รีวิว Heretic + Hexen: ตำนานที่กลับมาหลอนใหม่
* ขอขอบคุณโค้ด PC เพื่อการรีวิวจาก id Software และ Bethesda Softworks มา ณ โอกาสนี้ค่ะ
** สเปคเครื่องที่ใช้เล่นเกม : Intel(R) Core(TM) i7-14700HX 2.10 GHz Ram 32 GB RTX4060
ถ้าใครเกิดไม่ทันยุค 90s เกม Heretic (1994) กับ Hexen (1995) คือเกม FPS ตระกูลเดียวกับ DOOM แต่เน้นเวทย์มนตร์ อาวุธแฟนตาซี และบรรยากาศแบบ Dark Fantasy Gothic หนัก ๆ ที่ค่อนข้างแตกต่างจากเกมยิงปืนสมัยนั้น
การกลับมาครั้งนี้ Raven Software, id Software และ Nightdive Studios จัดเต็มให้ทั้งแฟนเก่าและมือใหม่ใสกิ๊ง ด้วยชุดรวม + ภาคใหม่ ได้แก่
- Heretic: Shadow of the Serpent Riders
- Hexen: Beyond Heretic
- Hexen: Deathkings of the Dark Citadel (อันนี้เป็นส่วนเสริมของภาคยุคเก่า)
ยัง! ยังไม่พอ ยังมีภาคใหม่ที่ทำมาพิเศษในปี 2025 นั้นก็คือ… - Heretic: Faith Renewed
- Hexen: Vestiges of Grandeur
ซึ่งบอกตรง ๆ ว่าผู้เขียนไม่รู้หรอกว่าเมื่อก่อนมันดังขนาดไหน แต่ที่แน่ ๆ คือเปิดมาปุ๊บ… เป็นพิกเซลโบราณแบบระบบ Dos หรือฟีลวินโดว์ 95 เหมือนย้อนวัยกลายเป็นเด็กหนวดทันที
งั้นเรามาดูเรื่องย่อกับระบบเกมกันดีกว่า
เรื่องย่อ Heretic ก็คือ ครั้งหนึ่งเหล่าเซอร์เพนท์ไรเดอร์มี ดีสปาริล, โคแรกซ์ และไอโดลอน ได้ใช้เวทมนตร์ชั่วร้ายเข้าสิงกษัตริย์แห่งพาร์ธอริสทั้งเจ็ด ทำให้ดินแดนล่มสลายและเผ่าซิดเฮถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกนอกรีต เมื่อเผ่าซิดเฮพ่ายแพ้และเสื่อมถอย “คอร์วัส” เอลฟ์หนุ่มจึงออกเดินทางแก้แค้น เขาฝ่าฝูงอสูร ผ่านเมืองต้องสาปจนถึง Hell’s Maw และวิหารลับของดีสปาริล ผู้เล่นจะได้รับบทเป็นคอร์วัส ตัวละครเผ่าซิดเฮ ที่ต้องต่อสู้กับกองทัพปีศาจของจอมมารดีสปาริล
ระบบการเล่นของ Heretic คล้ายๆ กับ Doom คือเดินยิงผ่านด่านที่เต็มไปด้วยมอนสเตอร์ ค้นหากุญแจเพื่อเปิดประตูและไปต่อ สิ่งที่แตกต่างคือ ระบบไอเทมในช่องเก็บของ ผู้เล่นสามารถเก็บของไว้ใช้ภายหลังได้ ไม่ใช่หยิบแล้วใช้ทันทีเหมือน Doom ของที่เจอมีตั้งแต่ยาฟื้นพลัง, ไอเทมป้องกัน, ไปจนถึงสุดยอดสายฮาอย่าง Morph Ovum ที่เปลี่ยนศัตรูให้เป็นไก่! ใช่คับไก่ 🐔 (งง เหมือนกัน ไก่มายังไง) และยังมี Tome of Power ที่ทำให้อาวุธทุกชิ้นเพิ่มพลังโจมตี และเปลี่ยนรูปแบบการยิงให้แรงสุด ๆ
นอกจากนั้นยังมีกับดัก มีห้องลับที่เต็มไปด้วยศัตรูให้ผู้เล่นต้องระวัง และที่เด็ดคือเกมนี้สามารถ มองขึ้นลง รวมถึงบินได้ แม้ว่าระบบการเรนเดอร์จะยังดูเพี้ยน ๆ (ชวนให้พะอืดพะอม) เวลาเงยหน้าก้มหน้า แต่สำหรับยุค 90s มันถือว่าแปลกใหม่สุด ๆ
ต่อด้วยเรื่องย่อ Hexen หลังจากดีสปารีลถูกคอร์วัสสังหาร ความชั่วร้ายของเหล่า Serpent Riders ก็ยังไม่สิ้นสุด เพราะพี่น้องคนถัดมาโคแรกซ์ ได้แผ่เงามืดปกคลุมดินแดนใหม่ที่ชื่อว่า โครนอส
ทว่า…ยังคงมี สามวีรบุรุษ ที่ลุกขึ้นต่อต้าน คือ Fighter, Cleric และ Mage ผู้เล่นจะได้เลือกคนใดคนหนึ่ง และออกเดินทาง ซึ่งถือว่าเป็นการยกระดับจาก Heretic เพราะสไตล์การเล่นของแต่ละตัวจะไม่เหมือนกัน ของบางอย่างเช่นระเบิดแก๊สพิษ เมื่อแต่ละคลาสหยิบไปใช้ก็จะทำงานแตกต่างกัน
และจุดที่แตกต่างอีกจุด ที่บ้างก็ดี แต่บ้างก็อึดอัดคือ ระบบ”Hub” ที่ผู้เล่นไม่ได้เล่นเป็นด่านต่อด่านเรียงลำดับ แต่จะมีศูนย์กลาง ที่เชื่อมต่อกับด่านย่อยหลายด่าน ต้องกลับไปกลับมาหาสวิตช์ ไอเทม หรือไขปริศนาขนาดใหญ่ ก่อนถึงจะปลดล็อกเส้นทางไปยังฮับถัดไปได้ ให้ความรู้สึกเหมือนผจญภัยในโลกที่ซับซ้อนจริง แต่มันก็กลับเป็นดาบสองคมที่ทำให้เกมน่าเบื่ออย่างมาก ลองคิดดูว่าการแก้ปริศนาที่ต้องใช้ความอดทนสูง ผู้เล่นมักจะต้องเดินทางไปอีกฝั่งของแผนที่เพื่อกดสวิตช์เพียงอันเดียว จากนั้นก็ต้องถ่อเดินย้อนกลับมาที่เดิมเพื่อเปิดทางใหม่ การเดินทางกลับไปกลับมา ที่กินเวลานานนี้สร้างความโคตรเหนื่อยแถมหลงอีก ทำให้ความสนุกลดลงไปอย่างเร็ว แม้แผนที่จะแสดงตำแหน่งสวิตช์และประตูสำคัญ ๆ ก็ตาม
เรื่องราวส่วนเสริม Deathkings of the Dark Citadel หลังจากโคแรกซ์ถูกโค่นล้มไปแล้ว เรื่องราวก็ยังไม่จบ…
ภาคนี้จะพาผู้เล่นกลับมาเผชิญความสยองอีกครั้งกับ 3 ฮับใหญ่ ซึ่งแต่ละฮับเต็มไปด้วยด่านใหม่ ปริศนาใหม่ ที่พิเศษคือ ศัตรูจากทุกพื้นที่สามารถโผล่มาได้ทุกแผนที่ ทำให้การเล่นยากและคาดเดาไม่ได้มากขึ้น เมื่อผู้เล่นมาถึงด่านสุดท้าย ก็จะได้เผชิญกับ Dark Citadel สนามประลองแห่งความตาย ที่คลื่นปีศาจจะถูกส่งมาผ่านประตูเทเลพอร์ตอย่างต่อเนื่อง เราต้องต่อสู้กับ โคลนทั้งสามคลาส (นักสู้, นักบวช, และนักเวท) เสมือนว่าผู้เล่นต้องเจอกับเงาสะท้อนของตนเองในสนามรบ…
แต่หลายปีผ่านไป
หลังจากจอมเวทย์อสูรถูกสังหาร โลกดูเหมือนจะกลับสู่ความสงบ แต่ความจริงแล้วเงามืดของเขายังไม่สลายไปไหน…
Heretic: Faith Renewed (2025) เปิดฉากด้วยการที่นักรบพเนจรเดินทางมาถึงดินแดนแปลกถิ่น ที่ซึ่งศาสนาโบราณกลับมาครอบงำผู้คนอีกครั้ง ท่ามกลางความสิ้นหวังนี้ ผู้เล่นถูกผลักเข้าสู่บทบาท The Heretic อีกครั้ง เป้าหมายคือการเดินเข้าสู่มหาวิหาร เพื่อต่อสู้กับจอมเวทย์อสูรที่ยังไม่ยอมตาย
เหล่าศัตรูใหม่ๆ ที่ต้องเจอ อาทิ Draugr ซากผีดิบที่คล้ายๆ มัมมี่ ที่เคลื่อนไหวได้เร็ว แถมยังยิงลูกพลังงานสีม่วงออกมาเรื่อยๆ ได้อีก นอกจากนี้ยังมี Troll ที่อึดขึ้น ส่วนอีกตัวคือ Chaos Serpent ที่พุ่งชนแรง และตายยากมาก
แต่ไม่ต้องห่วง เพราะเราก็มีอาวุธใหม่มาให้ใช้เหมือนกัน นั่นคือ Tempest Wand ไม้เท้าเวทมนตร์ที่ดูคล้ายกับไม้เท้าของพวกเอลฟ์ อาวุธชิ้นนี้ยิงลำแสงสายฟ้าออกมาได้ และที่เจ๋งคือลำแสงนั้นสามารถกระเด้งไปโดนศัตรูที่อยู่ใกล้ๆ ได้หลายตัวในเวลาเดียวกัน ถ้าหากเราใช้ Tome of Power ร่วมด้วย ไม้เท้าจะเปลี่ยนโหมดการยิงเป็นการปล่อยลูกพลังงานสายฟ้าขนาดใหญ่ที่เคลื่อนที่ช้าๆ แต่เมื่อระเบิดออก มันจะปล่อยลำแสงสายฟ้ากระจายไปทั่วบริเวณ สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับศัตรูที่อยู่ในรัศมี นี่เป็นอาวุธที่ช่วยให้การเคลียร์ศัตรูจำนวนมากง่ายขึ้นมากเลยทีเดียว
ตามมาติดๆ ด้วย Hexen: Vestiges of Grandeur (2025) เมื่อโคแรกซ์กลับได้พลังที่เหนือกว่ากลับคืนมา และเราก็ต้องออกเดินทางเพื่อหาคำตอบว่าใครกันแน่ที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมดนี้
สิ่งที่เจ๋งที่สุดเลยคือเราสามารถสลับคลาสตัวละครได้ตลอดเวลา! ไม่ว่าจะกำลังเป็นนักรบ อยากจะเปลี่ยนเป็นนักเวทย์ยิงไฟ หรือนักบวช ก็ทำได้ง่ายๆ แค่ไปที่แท่นหนังสือโบราณที่เรียกว่า “พงศาวดาร” แล้วอาวุธจะเปลี่ยนไปตามคลาส
เส้นทางการผจญภัยเต็มไปด้วยปริศนามากมายเช่นเดิม เราต้องออกสำรวจแผนที่เพื่อรวบรวมถ้วยปริศนาทั้ง 5 ใบ และหัวใจของดีสปารีล อีก 4 ดวง เพื่อใช้เปิดทางไปยังแผนที่และพื้นที่ลับต่างๆ นอกจากภารกิจหลักแล้ว ก็ยังมีพื้นที่ลับให้เราค้นหา อย่างเช่น “วิหารธาตุ” หรือ “สวนแห่งมีเดีย” ที่เต็มไปด้วยไอเท็มมากมาย
ความรู้สึกตอนเข้าไปเล่นครั้งแรกนะ…
โอ้โห มึนหัวแทบจะอ้วกเลยจ้า 😂 Motion sickness มาเต็ม เพราะภาพมึดมากและการเดินก็วูบวาบมากด้วย มุมมองภาพก็คับแคบทำให้มองไม่ค่อยชัด ไอ้ครั้นจะปรับภาพสว่าง แสงกระพริบก็จ้าตาแทบบอด เล่นไปสักพักต้องกด pause ลุกไปกินน้ำหายใจลึก ๆ แล้วนอน…
แต่ความดีก็มีบ้าง คือรีมาสเตอร์รอบนี้เค้าไม่ได้อัปแค่กราฟิกอย่างเดียว แต่ยังเพิ่มคัทซีนเป็นมูฟวี่ให้ดูกันเพลิน ๆ ได้พักหายใน นอกจากนั้นยังมีระบบเล่นออนไลน์ crossplay ได้สูงสุด 16 คน และยังมีโหมด split screen ไว้นั่งยิงกันในห้องนั่งเล่นเหมือนเด็กเกาะเบาะอีกด้วย
งานภาพของเกม
สำหรับเวอร์ชันรีมาสเตอร์ใหม่นี้ Nightdive Studios ได้ใช้เทคโนโลยีของตัวเองที่เรียกว่า KEX Engine ซึ่งช่วยให้เกมคลาสสิกสามารถรันบนฮาร์ดแวร์สมัยใหม่ได้ดีขึ้น จึงได้ความละเอียด 4K และเฟรมเรต 120 FPS และเพื่มมูฟวี่คัทซีนเข้าไป (ของเก่าเป็นแค่ภาพนิ่ง และตัวอักษร 8 บิทพิมพ์ต่อๆๆ กันเฉยๆ) ซึ่งทำให้ภาพชัดสวยโดดออกจากภาพเกมปกติขึ้นมาเลย แต่เกมโดยรวมส่วนใหญ่ก็ยังมองยากอยู่ดี ซึ่งจากที่เป็น Motion sickness ดังได้กล่าวไป ก็อาจจะขอตัดคะแนนภาพหน่อย
งานเสียงของเกม
เสียงเอฟเฟกต์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเสียงอาวุธอย่างลูกไฟ, เสียงการโจมตีของมอนสเตอร์ หรือเสียงเปิดประตูยังคงเป็นเสียงดั้งเดิมที่เราคุ้นเคยจากยุคเกมคอมพิวเตอร์เก่าๆ ซึ่งช่วยรักษาเสน่ห์และบรรยากาศแบบย้อนยุคเอาไว้ได้อย่างดี แต่เพิ่มเติมคือ ภาค Remastered ได้รับการยกระดับขึ้นไปอีกขั้นด้วยฝีมือของ Andrew Hulshult ได้นำเพลงประกอบดั้งเดิมมาเรียบเรียงและรีมิกซ์ใหม่ ทำให้เสียงดนตรีมีความแน่นและน่าตื่นเต้นมากขึ้น จากเดิมที่เป็นเสียง MIDI แบบเกมยุคเก่า ก็กลายเป็นซาวด์แทร็กที่ดูเป็นหนังยุคกลางใหญ่อลังการขึ้นมาทันที
สรุป
การกลับมาของ Heretic + Hexen Remastered คือการนำเกมคลาสสิกในตำนานจากยุค 90 มาปัดฝุ่นใหม่ให้เข้ากับยุคสมัย สิ่งที่น่าประทับใจคือการที่ทีมพัฒนาเข้าใจปัญหาของเกมต้นฉบับ โดยเฉพาะความน่าเบื่อของ Hexen ที่ต้องเดินไปมาเพื่อไขปริศนา พวกเขาได้ปรับปรุงแผนที่ให้ฉลาดขึ้นและเพิ่มฟีเจอร์การเปลี่ยนคลาสตัวละครได้ตลอดเวลา ทำให้การเล่นไหลลื่นและน่าเบื่อน้อยลง (แต่ก็ยังน่าเบื่ออยู่ดี) นอกจากนี้ การอัปเกรดงานภาพและการเพิ่มฉากคัทซีน ทำให้มีเวลาพัก เพื่อได้อินกับเนื่อเรื่องมากขึ้น (แต่ก็ยังมึนหัวอยู่ดี) และดนตรีประกอบใหม่ที่เร้าใจจาก Andrew Hulshult ก็ช่วยเสริมประสบการณ์ให้อิมเมอซีฟมากขึ้นจริง (เพราะลองไปหาฟังเทียบกันมา) ทำให้เหมาะกับผู้ที่เคยเล่นเกมนี้และจะรำลึกถึงอดีต แต่สำหรับเด็กยุคใหม่ มาเล่นครั้งแรกคงจะไม่ใช่ตัวเลือกแรก เพราะต้องใช้ความอดทนในการเล่นมากเกินไป












