Reviews

Dying Light: The Beast – รีวิว [REVIEW]

โดย ปอลนาโช่

รีวิว Dying Light: The Beast

* ขอขอบคุณโค้ด PS5 เพื่อการรีวิวจาก Techland มา ณ โอกาสนี้ครับ

Dying Light ภาคแรก คือหนึ่งในเกมโปรดตลอดกาลในดวงใจของผม เพราะมันได้สร้างบรรยากาศการวิ่งหนีผีเข้าไปในบ้านที่ล้อมสายสิญจน์ เอ้ย! บ้านที่เป็นเซฟโซน ผีดิบเข้าไม่ได้ ให้เราได้พักหายใจหายคอ เหมือนการเล่นกับเพื่อนในวัยเด็ก หรือการได้ดูหนังไทยแนววิ่งหนีผียังไงยังงั้น

แต่พอมาภาคสอง….อะไรก็เปลี่ยนแปลงไป จนผมไม่อยากจะพูดถึงมัน 555

ซึ่งจากผลตอบรับของภาคที่แล้ว ทาง Techland เขาก็ไม่ได้หูหนวกตาบอดนะครับ เขารับรู้เลยแหละ จึงรีบออกมาสัญญาว่าจะดึงซีรีส์นี้ให้กลับมาอยู่กับร่องกับรอยอีกครั้ง โดยประกาศภาค The Beast ว่าจะเปลี่ยนตัวเองจาก DLC ของภาคสอง มาเป็นเกมภาคแยกตัวเต็ม และจะให้บรรยากาศในแบบภาคหนึ่งในตำนานอีกครั้ง

และจากที่ผมได้ลุยแดนแคสเตอร์วู้ดกันไปแล้วใน Dying Light: The Beast ผมขอบอกแต่ต้นเลยว่า ทีมงานเขาทำได้ครับ!

ความประทับใจอันดับแรกเมื่อเข้าสู่โลกเกมก็คือ ความติดดินของตัวเอกและปาร์กัวร์…พอกันทีกับการปีนตึกสูงและบินไปบินมาด้วยเครื่องร่อนแบบในภาคก่อน เพราะหนุ่มใหญ่ไคล์ เครน มีแค่สองมือสองทีนครับ จะไปไหนก็วิ่งเอาสิ! ส่วนนอกเมืองก็อาจมีรถจอดให้ใช้บ้างแต่ไม่เยอะมาก

การออกแบบเกมลักษณะนี้ทำให้คนเล่นรู้สึกได้ชัดเจนถึงความไม่ปลอดภัยของโลกภายนอก จะไปไหนทีต้องระมัดระวังกันสุด ๆ เล่นแล้วลุ้นสนุกแบบภาคต้นตำรับ

ขณะที่การออกแบบปฏิกริยาตอบโต้ของซอมบี้ทำได้ดีกว่าภาคหนึ่งด้วยซ้ำ โดยคราวนี้พวกไวรัล ผีดิบนักวิ่งจะไม่โผล่มาพร่ำเพรื่อแล้ว มันจะมาก็ต่อเมื่อเราทำเสียงดังโจ๋งครึ่มจริง ๆ เท่านั้น ส่งผลให้เราสามารถเคลื่อนที่สำรวจฉากได้ดีกว่าเดิม ค่อย ๆ เดินเข้าหาไอเท็มตามบ้านร้างได้อย่างสงบสันติ ไม่ต้องวิ่งเร็ว 4×100 ไปด้วยคอยหยิบไอเท็มตามฉากไปด้วยแบบเดิม ๆ แล้ว

ส่วนตอนกลางคืนนี่ไม่ต้องพูดถึง เกมสร้างความสยองที่แท้จริงให้กับคนเล่นครับ ถ้ากลับบ้านไม่ทันก่อนพระอาทิตย์ตกนี่คือนรกแน่นอน คุณสู้พวกโวลาไทล์ไม่ได้หรอก ทางเดียวคือวิ่งหนี แล้วภาวนาให้หนีเข้าเซฟโซนทันก่อนโดนกวดถึงตัว

ด้านเนื้อเรื่องต้องบอกเลยว่าเหมือนหนังเกรดบี ก๊ากกก อย่าไปถามหาปรัชญาชีวิตอะไรมากมายในเกมซอมบี้ครับ เรื่องเริ่มต้นที่ไคล์ เครน ถูกท่านบารอน จับตัวไปทดลองนานกว่า 13 ปีก่อนหลุดออกมาได้ แล้วสาบานว่าจะแก้แค้นไอ้บารอนบ้าอำนาจรายนี้ให้จงได้ เลยไปร่วมมือกับชาวเมืองผู้รอดชีวิต ในการโค่นล้มบารอนคนดังกล่าว…นั่นแหละ พล็อตมีนิดเดียวเอง มีหักมุมบ้างตามการเดินเรื่อง แต่ก็ไม่ได้เซอร์ไพรซ์อะไรมาก ผมเดาได้ตั้งแต่ต้นเลยด้วยซ้ำ

แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรเลยครับ เพราะเวลาเล่นเอง คุณไม่ค่อยนึกว่าตัวเองคือไคล์ เครน หรอก เรามักจะนึกว่าเป็นตัวเองเสมอสำหรับเกมที่เน้นการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดแบบนี้

ด้านระบบเกม โดยเฉพาะการต่อสู้และอาวุธต่าง ๆ ผมขอชื่นชมเป็นอย่างมาก เพราะจับเอาข้อดีของทั้งสองภาคก่อนหน้ามาผสมผสานกันจนลงตัว อาวุธที่มีให้ตามฉากไม่เยอะเกินเหตุอีกต่อไป มีให้กำลังดี และพังยากขึ้นกว่าเดิม

สำหรับข้อติติงที่เห็นชัดเจนที่สุดตอนนี้มีสามประเด็น (โดยผมเชื่อว่าเขาจะทำแพตช์แก้ไขออกมาให้เร็ว ๆ นี้แหละ) อันดับแรกคือการโผเข้ากอดจากพวกซอมบี้..ทำไมมันจับเราง่ายเหลือเกิน เห็นอยู่ตั้งไกล ห่างกันเกือบเมตร แต่พอมันเริ่มแอนิเมชันจะพุ่งเข้ามาปุ๊บ มันจับตัวเราได้ทันที ไม่เปิดโอกาสให้โยกหลบกันเลย แล้วลองนึกดูตอนที่คุณเกิดตกไปในซอยที่เต็มไปด้วยฝูงผีดิบกีกี้ดูสิครับ…

ประเด็นสอง คือบั๊กด้านภาพ เช่น ฝนตกในอาคาร, ผีดิบเดินติด ตัวฝังอยู่ในกำแพง ฯลฯ พวกนี้คิดว่าต้องรีบแก้ไขโดยเร็วเลยนะ Techland

ประเด็นสุดท้ายคือ…เอนจิ้นเกมนี้ ดูแล้วสืบทอดมาจากภาคแรกชัวร์ ซึ่งบางฟีเจอร์มันเริ่มจะตกยุคแล้วครับ เกมเริ่มดูไม่สวยเท่าเกมยุคใหม่เกมอื่นบ้างแล้ว มันเริ่มแสดงความต่างชัดเจนขึ้นแล้วครับ

ในส่วนของการออกแบบฉากโอเพ่นเวิลด์ ในภาคนี้คือ Castor Woods เมืองกลางหุบเขาแห่งหนึ่งในยุโรป (จำลองมาจากเทือกเขาแอลป์ในสวิส ผสมผสานกับเทือกเขาตาตราในโปแลนด์) ขนาดของโลกเกมใหญ่กำลังดี พอ ๆ กับภาคแรก (ที่ยังไม่รวม DLC the following) ออกแบบให้มีทั้งย่านเมืองและย่านป่าเขา โดยรวมแล้วมันคือ “เมืองท่องเที่ยวสไตล์ยุโรป” นั่นเอง

เรื่องสุดท้ายที่หลายคนอาจสนใจ นั่นคือขนาดความยาวของเกม ซึ่งผมต้องบอกเลยว่า นี่ไม่ใช่เกมสั้น ๆ แบบ DLC หรือเกมภาคแยกทั่ว ๆ ไปนะครับ นี่มันคือเกมฉบับเต็มเกมหนึ่งเลย เล่นได้นานมาก ภารกิจรองเยอะมาก และเนื้อหาของบรรดาเควสต์รอง เขียนบทได้ดีสุด ๆ เผลอ ๆ ดีกว่าเมนเคสต์อีก (เล่นแล้วนึกถึงเดอะ วิชเชอร์ 3 เลยครับ) 40-50 ชั่วโมงต้องมีอ่ะ สำหรับเกมนี้

มาถึงบทสรุป ผมพูดแบบนี้เลยดีกว่า Dying Light: The Beast ก็คือภาคสองที่แท้จริง ที่เกมควรจะเป็น นี่แหละคือ Dying Light ถ้าใครชื่นชอบภาคหนึ่ง ผมขอร้องเลย มาเล่นภาค The Beast กันเถอะครับ ที่สำคัญเลยนะ ทีมงานนี้เขาขึ้นชื่อเรื่องซัพพอร์ตเกมหลังวางจำหน่าย ใครเป็นเจ้าของเกมแล้วก็เตรียมรับคอนเทนต์เสริมแบบจุก ๆ (ทั้งฟรีและจ่ายเงิน) ที่จะตามมาอีกในอนาคตอีกเพียบแน่นอน!

The Review

90% สุดยอดการคัมแบ็กแห่งปี

Dying Light: The Beast วางขายแล้วทุกแพลตฟอร์ม ทั้ง STEAM , EPIC Store , PlayStation Store และ Xbox

90%

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ข้ามไปยังทูลบาร์