รีวิว TALES OF XILLIA REMASTERED นี่มัน…นั่งเล่นเกมรึนั่งดูอนิเม!
*ขอขอบคุณ Bandai Namco Entertainment Asia สำหรับโค้ดรีวิวมา ณ โอกาสนี้
ถ้าคุณคือมือใหม่ที่เพิ่งจับซีรีส์ Tales of เป็นครั้งแรก เตรียมตัวให้ดี! คุณอาจจะมีช่วงเวลาที่วางจอยลง แล้วจ้องจอด้วยความรู้สึกว่า
“เอ๊ะ… นี่เรายังเล่นอยู่ไหม หรือกำลังดูอนิเมตอนพิเศษยาว 45 นาที?”
เพราะ Tales of Xillia Remastered คือเกมที่เปิดมาพร้อม คัตซีนต่อเนื่อง + บทสนทนายาวยาววว + ปูโลกแบบจัดเต็ม ราวกับอยากให้คุณสอบผ่านโลก Lore ทั้งหมดก่อนเริ่มเล่นจริง แต่ในขณะเดียวกัน นี่ก็เป็นเสน่ห์แบบคลาสสิกของซีรีส์นี้ ที่เน้นการเล่าเรื่อง เน้นปูตัวละคร และเน้นให้อารมณ์ดราม่ากระแทกใจตั้งแต่วินาทีแรก
เนื้อเรื่อง
Tales of Xillia ดำเนินเรื่องในโลกที่มีชื่อว่า Rieze Maxia ซึ่งเป็นโลกที่พลังงานเวทมนตร์ถูกหล่อเลี้ยงและควบคุมโดยสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า สปิริต (Spirits) ผู้คนในโลกนี้พึ่งพาสปิริตในการดำรงชีวิต และมีเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วยพลังเวทมนตร์นี้ เราสามารถเลือกเล่นได้จากมุมมองของตัวละครหลักสองคน ซึ่งจะนำไปสู่ฉากเหตุการณ์และบทสนทนาที่แตกต่างกันเล็กน้อย ทำให้การเล่นซ้ำครั้งที่สองก็ยังคงน่าสนใจ
คนแรกคือ “จู๊ด มาธิส (Jude Mathis)” เด็กหนุ่มนักศึกษาแพทย์ผู้ฉลาดและมีไหวพริบ และอีกคนคือ “มิลล่า แม็กซ์เวลล์ (Milla Maxwell)” หญิงสาวลึกลับผู้เป็นร่างอวตารของ มหาภูตแม็กซ์เวลล์ ผู้พิทักษ์โลก เธอมีท่าทีเยือกเย็น มั่นใจ และมักจะมีความคิดที่แตกต่างจากคนอื่นทั่วไป
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อ “จู๊ด” ที่กำลังศึกษาอยู่ที่เมืองหลวงของอาณาจักร ได้พบเหตุการณ์ผิดปกติที่โรงพยาบาลในคืนหนึ่ง เขาแอบสะกดรอยตามไปที่ฐานทัพวิจัยลับของกองทัพ และได้พบกับ “มิลล่า” ที่กำลังแทรกซึมเข้าไปทำลายอาวุธร้ายแรง อาวุธนั้นมีความสามารถในการดูดซับสปิริตจำนวนมหาศาลเพื่อใช้ในการทำลายล้าง ซึ่งอาจทำให้สมดุลของโลกและชีวิตของสปิริตต้องพังทลายลง แต่ในขณะที่มิลล่าพยายามทำลายอาวุธนี้ สปิริตที่เธอเรียกใช้ถูกดูดซับพลังไปจนหมด ทำให้เธออ่อนแอลงอย่างมาก และอาวุธก็ยังไม่ถูกทำลายอย่างสมบูรณ์
จู๊ดที่เข้าไปพัวพันในเหตุการณ์นี้โดยไม่ได้ตั้งใจ ได้ตัดสินใจช่วยเหลือมิลล่าที่บาดเจ็บและไม่มีพลัง พวกเขาจึงถูกทางการตามล่าในฐานะผู้ทรยศ และถูกบังคับให้ออกเดินทางผจญภัยไปด้วยกันเพื่อทำลายอาวุธให้สำเร็จ และหาทางให้มิลล่ากู้คืนพลังของเธอ
ระหว่างการเดินทาง พวกเขาได้พบกับสหายคนอื่น ๆ ที่เข้ามาสมทบในกลุ่ม อาทิ “อัลวิน (Alvin)” ทหารรับจ้างผู้มากประสบการณ์และลึกลับ ที่มักจะทำตัวเป็นอิสระ, “เอลซี่ (Elize Lutus)” เด็กผู้หญิงตัวเล็กที่มีตุ๊กตาพูดได้ และมีความสามารถในการเรียกสปิริต, “เลอา (Leia Rolando)” เพื่อนสมัยเด็กของจู๊ด ผู้มีความกระตือรือร้นและทำงานที่โรงเตี๊ยม, “โรเวน (Rowen J. Ilbert)” อดีตนายพลผู้รอบรู้และสุขุมของอาณาจักร
การเดินทางของกลุ่มไม่ได้มีแค่การทำลายอาวุธ แต่ยังนำพวกเขาไปสู่ความขัดแย้งที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นระหว่างอาณาจักร ที่ฝ่ายหนึ่งอยากพัฒนาเทคโนโลยีเหนือมนุษย์ แต่อีกฝ่ายบอกว่ามันคือ “การทำลายโลก” และเรื่องราวก็เริ่มบานปลายเข้าสู่สงครามระดับประเทศ
เอาล่ะ ก่อนที่จะเป็นการสปอยล์ไปมากกว่านี้ จะขอสรุปง่ายๆ เลยว่า เรื่องจะไต่ระดับจากการเป็นการไขปริศนาการทดลองลับ ไปสู่ความจริงว่ามนุษย์ทำอะไรกับสปิริตมานาน และแผนการที่ว่า ก็ส่งผลถึงชะตาของทั้งโลก อย่างที่เห็นนี้นี่เอง!
ระบบการเล่น
Tales of Xillia Remastered ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังถือจอยควบคุมอนิเมต่อสู้แบบเรียลไทม์ มากกว่า JRPG แบบผลัดเทิร์นดั้งเดิม การต่อสู้เกิดขึ้นในสนามจำกัดที่คุณสามารถวิ่ง หลบ ใช้สกิล และเชื่อมคอมโบได้เองทั้งหมด จุดเด่นคือระบบ Linked Combat ที่ให้ตัวละครจับคู่กันเป็นคู่ต่อสู้ / คู่ซัพพอร์ต ทำให้การใช้ท่าไม้ตายร่วมกันเกิดเป็นแอ็กชันสวย ๆ แบบดูแล้วเหมือนคัตซีนสั้น ๆ ระหว่างต่อสู้
การเลือกคู่ให้เข้ากับสถานการณ์การต่อสู้ถือเป็นสิ่งสำคัญ เช่น ตัวแทงค์จับคู่นักเวท หรือดาบคู่กับฮีลเลอร์ กลายเป็นกลยุทธ์สำคัญมากกว่าการกดปุ่มรัว ๆ นอกจากนี้ เกมยังให้ผู้เล่นสั่งเพื่อนร่วมทีม ปรับสไตล์การสู้ และเลือกท่าให้ใช้ล่วงหน้าได้ ทำให้ทีมเราเล่นเข้าขากันและรุมฟาดฟันศัตรูตายอย่างง่ายดาย นอกจากนี้ยังมีระบบการพัฒนาตัวละครแบบ Lilium Orb ที่ให้ผู้เล่นสามารถปรับแต่งความสามารถต่างๆ ของตัวละครได้อย่างละเอียดตามสไตล์การเล่นที่ต้องการ ทำให้ระบบการเล่นมีความหลากหลาย และเต็มไปด้วยยุทธวิธีใหม่ๆ
และที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ DLC ที่ถูกรวมในเวอร์ชัน “Remastered!” ทำให้การแต่งตัวละครกลายเป็นอีกหนึ่งความสนุกที่แย่งซีนไม่แพ้การต่อสู้ คุณสามารถเปลี่ยนชุด เปลี่ยนทรงผม ใส่อุปกรณ์ตกแต่ง และคอสตูมพิเศษให้ตัวละครได้หลากหลายแบบ ตั้งแต่ชุดแฟนตาซี ชุดนักเรียน ไปจนถึงชุดเมด ชุดว่ายน้ำ ทุกอย่างถูกเปิดให้ใช้ได้ตั้งแต่ต้นเกม ผลลัพธ์คือเวอร์ชันนี้ให้ความรู้สึกเหมือนเกมครบแพ็ก ที่คุณสามารถออกแบบลุคทีมของตัวเองได้ตลอดเวลา เปลี่ยนสไตล์เมื่อไหร่ก็ได้
งานด้านภาพ
งานภาพให้ความรู้สึกสวยละมุนและอลังการแบบ J-Fantasy เต็มขั้น ตามสไตล์ของซีรีส์ที่เน้นโลกแฟนตาซีผสมความโรแมนติก ความอบอุ่น และโทนการผจญภัยเบา ๆ ซึ่งเวอร์ชันรีมาสเตอร์ทำให้สีสันสดขึ้น รายละเอียดคมขึ้น และบรรยากาศแต่ละเมืองก็ยังโดดเด่นด้วยลวดลายสถาปัตยกรรมที่มีกลิ่นอายเอเชียผสมยุโรปดูลงตัวพอสมควร แต่ถ้าจะมีจุดที่สะดุดตาอยู่บ้างก็คือ แอนิเมชันตัวละครยังดูแข็ง ๆ โดยเฉพาะรายละเอียดเล็ก ๆ อย่างเช่น เส้นผม ยังคงดูแข็งและไร้ชีวิตชีวาอย่างเห็นได้ชัด เส้นผมของตัวละครหลักหลายตัวแทบจะไม่ขยับตามแรงโน้มถ่วงหรือการเคลื่อนไหวเลย ซึ่งเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงอายุของโมเดลเกมจากยุค PS3 แม้ว่า Remaster จะปรับความละเอียดได้สูงขึ้น แต่แกนหลักของแอนิเมชันก็ยังคงอยู่ ทำให้ความสมจริงของตัวละครลดลงไปบ้างเมื่อเทียบกับเกมยุคปัจจุบัน
อีกอย่างที่แอบรู้สึก “เอ๊ะ?” คือเรื่อง (Worldbuilding) ซึ่งมีความหลากหลายทางยุคสมัยของดีไซน์ในเกม ที่ดูกระโดดมากจนบางทีเหมือนเรานั่งดูโลกหลายช่วงเวลาทับซ้อนกัน เช่น มีปราสาทแบบยุโรป มีเจ้าชายที่แต่งตัวเหมือนยุโรปยุคกลาง มีเมืองสตีมพังค์กึ่งอุตสาหกรรม แต่พอเดินไปอีกโซนกลับเจอยานบินและหุ่นยนต์ล้ำยุคพร้อมห้องทดลองแบบไซไฟเต็มรูปแบบ มันจึงเกิดคำถามว่า “ถ้าเทคโนโลยีไปไกลระดับมีหุ่นยนต์กับยานแล้ว… ทำไมเครื่องแต่งกายยังบางเบาคล้ายแฟนตาซียุคกลาง?…”
คือ ถ้าโลกมีวัสดุไฮเทคขนาดนั้น ชุดหลายชุดก็น่าจะมีเทคโนโลยีเสริมแรงหรือแฮปติกอะไรสักอย่าง ไม่ใช่ชุดผ้าบาง ๆ ที่น่าจะขาดตั้งแต่ยังไม่ทันออกจากบ้านรึเปล่า?… (อันนี้ไม่รวมชุด DLC นะ) ซึ่งนี่เป็นความคิดแบบผู้เล่นที่เสพสื่อมาเยอะๆ แล้ว และเริ่มตั้งคำถามกับความสมเหตุสมผลของยุค ที่ซีรีส์ Tales มักผสมแบบสวยดีผีจับยัด ไม่ยึดกรอบใดมากนัก
อีกประเด็นเล็ก ๆ แต่ชวนสะดุดหูคือ ชื่อของนางเอก “Milla Maxwell” ซึ่งฟังแล้วโมเดิร์นในแบบชื่อภาษาอังกฤษสมัยใหม่ (ชวนให้นึกถึง James Clerk Maxwell นักฟิสิกส์ หรือหน่วยวัด Maxwell) ซึ่งขัดแย้งกับบทบาทของเธอในฐานะ มหาภูต (Great Spirit) ผู้พิทักษ์โลกมานานนับพันปี และเป็นตัวแทนของความเชื่อโบราณ หากเธอเป็นจิตวิญญาณที่อยู่มาตั้งแต่ยุคกำเนิดโลก การที่ชื่อของเธอเป็นชื่อที่ถูกเรียกขานโดยมนุษย์ในยุคหลัง และเป็นชื่อที่มีกลิ่นอายของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ อาจทำให้เกิดความรู้สึกไม่สอดคล้องกับพื้นหลังของตัวละครอย่างที่ว่าไว้ ซึ่งอาจเป็นเพราะทีมพัฒนาเลือกใช้ชื่อที่ฟังดูเท่และคุ้นหูในภาษาอังกฤษมากกว่าจะเน้นความถูกต้องทางด้านอรรถรสแบบ ภาษาโบราณนั่นเอง
สรุปคือภาพรวมงานภาพยังคงงดงาม นุ่ม สวย และอลังการแบบ JRPG ดั้งเดิม แต่ถ้าใครให้ความสำคัญกับ ความสอดคล้องของยุค วัฒนธรรม และเทคโนโลยีในโลกแฟนตาซี ก็มีหลายจุดที่หลุดจากตรรกะจนทำให้หลุดอารมณ์เป็นระยะ ๆ ทั้งที่เนื้อเรื่องเองหนักแน่นและลึกมาก
ระบบเสียง
Tales of Xillia Remastered ยังคงรักษาเสน่ห์แบบ JRPG คลาสสิกไว้อย่างครบถ้วน ด้วยทำนองที่เร้าใจในฉากต่อสู้ และเพลงประกอบที่ไพเราะ สามารถส่งเสริมอารมณ์ของเนื้อเรื่องได้อย่างลึกซึ้ง ส่วนการพากย์เสียงก็ทำได้ดีและเข้าถึงอารมณ์ของตัวละครส่วนใหญ่ ทำให้บทสนทนาและฉากคัตซีนมีชีวิตชีวา อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อติดขัดเล็กน้อย คือการมิกซ์เสียงที่ไม่สม่ำเสมอในบางครั้ง เช่น ระดับเสียงเพลงประกอบอาจดังกลบเสียงบทพูด หรือการพากย์เสียง เมื่อเทียบกับฉากคัตซีนหลัก แต่โดยรวมแล้ว คุณภาพเสียงที่คมชัดของเวอร์ชัน Remaster และดนตรีที่ทรงพลังก็เพียงพอที่จะดึงดูดผู้เล่นให้ดำดิ่งสู่โลกของ Rieze Maxia ได้อย่างไม่ยากเย็น
สรุป
โดยรวมแล้ว Tales of Xillia Remastered คือประสบการณ์ JRPG ที่ยังคงเสน่ห์ของยุคทองไว้ครบ อาทิ เนื้อเรื่องเข้มข้นเหมือนนั่งดูอนิเม ทีมตัวละครมีเสน่ห์ ระบบต่อสู้แบบเรียลไทม์ลื่นไหล และมีลูกเล่นเฉพาะ เช่น Linked Combat ให้ตื่นตาตื่นใจ ระบบ DLC ที่รวมมาแล้ว ทำให้ผู้เล่นสามารถแต่งตัวละครได้อย่างอิสระเพิ่มสีสันให้ทีมมากขึ้น งานภาพสวยตามแบบ J-แฟนตาซี แม้บางแอนิเมชั่นจะดูขัดๆ และมีจุดขัดแย้งด้านดีไซน์ของยุคสมัยจะทำให้ “หลุดอารมณ์ เอ๊ะ” เป็นช่วง ๆ ไปบ้าง แต่ระบบเสียงก็ยังเป็นอีกหนึ่งความดีที่ช่วยดึงอารมณ์ทุกฉากให้เคลิ้ม ตั้งแต่เพลง เมือง บทสนทนา ไปจนถึงฉากดวลที่มีจังหวะเร้าใจ สรุปแล้วนี่คือเกมที่เหมาะทั้งสำหรับมือใหม่ที่อยากลองซีรีส์ Tales และแฟนเก่าที่อยากหวนกลับไปสัมผัสความคลาสสิกอีกครั้ง
จุดเด่น (Pros)
- ระบบการต่อสู้แอ็กชันที่เร้าใจ Linked Combat ที่เน้นความรวดเร็วและกลยุทธ์ผ่านการเชื่อมโยงตัวละคร ทำให้การต่อสู้รู้สึกตื่นเต้นและเหมือนฉากแอ็กชันในอนิเมะ
- ตัวละครหลักและรองมีเสน่ห์ มีปูมหลังที่น่าสนใจ และเนื้อเรื่องมีมิติที่เข้มข้น มีพล็อตคู่ที่น่าติดตาม
- งานภาพ J-Fantasy ที่อลังการ และกราฟิกที่อัปเกรดความละเอียดและสีสัน ทำให้โลกของ Rieze Maxia ดูสวยงามและชวนฝันตามสไตล์ JRPG คลาสสิก
- รวม DLC คอสตูม มีชุดแฟชั่นมากมายรวมอยู่ในเกม ทำให้ผู้เล่นสามารถปรับแต่งตัวละครได้อย่างอิสระและสนุกสนาน
ข้อสังเกต (Cons)
- แอนิเมชันที่ดูแข็งทื่อ โมเดลตัวละครบางส่วน โดยเฉพาะรายละเอียดเช่น เส้นผม ยังคงดูแข็งโป๊ก ซึ่งเผยให้เห็นถึงอายุของเกมต้นฉบับ
- ความขัดแย้งของยุคสมัย: การออกแบบโลกและเทคโนโลยีที่มีความหลากหลายสูงมากเกินไป (เช่น มีปราสาทโบราณปนกับยานอวกาศ/หุ่นยนต์ล้ำสมัย) ทำให้ความกลมกลืนทางวัฒนธรรมและตรรกะของโลกดูขาดหายไปบ้าง
- ชื่อตัวละครที่ดูโมเดิร์นเกินไป เช่น “Maxwell” อาจขัดกับปูมหลังที่เป็นจิตวิญญาณโบราณ
คะแนนรวม
- เกมเพลย์ (Gameplay) 80/100
- งานภาพ (Graphics) 70/100
- งานเสียง (Audio) 80/100
- เนื้อเรื่อง (Story) 90/100









