*ขอขอบคุณ Bandai Namco Entertainment Asia สำหรับโค้ดรีวิวมา ณ โอกาสนี้ครับ
**รีวิวนี้เล่นบน PS5
***ชุด Ultimate ของเกมจะให้ไอเทมช่วยเหลือมากในระดับหนึ่งซึ่งทำให้สามารถเล่นเกมในช่วงต้นได้อย่างสะดวกสบายพอสมควร
ถ้าจะให้กล่าวไปแล้วซีรีส์ Tales of ของ Bandai Namco นี้ก็ถือเป็นหนึ่งในซีรีส์ JRPG ที่อยู่คู่วงการมายาวนานนับตั้งแต่สมัยซูเปอร์แฟมิคอม (SFC/SNES) ในปีค.ศ.1995 ซึ่งนับอายุจนถึงปัจจุบันในภาค Arise ในปีค.ศ.2021 นี่ก็ปาเข้าไป 26 ปีแล้ว ในเวลาที่ผ่านมาซีรีส์นี้ก็ให้กำเนิดเกมทั้งภาคหลักและสปินออฟมามากมาย ซึ่งในวันนี้ผมมาจะบอกความรู้สึกที่มีต่อภาคล่าสุดอย่าง Arise ให้อ่านกันครับ
เนื้อเรื่อง
สำหรับเซ็ตติ้งของเกมในคราวนี้ดำเนินเรื่องบนดาวที่ชื่อว่าดาห์นาที่ผู้คนมีอารยธรรมความเป็นอยู่ในลักษณะของแฟนตาซียุคกลาง ซึ่งบนฟากฟ้าก็มีดาวคู่แฝดอีกดวงหนึ่งที่ชื่อว่าเรนาซึ่งมีอารยธรรมที่ล้ำหน้ากว่ามาก วันหนึ่งเรนาได้นำกองยานรบมาบุกโจมตีดาห์นาอย่างฉับพลัน แล้วด้วยเทคโนโลยีที่สูงล้ำจึงทำให้ผู้คนบนดาห์นาล้วนพ่ายแพ้ยับเยินจนดาวทั้งดวงต้องอยู่ภายใต้การกดขี่ของเรนามายาวนานถึง 300 ปี ก่อนที่ชายหนุ่มลึกลับในหน้ากากเหล็กผู้หนึ่งที่จำอดีตตัวเองไม่ได้ ทั้งยังไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดใด ๆ ได้พบกับหญิงสาวชาวเรนาผู้หลบหนีการตามล่าของเผ่าพันธุ์ตัวเอง หญิงสาวผู้นี้มีคำสาปที่หากใครแตะต้องร่างกายจะได้รับความเจ็บปวดแสนสาหัส และในที่สุดโชคชะตาก็นำพาให้ชายหนุ่มผู้ไม่รับรู้ความเจ็บปวดกับหญิงสาวผู้สร้างความเจ็บปวดให้ทุกคนที่สัมผัสต้องออกเดินทางร่วมกันเพื่อปลดปล่อยดาวดาห์นาจากการโดนกดขี่ 300 ปี
ความรู้สึกในแง่เนื้อเรื่องของผมก็คงกล่าวได้ว่าสนุกกว่าที่คิดเอาไว้ในทีแรก ถึงแม้ว่ารูปแบบการนำเสนอจะออกมาในสไตล์อนิเมแต่เนื้อหาโดยรวมนั้นค่อนข้างจริงจังและเล่าเกี่ยวกับการต่อสู้เพื่อปลดแอกที่มาพร้อมผลลัพธ์ในรูปแบบต่าง ๆ ได้น่าสนใจโดยที่ไม่มีอะไรขาวจัดและดำจัด และที่สำคัญคือแต่ละช่วงของเนื้อหาจะมีการหย่อนปมใหม่พร้อมจุดหักมุมลงมาเสมอ ๆ และการเผยเรื่องราวสำคัญในช่วงท้ายก็เป็นอะไรที่สนุกและชวนติดตาม เพราะเรื่องราวจะขยายขอบเขตเล่นใหญ่ไปถึงขั้นการต่อสู้เพื่อชะตาของทุกสิ่งบนดาวทั้งสองเลยทีเดียว ที่สำคัญคือตอนช่วงเปลี่ยน arc ของเรื่องราวก็มีการใส่กิมมิคอย่างหนึ่งลงมาที่ผมเชื่อว่าคนดูอนิเมบ่อย ๆ น่าจะคุ้นเคยและยิ้มออกมาแน่นอน
แต่จุดที่เป็นเสน่ห์แบบที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือบรรดาตัวละครหลักทั้ง 6 คนที่เราจะได้เล่นไปทั้งเกมนี่ล่ะครับ ตัวละครทุกคนมีบุคลิกลักษณะนิสัยที่ชัดเจนและบทสนทนาระหว่างกันก็ทำออกมาได้ดีมากไม่ว่าจะบทสนทนาที่จริงจังหรือตลกโปกฮา ไม่มีตัวละครไหนที่ล้นไปหรือขาดไปที่มักจะรู้สึกได้จากเกมสไตล์อนิเมทั่ว ๆ ไป ซึ่งด้วยบรรดา skit (บทสนทนา) ที่มีมากมายตลอดทั้งเกมก็จะทำให้คุณรับรู้ได้ถึงเสน่ห์ของบรรดาตัวละครทุกตัวได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเล่นมินิเกมตกปลา ทำอาหาร ไปสถานที่ใหม่ เจอนกฮูก เก็บวัตถุโบราณ ฯลฯ ตัวละครในปาร์ตี้ของคุณจะมีเรื่องคุยกันได้ทุกที่ทุกเวลาแน่นอน
เกมเพลย์
ระบบต่อสู้ในแบบแอ็คชันพร้อมด้วยการเซ็ตท่าไม้ตายไว้ใช้งานถือเป็นเอกลักษณ์ของซีรีส์ Tales มาตั้งแต่ภาค Phantasia เลยก็ว่าได้ และใน Arise ก็ยังคงระบบหลักเป็นเกมแอ็คชันที่สามารถเซ็ตท่าไว้ใช้งานได้แบบบนพื้นดินสามท่า และกลางอากาศสามท่า (และคุณจะตั้งท่าเซ็ตใหม่ได้ในภายหลัง ทำให้มีทั้งหมด 12 ท่าที่จะใช้งานได้) จากจำนวนท่าทั้งหมดที่ติดตั้งได้จึงทำให้การต่อสู้นั้นหลากหลายและปรับได้ตามสไตล์และความต้องการของผู้เล่น เรียกได้ว่าใครที่เข้าใจระบบเกมถ่องแท้ก็แทบจะเล่นได้เหมือนเกมแอ็คชันความเร็วสูงเกมอื่น ๆ เลย
นอกจากบุคลิกลักษณะของแต่ละตัวละครที่โดดเด่นและมีความแตกต่างกันชัดเจนแล้ว สิ่งเหล่านั้นก็แสดงให้เห็นผ่านเกมเพลย์ด้วยเช่นกัน เพราะนอกจากระบบต่อสู้หลักที่ทุกคนจะเหมือนกันคือมีท่าโจมตีปกติกับท่าไม้ตาย (arte) ที่สามารถติดตั้งได้สูงสุด 12 ท่านั้น แต่ละคนยังมาพร้อมความสามารถพิเศษเฉพาะตัวที่เรียกว่า perk และยังมี boost strike ที่เป็นท่าโจมตีเฉพาะที่มีประโยชน์ใช้สอยตามสถานการณ์ต่างกัน ไม่มีตัวละครไหนที่ไร้ประโยชน์เลย ยิ่งคุณเล่นไปมากเท่าไหร่จะยิ่งเจอสถานการณ์ที่ต้องใช้ความสามารถของแต่ละคนให้ถูกจังหวะเพื่อชิงความได้เปรียบตลอดเวลา ซึ่งไม่เพียงเท่านั้นเพราะตัวละครแต่ละคนก็จะมีปฏิสัมพันธ์กับในฉากบางจุดได้ต่างกัน ทำให้หลายครั้งที่เมื่อคุณย้อนกลับมาในฉากเก่า ๆ คุณก็จะใช้ความสามารถของตัวละครเพื่อเปิดทางใหม่ได้
ถ้าจะให้ยกตัวอย่างก็เช่น อัลเฟนที่เป็นตัวเอกหลักของเกมจะมี perk ดาบเพลิงซึ่งเป็นท่าโจมตีอันรุนแรงแต่ก็แลกกับพลังชีวิตที่ลดลงทุกครั้งเมื่อใช้งาน ส่วน boost attack ของอัลเฟนก็จะเป็นท่าโจมตีที่เมื่อศัตรูโดนแล้วจะทำให้มันชะงักทันทีสามารถใช้เพื่อขัดจังหวะการออกท่าได้ หรือหากเป็นลอว์ก็จะมี perk ที่เมื่อโจมตีติดต่อกันโดยไม่โดนโจมตีแล้วก็จะยิ่งทำให้การโจมตีหนักหน่วงและรวดเร็วขึ้น พร้อม boost attack ซึ่งจะเป็นการทำลายการ์ดของศัตรูทุกชนิดที่ถือโล่หรือมีเกราะแข็งและเปิดช่องให้ทุกคนรุมจู่โจมได้ เป็นต้น ซึ่งทำให้ทุกคนมีบทบาทในการต่อสู้ที่ชัดเจน และถ้าคุณใช้งานความสามารถทุกคนได้ถูกสถานการณ์ก็จะทำให้แต่ละการต่อสู้นั้นจบลงได้อย่างรวดเร็ว
โดยหลักของการต่อสู้ในเกมนี้จะมีความรวดเร็วเป็นอย่างมาก ยิ่งในตอนที่คุณปลดสกิลใหม่ ๆ ออกมาได้ ทุกอย่างจะอีรุงตุงนังเอฟเฟคต์กระจายท่วมจอชนิดที่ว่าถ้าไม่ตั้งสติให้ดีก็อาจมีตาลายกันไปข้างนึง แต่ความโฉบเฉี่ยวแบบนี้ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ตัวเกมยิ่งสนุกขึ้น โดยเฉพาะบรรดา boost strike ที่ใช้เป็นท่าปิดฉากศัตรูที่ทำออกมาได้เท่บาดใจและให้ความรู้สึกรุนแรงมากเลยทีเดียว
องค์ประกอบหนึ่งของเกมที่หลากหลายใช้ได้ก็คือระบบแต่งตัวละครนี่แหละครับ ชุดที่มีให้เลือกใช้ในเกมทั้งจากการทำเควสต์หรือเล่นมินิเกมนั้นถือว่าเยอะใช้ได้ และของประดับตัวละครก็ให้เลือกใช้เยอะในระดับหนึ่ง หากคุณเล่นไปแล้วเริ่มเบื่อลุคตัวละครก็ลองมาปรับโฉมใหม่ให้เท่ไปเลย หรือจะให้ขำไปเลยก็สุดแท้แต่
องค์ประกอบอื่น ๆ นอกเหนือไปจากระบบต่อสู้หลักก็ทำออกมาได้เพลิดเพลินและควรค่าแก่การเสาะแสวงหาครับ เกมนี้เป็นเกมที่ให้รางวัลกับการออกนอกลู่นอกทางเพื่อสำรวจเส้นทางมาก เพราะนอกจากที่คุณจะได้รับเครื่องป้องกันดี ๆ แล้วในหลายครั้งการสำรวจก็มักจะให้สูตรอาหารใหม่แก่คุณ หรืออาจเป็นเบ็ดตกปลาใหม่ เป็นวัตถุโบราณใหม่ หรือกระทั่งพาคุณไปเจอศัตรูระดับบอสที่เมื่อชนะก็จะทำให้ค่า CP สำหรับฟื้นฟูพลังชีวิตเพิ่มขึ้นหรือกระทั่งวัตถุดิบเพื่อคราฟท์อาวุธใหม่ ๆ ก็ด้วย
พูดได้ว่าทุกกิจกรรมเสริมล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ในการเล่นทั้งนั้น เช่นการหาวัตถุโบราณที่จะทำให้คุณได้ EXP เพิ่มถาวรในการต่อสู้ หรือแม้แต่เพิ่ม SP ในการต่อสู้ถาวร เป็นต้น
ที่สำคัญกว่านั้นคือบรรดากิจกรรมเสริมทั้งหลายในเกม ไม่ว่าจะเป็นการแสวงหาวัตถุโบราณ การตามล่านกฮูก การทำฟาร์ม การฟื้นฟูพลังชีวิตให้คนที่ลำบาก การตามหานกฮูก ก็ตามที ทุกอย่างที่ว่ามาหากคุณตั้งอกตั้งใจเล่นมันแล้ว ก็จะทำให้คุณได้ฉายาใหม่ ๆ ของแต่ละตัวละคร ซึ่งเมื่อปลดฉายาใดได้ก็จะเป็นการปลดสกิลเซ็ตใหม่ไว้เพิ่มความสามารถในการต่อสู้ของตัวละครยิ่งขึ้นไปอีก เกมนี้ถูกออกแบบมาโดยที่ไม่มีระบบไหนไร้ประโยชน์แต่ช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกันได้ดีมาก
และสำหรับคนที่เป็นแฟน ๆ ซีรีส์ Tales มายาวนาน หรืออาจจะเคยเล่นเคยเห็นผ่านหูผ่านตามาบางภาค อยากจะบอกว่าในภาค Arise นี้จะมีเซอร์ไพรส์บางอย่างรอคุณอยู่ที่ผมเชื่อว่าเมื่อคุณเล่นพบคุณจะต้องยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวแน่นอนครับ
กราฟิก
ถึงแม้ว่าสไตล์งานภาพของ Tales จะเป็นแนวอนิเมมาแต่ไหนแต่ไร แต่สำหรับภาคนี้ต้องถือว่าผสมผสานสไตล์งานภาพแบบอนิเมกับความสมจริงออกมาได้แบบกำลังดีครับ สีหน้าตัวละครนั้นสามารถเห็นได้ชัดเจนว่าในตอนนั้นกำลังมีอารมณ์แบบไหนโดยที่ไม่ต้องอาศัยลูกเล่นแบบโอเวอร์รีแอคติ้งเพื่อสื่ออารมณ์ และในส่วนงานออกแบบสถานที่และสถาปัตยกรรมของแต่ละสถานที่ก็มีเอกลักษณ์ชัดเจนสอดคล้องกับธาตุประจำประเทศนั้น ๆ ทุกอย่างแสดงออกมาในลักษณะที่กลมกล่อม ไม่อนิเมจ๋าเกินไป แต่ก็ไม่สมจริงจนรู้สึกขัดกันรุนแรง
เพลงประกอบและเสียงพากย์
เพลงประกอบถือเป็นอีกหนึ่งตัวชูโรงของเกมนี้เลย โดยเฉพาะบทเพลงประกอบตอนต่อสู้ที่ทำออกมาได้ดุเดือดสมกับความรวดเร็วฉับไวและรุนแรงที่ปรากฏบนจอ แต่พอจังหวะที่ต้องซึ้งก็หย่อนเพลงช้ากินใจลงมาได้จังหวะจะโคนพอดี และในส่วนของเสียงพากย์ (อังกฤษ) ก็ทำออกมาได้ดีมาก น้ำเสียงของทุกตัวละครก็สมกับบุคลิกลักษณะที่แสดงออกมาทุกคน (ซึ่งจุดนี้ก็ต้องให้เครดิตแก่คนเขียนบทสนทนาด้วยเช่นกัน)
อีกประการหนึ่งก็คือเรื่องเซอร์ไพรส์ที่ผมกล่าวถึงไปช่วงก่อนหน้านี้นี่ล่ะครับ ที่จะมาในรูปแบบของเพลงประกอบด้วยเช่นกัน
สรุป
Tales of Arise เป็นเกม JRPG น้ำดีอีกเกมหนึ่งที่แฟน ๆ ซีรีส์ไม่ควรพลาด และถ้าคุณไม่เคยเล่นซีรีส์นี้มาก่อนแต่กำลังอยากได้ JRPG ดี ๆ ไปเล่นก็อยากให้ลองพิจารณาเกมนี้ครับ แม้จะมีบางอย่างที่ขาดหายไปจากภาคเก่า ๆ บ้างอย่างการออกสำรวจในเวิลด์แมปหรือมีพาหนะไว้เดินทางเพื่อค้นหาสถานที่ลับต่าง ๆ เพราะในภาคนี้ใช้ระบบฟาสต์ทราเวลแทน และ skit ที่มีเยอะจัดจนบางทีก็แอบขัดจังหวะเล่นบ้าง แต่ในภาพรวม Tales of Arise คือเกมที่ระบบต่อสู้สนุก เนื้อเรื่องชวนติดตามที่องค์ประกอบด้านอื่น ๆ ไม่มีจุดไหนที่เป็นส่วนเกินครับ แม้จะเล่นจบในรอบแรกด้วยเวลา 50+ ชม. แต่หลังจบก็ยังมีอะไรให้คุณตามหาอีกมากมายแน่นอน