเริ่มต้น ตัวเลือกการปรับแต่งตอนสร้างตัวละครก็ไม่ได้เยอะ ถ้าแบบนี้สู้ออกแบบตัวละครเอกมาให้เลยยังดีกว่า ความน่าสนใจอย่างเดียวของตัวละครนี้ก็คือเขาได้ความสามารถพิเศษเหมือนการเชื่อมจิตบางอย่าง ทำให้มีเสียงลึกลับคอยพูดและชี้นำทางให้ตลอดเวลา

โชคดีที่ว่าระหว่างการผจญภัยในพรีวิวที่ค่อนข้างยาว ผมได้พบปะกับตัวละครอื่นมากมายที่มีสีสันทั้งในแง่งานออกแบบและบทสนทนา แค่การเปิดตัวของราชาใจทมิฬพร้อมเสียงพากย์ก็ทำให้ผมจดจำตัวละครนี้ได้ทันที แล้วคุณยังจะได้เจอกับหัวขโมยที่ไปแอบเล่นตำเมียชาวบ้านจนแม้แต่เจ้าเมืองก็รับประกันความปลอดภัยให้เขาไม่ได้ แม่ค้าอัญมณีที่ไปเปิดร้านแถว ๆ ซากโบราณสถาน

นอกจากเราจะได้บันเทิงกับบทสนทนาหลายรสชาติแล้ว เราก็สามารถชวนพวกเขาให้มารวมตัวในสถานที่เดียวกัน เพราะ NPC พวกนี้จะขายของและสร้างสิ่งที่จะช่วยคุณตลอดการผจญภัย ไม่ว่าจะเป็นการเสริมแกร่งอาวุธ เครื่องประดับ รูน การทำแผนที่และเสื้อผ้า

มาว่ากันในส่วนของเกมเพลย์ เนื่องจากนี่เป็นเกม Soulsvania งานเลเวลดีไซน์และความยากก็จะถูกชูโรงขึ้นมา ในแง่ของการเดินทางในเกมนี้ถ้าคุณเคยเล่น Blasphemous หรือ Prince of Persia: The Lost Crown มาก่อน คุณก็จะเข้าใจงานออกแบบฉากในเกมนี้ได้ทันที นั่นคือการที่เกมจะให้เราบังคับตัวละครเดินข้างผจญภัยไปเรื่อย ๆ แต่ในระหว่างทางมันก็จะมีหลายจุดที่ตัวละครเรายังไม่สามารถทำอะไรกับมันได้เพราะยังไม่มีไอเท็มหรือความสามารถที่จำเป็น ต้องย้อนกลับมาทีหลัง มันเลยไม่ได้เป็นการเดินเกมที่เป็นเส้นตรง
Mandragora จะมีความพิเศษนิดหน่อยตรงที่เขาจะทำให้ส่วนที่เราสามารถมีปฏิสัมพันธ์ได้ให้เนียนไปกับฉากพื้นหลัง เช่น ประตูก็จะมีสีกลืนกับพื้นหลังไปเลย ทำให้คนที่ไม่ค่อยได้สังเกตสามารถพลาดจุดพวกนี้ได้ง่ายมาก นี่อาจเป็นทั้งข้อดีก็คือเพิ่มความท้าทายในการสำรวจ แต่สำหรับบางคนก็อาจเป็นความรำคาญใจที่ต้องวนไปมา

ในส่วนของความยากจะเกิดจากตัวละครเราและศัตรูรวมถึงบอสต่าง ๆ ต้องบอกว่าเกมสร้างเงื่อนไขและข้อจำกัดในการต่อสู้ของเราเยอะเหมือนเกมตระกูล Souls นั่นคือการใส่ค่า Stamina เข้ามา การวิ่ง การโจมตี การกลิ้งหลบ จะใช้ค่านี้หมด ทำให้เกมค่อนไปทางระดับที่ยากถึงยากมาก เพราะศัตรูมีการโจมตีรวดเร็วรุนแรง อึดถึก แล้วดันมีค่า Stamina มาควบคุมการการกระทำของเราอีก
การกำหนดปุ่มของเกมนี้ค่อนข้างแปลก ผมใช้จอย Dualsense ในการเล่น เกมจะไม่มีการกำหนดปุ่มโจมตีเบาโดยเฉพาะมาให้ แต่การโจมตีเบาจะถือว่าเป็นสกิลหนึ่ง ที่เราสามารถใส่มันใน Slot ต่าง ๆ ส่วนปุ่มกลิ้งหลบและถอยหลังหลบจะใช้ R2 เป็นหลัก มันเลยต้องมีการปรับความแคยชินกันยกใหญ่

ในส่วนของสกิล ขอย้ำก่อนว่าผมเล่นพรีวิวนี้เป็นสายจอมเวทที่ใช้พลัง Void ถึงเกมจะโชว์ว่ามีผังสกิลให้ใช้งานเยอะ ดูแล้วมากมายเหมือน PoE แต่ถ้าลงรายละเอียดจริง ๆ การลงแต้มในผังสกิลส่วนใหญ่เราจะได้เป็นค่า stat มากกว่า ไม่ค่อยมีสกิลที่ต้องกดใช้มากนัก ในแง่หนึ่งก็อาจเป็นข้อดีที่เราไม่ต้องกดปุ่มเยอะ เพราะลำพังการควบคุมปุ่มพื้นฐานของเกมมันก็มีความยากในตัวของมันเองอยู่แล้ว สกิลที่เป็นแพสซีฟเลยอาจเป็นการตอบโจทย์ได้ดีกว่า
ทั้งศัตรูและงานออกแบบฉากจะคอยทำร้ายเรา การร่วงจากที่สูงแล้วตายถือเป็นเรื่องปกติ สิ่งที่ผมเจอในหลาย ๆ สถานการณ์คือศัตรูดักหน้าดักหลัง ยิงอาวุธระยะไกล ซึ่งทำให้เราพลาดตกลงไปตายบนพื้นได้หลายครั้ง ยังไม่รวมกับดักต่าง ๆ ที่ต้องคอยสังเกตให้ดีเพราะมันเนียนไปกับฉากมาก และด้วยความที่ตัวละครเราไม่ใช่ Sargon เราก็จะไม่มีท่าแดชกระโดดหลบกลางอากาศอะไรทั้งนั้น
ที่สำคัญที่สุดคือ เราไม่สามารถกระโดดข้ามหัวศัตรูได้ (อย่างน้อยก็ในพรีวิวที่ผมเล่น) เราทำได้แค่กลิ้งผ่านตัวมันไป การโดนบล็อกทางในเวลาคับขันที่มีศัตรูรุมเราอยู่เลยเป็นอะไรที่ค่อนข้างเหนื่อยหน่าย

เพราะฉะนั้น ถึงผมจะเป็นเกมคอเกมสาย Souls และผมไม่ได้รู้สึกว่าเกมแนว Metroidvania จะจูบปากกับไวยากรณ์ของ Souls ไม่ได้ แต่พรีวิวของ Mandragora ทำให้ผมรู้สึกถึงความพะรุงพะรังในงานออกแบบเกมเพลย์ โดยแฉพาะการเติมค่า stamina และน้ำหนักของไอเท็มสวมใส่เข้ามา ทั้งที่มีเกมรุ่นพี่หลายเกมก่อนหน้านี้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าต่อให้ไม่มีของพวกนี้ เกมก็ยังสามารถให้รสชาติที่ท้าทายและคล่องตัวได้ไปพร้อมกัน Mandragora ยังห่างไกลจากเกมที่แย่ แค่หลายองค์ประกอบของเกมเพลย์มันมีทั้งเข้าเป้าและยิงพลาดหลายจุด
ถึงแบบนั้นด้วยเนื้อเรื่อง การเขียนบทสนทนา และงานพากย์ ก็ชวนให้ผมอยากรู้ชะตากรรมของ Inquisitor คนนี้และบรรดาตัวละครรายล้อมว่าจะได้พบกับชะตากรรมแบบไหนในเกมตัวเต็ม
Mandragora – Whispers of the Witch Tree จะวางจำหน่ายวันที่ 17 เมษายนนี้ ครอบคลุมแพลตฟอร์ม PS5, Xbox Series X|S, และ Windows PC ผ่าน Steam รวมถึง Epic Games