Ratchet & Clank: Rift Apart – รีวิว [REVIEW]
Ratchet & Clank: Rift Apart เป็นภาคต่อของ Ratchet & Clank ที่มีการทำใหม่ในปี 2016 ตัวเกมจะเล่าถึงการผจญภัยของ Lombax ที่ชื่อ Ratchet พร้อมคู่หูหุ่นเป้สะพายชื่อ Clank ซึ่งก็เป็นซีรีส์ที่มีอายุจะครบ2 ทศวรรษ ในอีก 1 ปีข้างหน้าแล้ว นับว่าเป็นอีกตำนานที่ยังมีชีวิตในวงการวิดีโอเกมเลยทีเดียว และในภาคต่อนี้ พระเอกคู่หูจะต้องออกผจญภัยข้ามมิติเพื่อพบกับมิตรสหายใหม่ แต่ยิ่งกว่าการข้ามมิติก็คือนี่เป็นการข้ามสู่แพลตฟอร์มของเกมเน็กซ์เจน พวกเขามีอะไรที่เตรียมให้เราอยู่ เชิญอ่านได้ในรีวิวนี้เลยครับ
*ขอขอบคุณโค้ดรีวิวจาก Sony Interactive Entertainment Singapore มา ณ โอกาสนี้ครับ
*รีวิวนี้มาจากการเล่นเกมนี้จบแบบมาตรฐาน คือมี End Credit ขึ้น
เรื่องราวจากอีกฟากของมิติ
สำหรับ Ratchet & Clank ด้วยหน้าเกมของมันเองทำให้เราแทบจะตั้งมาตรฐานความหวังต่อเนื้อเรื่องได้เลยว่า เกมนี้ไม่น่ามีเส้นเรื่องที่ซับซ้อนอะไรมากนัก ถึงจะมีการหักมุมแต่ก็จะไม่สั่นสะเทือนใจผู้เล่นหรือวงการได้เท่ารุ่นพี่ร่วมสำนักอย่าง The Last of Us ในด้านหนึ่งหลายคนอาจจะมองว่าผู้พัฒนาไม่ต้องลงทุนอะไรกับเนื้อเรื่องขนาดนั้น แล้วก็เข้าถึงผู้เล่นได้มากมายเพราะความกลืนง่าย แต่ด้านกลับของมันก็คือ ถ้าคุณรู้อยู่แล้วว่าคนเล่นเกมของคุณจะสามารถเดาหรือแทบจะไม่แปลกใจกับการหักมุมในเกมเลย แล้วอะไรที่จะมาใช้ล่อเงินลูกค้าให้บินจากกระเป๋าได้?
Ratchet & Clank: Rift Apart เป็นเกมที่ยึดมั่นในพลังของสูตรการเล่าเรื่องของมันครับ สูตรในที่นี้ก็คือแก่นเรื่องเกี่ยวกับมิตรภาพและการต่อสู้ของ Ratchet กับ Clank โดยในภาคนี้ทั้งคู่ต้องมุ่งหน้าทำลายแผนการอันชั่วร้ายของ Dr.Nefarious ซึ่งค้นพบว่ามีโลกคู่ขนานอีกใบที่มีเขาได้ปกครองในฐานะจักรพรรดิและมีหุ่นยนต์เป็นข้าทาสบริวาร รวมถึงพวกเขาจะได้พบกับตัวละครเอกตัวใหม่ในภาคนี้ซึ่งเป็น Lombax สายปฏิวัติ ชื่อ Rivet ซึ่งเธอก็คือตัวตนในโลกคู่ขนานของ Ratchet นั่นเอง ส่วนของเส้นเรื่อง การดำเนินเรื่องจะมีความเคี้ยวง่าย กลืนง่ายอย่างที่เกมตั้งใจจะเป็น
อย่างไรก็ดี ผมขอให้คะแนนการเกลี่ยบทแล้วหนึ่ง ซึ่งไม่ได้หมายความว่าตัวละครหลักจะมีบทออกโรงเท่ากันเป๊ะ ๆ นะครับ แต่ผู้สร้างรู้ว่า Rivet คือตัวชูโรงของภาคนี้ เธอก็จะมีเวลาโชว์ตัว และเผยภูมิหลังความเป็นเธอออกมามากหน่อย โดยที่ไม่ได้เกินหน้าเกินตา Ratchet มากนัก สิ่งที่น่าเสียดายสำหรับผมก็คือ ในขณะที่ Rivet เป็นตัวละครที่น่าสนใจ แต่บทบาทและการมีปฏิสัมพันธ์ของเธอกับ Ratchet ดูไม่ได้ลึกซึ้งเท่าที่ควรจะเป็น ทั้งที่เกมมีการปูมาแต่แรกว่า Clank อยากจะให้ Ratchet ได้เจอกับเผ่าพันธุ์เดียวกันบ้าง (เพราะ Lombax เป็นสายพันธุ์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์เต็มที) แต่ Rivet กลับมีปมที่น่าสนใจกับตัวละครที่ผมชอบที่สุดในภาคนี้คือ Kit
Kit เป็นหุ่นสาวน้อยที่เราจะได้เจอไม่นานหลังเริ่มเกม ผมพูดให้ตื่นเต้นกันตรงนี้ก่อนเลยครับว่าเธอเป็นตัวละครที่ซ่อนความเซอร์ไพรส์อะไรเอาไว้มากมาย หนึ่งในนั้นก็คือปมที่ผูกเข้ากับภูมิหลังของ Rivet ซึ่งมันมีช่องทางให้คนเขียนบทขยายมิติของทั้งสองตัวละครนี้ได้อีกมาก แต่เกมเลือกจะใช้เวลาคลายปมตรงจุดนี้เร็วไปหน่อย ผมไม่ได้คาดหวังว่ามันจะต้องออกมาดราม่าหรือดาร์กอะไรขนาดนั้น แต่มันสามารถขยี้ได้มากกว่านี้ ทั้งที่ตัวของ Kit เองมีศักยภาพในแง่ของการเล่าเรื่องและเกมเพลย์ (ที่จะเล่าต่อไปด้านล่าง)
ถึงจะไม่ได้เห็นความเข้มข้นหรือการหักมุมแบบหวือหวา แต่การปฏิสัมพันธ์กันของตัวละครก็ทำให้ผมเห็นว่ามันมีหัวใจของมันอยู่ ตัวละครทั้งฝ่ายตัวเอกและฝ่ายวายร้ายมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นชัดเจน เห็นแล้วจำได้ติดตาติดสมองทันที และทำให้เกมภาคนี้สามารถเข้าถึงคนที่อาจไม่เคยสัมผัสเรื่องราวของซีรีส์นี้มาก่อนได้ด้วย
เกมเพลย์
ความเรียบง่าย เน้นน้อยแต่ได้มาก เป็นแกนหลักของเกมเพลย์ในภาคนี้ ถ้าคุณเป็นเกมเมอร์ที่มีชั่วโมงบินกับเกมแอ็คชันมานาน คุณแทบจะมองปราดเดียวแล้วรู้เลยว่ากลไกทั้งหมดของเกมทำงานยังไง ซึ่งผมขออธิบายพื้นฐานว่าเกมจะแบ่งเลเวลของตัวละครกับเลเวลของอาวุธแยกออกจากกัน ในส่วนของเลเวลตัวละครนั้น ยิ่งเลเวลสูงพลังชีวิตเราก็ยิ่งเยอะตาม อันนี้เข้าใจกันไม่ยาก
ส่วนเลเวลของอาวุธจะขึ้นอยู่กับว่าคุณใช้อาวุธนั้นบ่อยแค่ไหน ยิ่งคุณใช้อาวุธนั้นมาก เลเวลก็ยิ่งสูงและปลดล็อคความสามารถใหม่ ๆ ที่คุณจะไปอัปเกรดได้ที่ร้านค้า (ซึ่งจะเป็นที่ที่คุณสามารถซื้ออาวุธได้ทุกอย่างในเกม) ค่าเงินในเกมนี้จะแบ่งหลัก ๆ เป็น 2 ส่วน คือ เงินที่ได้จากการกำจัดศัตรู ทำลายลัง สำหรับซื้ออาวุธต่าง ๆ แต่อีกส่วนหนึ่งคือคริสตัลที่จะเอาไว้ใช้อัปเกรดให้ปืนชนิดต่าง ๆ ของคุณมีคุณสมบัติร้ายกาจขึ้น อีกทั้งเกมยังมีส่วนของชุดแต่งกายซึ่งจะปลดล็อคผ่านดาวสนามประลอง ผ่านการทำภารกิจเสริม ซึ่งก็เป็นอะไรที่เราเข้าใจได้ไม่ยากอีกเช่นกัน…
แต่ถึงมันจะดูเรียบง่ายแค่ไหน ผมกลับเห็นความสร้างสรรค์ในการทำปืนแต่ละชนิดออกมา และมันก็ให้อารมณ์การใช้งานที่แตกต่างกันได้จริง ๆ เช่น ปืนปลูกเห็ด (ใช่ครับ อ่านไม่ผิดหรอก) ที่จะปล่อยเห็ดจอมเกรี้ยวกราดออกมาคอยช่วยยิงสู้ศัตรู แถมถ้าเพิ่มพลังมันเรื่อย ๆ ก็จะยิ่งล่อความสนใจและยิงได้ถี่ขึ้นจนเราแทบจะยินดูมันเก็บกวาดลูกกระจ๊อกให้เราได้เลย ปืนที่ทำหน้าที่เป็นโล่ดูดซับกระสุนแล้วระเบิดใส่ศัตรู และยังมีปืนอีกหลายกระบอกมาก ซึ่งของที่โชว์ในตัวอย่างนั้นเป็นแค่น้ำจิ้มของน้ำจิ้มเท่านั้น
จุดเด่นอีกอย่างของเกมคือ จังหวะเกมจะเน้นแอ็คชั่นแบบคุณแทบจะไม่มีการหยุดลั่นไก จะมีบางช่วงที่เกมเพลย์จะให้เราได้เว้นวรรคจากการสาดกระสุนด้วยการออกสำรวจบ้าง แก้ปริศนาบ้าง เข้าคัตซีนบ้าง ทำภารกิจเสริมบ้าง พอเป็นการตัดเลี่ยน แต่โดยภาพรวมคือเหมือนเกมพยายามประเคนเวฟศัตรูออกมาให้เราซัดแบบมากกว่าเดิม พีคกว่าเดิม ซึ่งเอาเข้าจริงก็เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะถ้าเส้นเรื่องเป็นอะไรที่เดาง่าย การได้ต่อสู้กับศัตรูมาก ๆ ก็เป็นการหล่อเลี้ยงความบันเทิงได้ จังหวะแอ็คชั่นของเกมนี้เมื่อติดเครื่องแล้วหยุดไม่ได้ มันจะพีคขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งจำนวนศัตรูกับบอสไปจนจบเกมเลยทีเดียว
จุดอ่อนหลัก ๆ ที่ผมคิดว่าผู้พัฒนาไม่น่าจะมองข้ามแต่เลือกที่จะไม่ทำก็คือ เกมเพลย์ของ Ratchet กับ Rivet ที่ไม่ต่างกัน ไม่ว่าทั้งสองตัวละครจะแยกกันเดินทางยังไง ของและอุปกรณ์ก็จะแชร์กันตลอดทั้งเกม ซึ่งสิ่งนี้ส่งผลต่อความเป็นตัวละครของ Rivet ด้วย เพราะถ้าเกมเพลย์เหมือนกัน มันก็ลดทอนความเป็นเอกลักษณ์ของ Rivet ลงไปไม่มากก็น้อย ถ้ามองในมุมผู้พัฒนาก็เข้าใจได้ว่าหากทำให้เกมเพลย์ต่างกัน แต่สนุกไม่เท่ากัน แล้วสลับตัวละครไปมา ก็มีความเสี่ยงที่ผู้เล่นจะบ่นได้ ถึงแบบนั้น อย่างน้อยก็ควรใส่ความแตกต่างมาบ้าง เช่นระบบต่อสู้ระยะประชิดของค้อน Rivet ก็ควรทำอะไรได้มากกว่าที่เป็น เช่นเดียวกันกับ Kit ซึ่งถ้าคุณได้รู้ว่าเธอทำอะไรได้บ้างแล้ว คุณจะอยากเล่นตัวละครนี้แน่นอน
ปริศนา
ปริศนาในเกมจะมีการแบ่งเซกชั่นให้เล่นโดยเฉพาะ ก็คือเราจะได้บังคับ Clank และ Kit ที่รับหน้าที่ในการซ่อมประตูมิติที่เสียหาย ซึ่งเราจะต้องอาศัยการปาบอลชนิดต่าง ๆ เพื่อนำทางตัวเราไปจนถึงที่หมายให้ได้ ส่วนนี้ถือว่าปริศนาทำออกมาได้ไม่ยาก แต่ก็ไม่ดูถูกสติปัญญาคนเล่น ที่สำคัญคือบังคับลูกบอลง่าย ทำให้เราโฟกัสกับการแก้ปริศนาได้ดี
นอกจากการแก้ปริศนาแบบเน้น ๆ เนื้อ ๆ แล้ว เกมยังมีส่วนที่ให้เราต้องใช้หุ่นน้องแมงมุมเข้าไปล้างไวรัสในระบบ ซึ่งส่วนนี้จะเป็นการผสมผสานระหว่างฉากบู๊และการแก้ปริศนาเล็กน้อย (ส่วนใหญ่จะมึนหัวกับเส้นทางไปบ้าง เพราะเราต้องเดินไปตามผนังแทบทุกองศา) ถือว่าทำได้ดีตามมาตรฐานครับ
อภิมหาฉากซีเควนซ์
เหนือสิ่งอื่นใดจนต้องเผื่อหัวข้อมาเขียนให้ตรงนี้เลยคือ Ratchet & Clank: Rift Apart เป็นเกมที่ทำฉากซีเควนซ์ (ฉากแอ็คชั่นไล่ล่าแบบลื่นไปบนราง) ได้น่ากราบ และหลายฉากก็ทำเอาผมอยากกลับลองเล่นซ้ำอีกครั้ง เพราะดูทีมงานเข้าถึงหัวใจของฉากแนวนี้ว่า ซีเควนซ์คือความอลังการและมันจะมีประสิทธิภาพสูงสุดก็ต่อเมื่อผู้เล่นผ่านมันได้ในครั้งเดียว เป็นส่วนเกมเพลย์ที่ค่อนข้างท้าทายเพราะในขณะที่ผู้เล่นไหลไปตามเส้นทางที่วางเอาไว้ มันจะต้องมีตัวบอกทางเป็นนัย ๆ ว่าต้องไปทางไหนต่อ เช่น ทางข้างหน้าจะต้องเลี้ยวซ้ายก็ต้องเอากับดักหรืออะไรที่ดูอันตรายมาวางขวางเอาไว้ให้ผู้เล่นหักเลี้ยวทัน และการบังคับก็ต้องไม่เข้มงวดเกินไป เราเห็นตัวอย่างฉากซีเควนซ์ในเกมมากมายที่เฟล และแทนที่มันจะได้แสดงถึงความอลังการออกมาเต็มที่ กลับกลายเป็นผู้เล่นต้องมาหัวเสียกับการตายซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพราะกระโดดพลาดไปองศาเดียว
จากที่เล่นจนจบ Ratchet & Clank: Rift Apart แทบจะไม่มีข้อเสียอะไรทำนองนั้นเลยครับ เป็นเรื่องแปลกมาก ทั้งที่ในซีเควนซ์หนึ่งครั้งก็ให้เราทำอะไรหลายอย่าง ตั้งแต่กระโดดหลบ กระโดดวิ่งไปตามกำแพง ใช้สลิงโยนตัวเองไปอีกฟาก ฯลฯ แต่เส้นทางที่เกมปูมามันทำให้เราควบคุมตัวละครได้ลื่นไหลเป็นธรรมชาติมาก ไม่ได้ต้องการความเป๊ะในการบังคับอะไรมากมาย ผสมไปกับความครีเอตของเกมที่เราต้องพุ่งตัวผ่านมิติต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว เป็นการตัดฉากฟึบฟับที่เล่นใหญ่ แต่เล่นได้จริง งานออกแบบส่วนนี้คือยังไงก็ 10 ไม่หัก และถ้า 10 ปากว่าไม่เท่าตาเห็น ก็ไปชมกันได้ที่วิดีโอด้านล่างครับ
https://www.youtube.com/watch?v=R9I0_fDu1KI
https://www.youtube.com/watch?v=R9I0_fDu1KI
ยิ่งกว่ามันทะลุมิติ คือทะลุจอมาถึงมือ
ขอวกกลับมาเรื่องของปืนอีกรอบ ในฐานะเป็นเกมแนวชูตเตอร์ และเป็นเอ็กซ์คลูซีฟของ Sony เหมือนกัน งานนี้จะมาแพ้ Returnal ก็จะดูหยามกันไปหน่อย พลังของ Dualsense พูดถึงอีกกี่ครั้งมันก็น่าประทับใจ และ Ratchet & Clank: Rift Apart ก็ใช้ประโยชน์จากมันผ่านสารพัดปืนในเกม ทั้งความสั่นตอนรัวปืนกล เสียงกดกระสุนไม่ออก เสียงชาร์จบีม ที่สำคัญก็คือความเป็นแฟนตาซีของมัน ทำให้มันสามารถใส่ลูกเล่นแบบ ‘คิดได้ไง’ เข้ามา เช่น ปืนยิงสว่านที่จะพุ่งไปตามพื้นแล้วกระโจนใส่ศัตรู แทนมันจะเป็นเสียงสว่านดังออกมา เราจะได้ยินเป็นเสียงคล้ายสุนัขวิ่งไปกระโจนใส่เป้าหมายแทน
งานภาพ
ระดับกราฟิกของเกมสมกับฐานะ PS5 ครับ คมชัดไปจนเห็นเส้นขนไร ๆ บนหน้าของ Ratchet กับ Rivet เลย แต่ก็ไม่ได้ใส่มากจนเกินงามนะครับ ไม่งั้นงานอาร์ตมันน่าจะสมจริงจนดูประหลาดไป ส่วนความลื่นไหลก็หายห่วงครับ ไม่ว่าศัตรูในฉากจะเยอะ ฉากหลังจะอึกทึกไปด้วยงานระเบิดภูเขาเผากระท่อมน้ำมันกัญชาแค่ไหน ก็ไม่ได้รู้สึกสะดุดอะไรทั้งนั้น
เรื่องที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือฟิสิกส์ในเกมครับ เป็นอีกเรื่องที่ทีมงานทำการบ้านมาดี เพราะภาคนี้ศัตรูส่วนใหญ่ของเราจะเป็นหุ่นยนต์ ไม่ก็พวกเอเลี่ยนที่พกอาวุธ หรือ ขี่ยานมา แต่พอเราจัดการพวกมันแล้ว ซากที่กระเด็นกระดอนก็จะเหวี่ยงไปตามแรงโน้มถ่วงกับสิ่งของในฉากได้สมจริง
งานออกแบบตัวละคร
ในส่วนงานออกแบบตัวละครนั้น Ratchet & Clank: Rift Apart ใช้ประโยชน์จากความเป็นแฟนตาซีในการออกแบบประชากรของภาคนี้อย่างเต็มที่ แม้เราจะเดินทางเข้าไปในมิติที่หุ่นยนต์ครองดาวเป็นส่วนมาก แต่งานอาร์ตสไตล์ และการให้เสียงพากย์ มัน… มัน… น่ารักมาก โดยเฉพาะหุ่นแมงมุมน้อยล้างบางไวรัส จะให้อารมณ์แบบน้อนนนน
ระยะเวลาที่ใช้เล่น
นับนิ้วคำนวณคร่าว ๆ เกมภาคนี้ถือว่ามีความยาวให้เสพได้นานทีเดียว เอาแบบเกมเพลย์เนื้อ ๆ เน้น ๆ ก็ประมาณ 8-9 ชั่วโมง ซึ่งก็ถือว่าเต็มอิ่มสำหรับเกมที่ขับเคลื่อนด้วยการเล่าเรื่อง พอจบเกมแล้วก็ยังปลดล็อคโหมดที่จะให้คุณได้มันไปกับอาวุธเดิมที่มี พร้อมกับอาวุธใหม่ในการเล่นที่ท้าทายกว่าเดิมด้วย
สรุป
Ratchet & Clank: Rift Apart เป็นเกมที่สมชื่อประจำภาค เป็นการผจญภัยที่ฉีกกระชากทุกมิติให้คุณสัมผัสทุกอณูของความมันเท่าที่จะทำได้ แม้เนื้อเรื่องและเกมเพลย์ที่ยึดเอาความเรียบง่ายเป็นศูนย์กลาง และส่วนที่คิดว่าผู้สร้างน่าจะขยี้ได้มากกว่านี้ แต่ก็ทดแทนด้วยงานออกแบบตัวละครที่น่ารัก มีชีวิตชีวา และจังหวะเกมที่ติดเครื่องเดินหน้าลั่นไกอย่างสะใจ ทวีความเข้มข้นจากต้นไปจนสุดที่ท้ายเกม
หากคุณยังไม่สามารถชักจูงตัวเองให้ซื้อ PS5 ตอนนี้ได้ ลองเพิ่มชื่อ Ratchet & Clank: Rift Apart เข้าไปในเหตุผลดูครับ