*ขอขอบคุณโค้ดรีวิวจาก Sony Computer Entertainment Singapore มา ณ โอกาสนี้ครับ
ก่อนอื่น ต้องขอออกตัวเลยว่าส่วนตัวผมเองเล่นเกมนี้สมัยบน PS4 “ไม่จบ” เพราะเลิกไปกลางคันในช่วงต้นเกมด้วยความที่รู้สึกว่าเป็นการเล่นเกมที่ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังทำงานมากกว่า ส่วนรีวิวในคราวก่อนนั้นผู้เล่นและผู้รีวิวจะเป็นคุณ “ปอลนาโช่” ดังนั้นการรีวิวของผมในครั้งนี้มันคือการเล่นแบบตั้งต้นใหม่จากศูนย์เลยก็ไม่ผิดนัก แล้วมุมมองของผมที่มีต่อเกมฉบับนี้จะเป็นอย่างไร…ขอเชิญมาอ่านกันได้เลยครับ
เนื้อเรื่อง
เกมเดธ สแตรนดิ้ง (Death Stranding) นี้จะกล่าวถึงโลกของเราในปัจจุบันที่บังเกิดเหตุการณ์ประหลาดหนึ่งเรียกว่า Death Stranding ตามชื่อเกม เจ้าเหตุการณ์ที่ว่านั้นก็คือการที่จู่ ๆ ได้เกิดเหตุการณ์ระเบิดอย่างรุนแรงไปทั่วโลกโดยไม่มีผู้ใดทราบสาเหตุ ในเบื้องต้นรัฐบาลต่างก็คิดกันว่าเป็นฝีมือของผู้ก่อการร้าย แต่แท้จริงแล้วเหตุระเบิดดังกล่าวเกิดจากการที่วิญญาณผู้ตายที่เรียกกันว่า BT (Beached Thing) ได้หวนคืนกลับมาร่อนเร่ในโลกคนเป็นแทนที่จะเดินทางต่อไปยังโลกหลังความตายตามที่ควรจะเป็น และเมื่อใดก็ตามที่ BT ได้กลืนกินมนุษย์เป็น ๆ เข้าไปร่างกายมนุษย์ที่เป็นสสาร (matter) จะไปสัมผัสกับปฏิสสาร (anti-matter) ในตัว BT ก่อให้เกิดเป็นพลังงานขนาดรุนแรงที่สามารถระเบิดสิ่งต่าง ๆ รอบข้างได้เป็นวงกว้างที่เรียกกันว่า voidout นั่นเอง
และแน่นอนว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงความเสียหายที่ประสบก่อให้เกิดการล่มสลายของสังคมมนุษย์แทบจะในทันที ผู้คนบางส่วนเลือกที่จะไปใช้ชีวิตห่างไกลสังคมเมือง ส่วนผู้ที่เหลือรอดก็ใช้ชีวิตกันอย่างหวาดวิตกว่าใครจะตายลงแล้วแปรสภาพกลายเป็นวิญญาณ BT ที่จะเล่นงานคนเป็นแล้วเสี่ยงต่อ voidout เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบได้ และในอเมริกาเองเศษซากของสิ่งที่เคยเป็นรัฐอันยิ่งใหญ่ก็ได้พยายามฟื้นฟูชาติตนเองกลับมาอีกครั้ง โดยได้มีการไหว้วานแซม บริดเจส (Sam Bridges) ตัวเอกของเกมที่คอยทำหน้าที่คนส่งของให้เดินทางจากชายฝั่งตะวันออกของอเมริกาไปยังสุดเขตแดนชายฝั่งตะวันตก เพื่อทำการเชื่อมต่อไครัลเน็ทเวิร์ค (Chiral Network) เข้าด้วยกันและสมานอเมริกาที่แตกแยกกระจัดกระจายให้เป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง ด้วยเหตุนี้การเดินทางผจญอุปสรรคนานัปการของชายที่ชื่อแซมก็ได้เริ่มต้นขึ้น
ในส่วนของเนื้อหาเกมนั้น ผมเองก็ยังพอจำได้คร่าว ๆ จากการเล่นในสมัย PS4 จึงพอช่วยให้ทำความเข้าใจที่มาที่ไปของหลายสิ่งในเกมได้ง่ายขึ้น และคราวนี้เมื่อผมได้ร่วมทางไปกับแซมตั้งแต่ต้นจนจบ เดินทางฝ่าสภาพอากาศอันเลวร้าย เหยียบย่ำไปตามพื้นดินที่ขรุขระชนิดที่หากก้าวพลาดนิดหนึ่งก็อาจทำให้ล้มคว่ำคะมำหงาย ไหนจะบรรดา BT ที่คอยไล่ล่าหาคนเป็น และยังมีเหล่าคนธรรมดาผู้ประสงค์ร้ายที่คอยขัดขวางตลอดทาง จนการเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดที่เครดิตขึ้นนั้น ผมกลับพบว่าการเดินทางครั้งนี้มันมีคุณค่ามีความหมายและลึกซึ้งกว่าที่เคยคิดรวมถึงแอบปรามาสในทีแรกเอาไว้มาก
สิ่งหนึ่งที่ผมทึ่งและต้องยอมรับในหัวคิดของฮิเดโอะ โคจิม่า (Hideo Kojima) ผู้ให้กำเนิดเกมนี้เลยจริง ๆ ก็คงไม่พ้นการที่เขาเป็นคนที่ช่างคิด ช่างอ่าน และสามารถร้อยเรียงผูกโยงหลักการรวมถึงทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์อันมากมายหลากหลายมาขมวดเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ แม้ว่าการมองในปราดแรกนั้นหน้าเกมของเดธ สแตรนดิ้งคือเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติเป็นสิ่งที่ดูมุมไหนตะแคงมองยังไงก็ไม่อาจอธิบายได้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ แต่ว่าด้วยฝีมือการผูกโยงของเขานี่เองที่ทำให้เรื่องวิญญาณ โลกหลังความตาย ทฤษฎีบิ๊กแบงกำเนิดจักรวาล การย้อนเวลาและการรับรู้เวลา การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ 5 ครั้งในอดีต ฯลฯ หลายสิ่งที่ดูไม่น่าจะเกี่ยวพันกันได้ แต่เกมนี้กลับนำมาโยงกันได้อย่างแนบเนียนและบันเทิงอย่างมาก
แต่ไม่เพียงแค่การร้อยเรียงทฤษฎีที่ผมกล่าวถึงข้างต้นแล้วนำมาปรุงเป็นเรื่องราวให้ได้เล่นกันแบบสนุกสนานเท่านั้น แต่ด้วยแก่นใหญ่ใจความหรือสารที่เกมต้องการจะสื่อให้กับผู้เล่นก็ลึกซึ้งในตัวเองไม่แพ้กัน หากใครคุ้นเคยกับผลงานที่ผ่านมาในอดีตของโคจิม่าอย่างเมทัล เกียร์ โซลิด (Metal Gear Solid) ก็คงจะทราบกันดีว่าจะมีแฝงแนวคิดต่อต้านสงครามหรือต่อต้านความรุนแรงเสมอ ๆ และมาในรูปแบบของอาวุธต่าง ๆ ที่เป็นบรรดาอาวุธซึ่งไม่ทำให้ถึงตายทั้งหลาย ซึ่งก็แน่นอนว่าแนวคิดที่ว่าได้รับการเน้นย้ำให้หนักขึ้นไปอีกในเดธ สแตรนดิ้งนี้ที่ปรากฏออกมาในทั้งรูปแบบของเกมเพลย์และเนื้อเรื่องที่ต้องการสื่อ การเน้นผูกความสัมพันธ์ผู้คนแทนการผลักไสและโดดเดี่ยวตนเอง ทั้งหมดทั้งมวลนั้น ทำให้ผมขอกล่าวตรงนี้ว่าทำออกมาได้ยอดเยี่ยมและประทับใจจนอาจทำให้ตัวผู้เล่นเองได้คิดทบทวนอะไรหลาย ๆ อย่างในชีวิตของตนเองหลังจากเห็นเครดิตปรากฏขึ้นมาบนจอแล้ว
หากจะมีอะไรที่อาจทำให้เกมไม่เหมาะกับบางคนก็คงเป็นเพราะเกมนี้ต้องอาศัยความสามารถทางภาษาในระดับที่สูงถึงสูงมากจึงจะเข้าใจอะไรหลาย ๆ อย่างในเกมได้ แถมยังต้องไปคอยอ่านเอกสารอ่านข้อมูลต่าง ๆ ในเกมประกอบที่มีปริมาณท่วมท้นจนหลายคนอาจจะท้อใจก็ไม่แปลก เพราะเกมนี้เป็นเกมที่หากคุณไม่เข้าใจเนื้อหาแล้วความสนุกอาจหายไปครึ่ง ๆ เลยก็ว่าได้
เกมเพลย์
ในแง่ของเกมเพลย์นั้น ถือว่าเดธ สแตรนดิ้งน่าจะเป็นเกมแรกและเกมเดียวในตอนนี้ที่ทำออกมาในแบบที่เป็นเลยก็คงไม่ผิดนัก กับเกมเพลย์ที่แกนหลักของเกมไม่เน้นการต่อสู้ (คือมีมั้ย ก็มีบังคับสู้แหละแต่ไม่ใช่พอยต์สำคัญของเกม) แต่ไปเน้นที่การเตรียมตัว เตรียมความพร้อม รวมถึงศึกษาเส้นทางและอะไรต่อมิอะไรที่จะทำให้การเดินทางไปส่งของจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งของคุณเป็นไปอย่างราบรื่น หรืออย่างน้อยก็ไม่ลำบากจนเกินไปนัก
หากจะให้พูดไปแล้วศัตรูหลัก ๆ ในเกมนี้ของคุณคือสภาพภูมิประเทศรวมถึงสภาพภูมิอากาศกว่า 80% เลยก็ว่าได้ อุปสรรคขัดขวางความสำเร็จของคุณมันอาจจะเป็นหินหนึ่งก้อนที่ทำให้คุณสะดุดหัวทิ่ม มันอาจจะเป็นเนินชันที่คุณเดินลงมาแล้วโดนแรงโน้มถ่วงกระชากให้กลิ้งหลุน ๆ ลงมากองกับพื้น หรือเป็นแม่น้ำที่คุณคิดว่าเดินผ่านไหวแต่ดันเจอร่องลึกที่เมื่อก้าวไปแล้วคุณกลับจมฉับพลัน ฯลฯ ทั้งหลายทั้งปวงนี้คืออุปสรรคที่โดนใส่ลงมาในเกมอย่างละเอียดถี่ถ้วน ชนิดที่ว่าหากเป็นเกมโอเพนเวิลด์อื่น ๆ ตัวเอกจะสามารถวิ่งสับขาฉับ ๆ ด้วยความเร็วสี่คูณร้อยได้โดยความเร็วไม่ตก ไม่เหนื่อย แถมไม่ว่าพื้นจะขรุขระแค่ไหนก็ลงพื้นม้วนหน้าลังกาหลังได้อย่างเท่ ๆ ทุกครั้งไป…แต่ไม่ใช่กับเกมนี้ เพราะหากแซมก้าวผิดเพียงนิดสะกิดอะไรหน่อยก็อาจหัวร้างข้างแตกได้ง่าย ๆ ซึ่งพอลองมาคิดดูแล้ว…หากให้ผมลองไปแบกของหนักสี่สิบห้าสิบกิโล (หรือกว่านั้น) ขึ้นหลังแล้วลองเดินกับพื้นเรียบ ๆ ดูก็ยังอาจจะเซหัวปักพื้นโดยไม่มีอะไรสะกิดเสียด้วยซ้ำไป แต่ที่จะปวดใจกว่านั้นก็คือทุกครั้งที่แซมล้ม นั่นแปลว่าพัสดุที่คุณต้องไปส่งยังจุดหมายอาจมีการแตกหักเสียหายไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ซึ่งนอกจากศัตรูจากสภาพแวดล้อมแล้ว ศัตรูที่เป็นคนหรือ BT ก็พร้อมที่จะเล่นงานคุณให้ช้ำใจอยู่เนือง ๆ ไม่แพ้กัน
โดยเนื้อแท้ของเกมนี้ เรียกได้ว่าผู้เล่นต้องมีทักษะด้าน micro management หรือการบริหารจัดการสิ่งต่าง ๆ แบบยิบย่อยสูงมาก (ก.ไก่อีกล้านตัว) เพราะเมื่อใดก็ตามที่คุณรับงานจะไปส่งพัสดุที่ไหนแล้ว อย่างแรกเลยที่คุณต้องทำคือตรวจสอบสภาพพื้นที่เบื้องต้นว่าคุณจะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง และควรวางแผนเส้นทางการเดินทางล่วงหน้าเนิ่น ๆ เพื่อที่จะได้ไม่ไปเจอสิ่งที่คาดไม่ถึงระหว่างทาง ที่สำคัญคือการเตรียมข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นให้พร้อมเสมอเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกต่าง ๆ นอกจากนั้นคุณยังต้องพิจารณาอะไรต่อมิอะไรอีกเยอะแยะมากมาย น้ำหนักของพัสดุที่จะต้องส่งล่ะเท่าไหร่? หนักเกินไปไหมควรใช้งานฐานลอยเพื่อแบ่งเบาภาระรึเปล่า? หากจะเดินไปด้วยเท้า ควรติดรองเท้าสำรองไปเปลี่ยนไหม? เพราะหากรองเท้าพังขึ้นมาระหว่างทางเมื่อไหร่การเดินเท้าเปล่าบนพื้นอันเต็มไปด้วยกรวดหินคือหายนะแน่นอน หรือควรจะใช้พาหนะอำนวยความสะดวกล่ะ? แต่ว่าด้วยระยะทางที่ห่างกันแต่ละจุดนั้นแบตเตอรี่รถคุณจะไปดับกลางทางหรือไม่ ฯลฯ
ประเด็นเรื่อง micro management ที่ผมกล่าวถึงนี่เป็นจุดที่ผมประทับใจเพราะในบางครั้งขนาดว่าเราคิดว่าเราเตรียมตัวดี แต่บางทีมันก็จะมีอะไรคาดไม่ถึงเสมอนี่ล่ะครับ ครั้งหนึ่งผมรับงานต้องเอาปลาสดไปส่งอีกเมืองนึงจากสุดขอบแผนที่ไปอีกสุดขอบแผนที่ ผมติดพัสดุกับมอเตอร์ไซค์เรียบร้อยแล้วทะยานออกตัวไปตามถนน ก่อนที่เกมจะแจ้งให้ผมทราบว่าพวกของสดเนี่ยได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศภายนอกได้ง่ายมาก ดังนั้นถ้าคุณไม่ได้อยู่ในพื้นที่ที่เป็นหิมะหรือบรรจุในสภาพแวดล้อมแบบปิดก็มีโอกาสที่พัสดุจะเสียหาย นั่นทำให้ผมต้องตีรถกลับไปเปลี่ยนจากมอเตอร์ไซค์เป็นรถบรรทุกแทน
พูดง่าย ๆ คือเกมนี้มีแง่มุมปลีกย่อยมากมายที่คุณจะต้องเอาใจใส่กับมันอย่างละเอียด เสมือนว่าคุณกำลังทำงานเลี้ยงชีวิตจริง ๆ จัง ๆ ก็ไม่ปาน และยิ่งคุณส่งของได้เร็ว ได้มาก พัสดุไม่แตกหักเสียหายเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งได้ไลค์จากผู้รับปลายทางมากเท่านั้น และสิ่งตอบแทนที่ได้มาก็มักจะเป็นอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่จะช่วยให้งานต่อ ๆ ไปของคุณสบายมากยิ่งขึ้นนั่นเอง เพราะก็ยอมรับกันเถอะในชีวิตการทำงานจริง ๆ คุณจะทำงานส่งเดชแบบขอไปทีแล้วหวังให้มีใครต่อใครมาเยินยอรอให้ประโยชน์ตอบแทนต่าง ๆ มันก็คงแทบจะเป็นไปไม่ได้นั่นแหละ
ระบบเด่นของเกมนี้ระบบหนึ่งก็คงไม่พ้นโหมดออนไลน์นั่นเอง ซึ่งเกมนี้จะไม่มีโหมดออนไลน์ชนิดที่สู้กัน แต่เป็นการช่วยเหลือกัน แต่การช่วยเหลือกันที่ว่าก็จะไม่ใช่ในลักษณะของเกมโคออปร่วมเล่นด้วยกันทั่ว ๆ ไป หากแต่ว่าในการเล่นของคุณนั้น คุณจะได้พบเห็นสิ่งปลูกสร้างอำนวยความสะดวกต่าง ๆ จากผู้เล่นอื่น ๆ ตามทางเสมอ ๆ คุณจะได้เห็นร่องรอยการเดินทางของผู้ที่เดินบนเส้นทางนี้มาก่อนคุณ ความยากลำบากที่คุณพบเจอก็มีคนอื่นพบเจอมาแล้วก่อนคุณ ด้วยเหตุนี้ในหลายจุดที่คุณมองว่าเป็นปัญหา ก็อาจได้เจอผู้เล่นอื่นสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อบรรเทาปัญหาในจุดนั้น ๆ แล้วก็เป็นได้ ในทางกลับกันหากเส้นทางที่คุณมุ่งหน้าไปเป็นเส้นทางที่ยังไม่มีใครไปมาก่อน คุณสามารถสร้างสิ่งของอำนวยความสะดวกให้ผู้อื่นที่จะตามมาภายหลังได้เช่นเดียวกัน เมื่อคุณได้รับคุณก็จะเป็นผู้ให้ เป็นโหมดออนไลน์ที่ผู้เล่นต่างต้องเกื้อกูลกันไปไม่สิ้นสุดนั่นเอง ดังนั้นแม้คุณจะรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้าง แต่สุดท้ายแล้วคุณจะรู้ว่าคุณไม่ได้กำลังเผชิญมันโดยลำพังแน่นอน
ธีมหลักของเกมที่จะปรากฏให้สัมผัสได้ก็คือความยากลำบากในการเดินทางของแซม รวมถึงความอ้างว้างจากบรรยากาศของเกมนี่ล่ะครับ หลายครั้งที่ผู้เล่นต้องขึ้นเขาลงห้วย ปีนเนินนั่น ไถลลงเนินนี่ ลุยฝ่าแม่น้ำ วิ่งหนี BT หาที่หลบจากฝน Timefall ที่จะทำให้พัสดุเสียหาย และสารพัดสารพันปัญหาที่พบเจอระหว่างทาง แม้แต่ผมเองที่ไม่ได้ลงไปเดินลำบากลำบนในเกมแบบแซมแต่หลายครั้งก็อดคิดไม่ได้จริง ๆ ว่าทำไมต้องมาทำอะไรลำบากลำบนขนาดนี้ด้วยนะชีวิต แต่เมื่อเราอดทนกัดฟันฮึดสู้แล้วเดินต่อจนถึงจุดหมายปลายทางที่ต้องไปแล้ว ความรู้สึกโล่งใจจนต้องถอนหายใจออกมาพร้อมความกังวลที่ค่อย ๆ หายไปพร้อมกับความรู้สึกว่าทำอะไรบางอย่างสำเร็จเข้ามาแทนที่ มันก็ชวนให้รู้สึกดีได้ไม่น้อยครับ
แต่เอาล่ะ ก็อย่างที่ผมบอกไปว่าเกมนี้บางทีมันให้ความรู้สึกเหมือนเรากำลังทำงานมากกว่าเล่นเกม ซึ่งผมเชื่อว่านั่นก็เป็นประเด็นหนึ่ง (และอาจเป็นประเด็นหลัก) ที่ทำให้หลาย ๆ คนล้มเลิกหยุดเล่นไปกลางคันด้วย พอมางวดนี้กับเวอร์ชัน Director’s Cut จึงได้มีการใส่อะไรเพิ่มเติมลงมาให้มีความเป็น “เกม” มากขึ้น ในแบบที่หลาย ๆ คนอาจจะคุ้นเคยเป็นอย่างดี ที่เห็นได้ชัดเลยก็คือ Firing Range หรือสนามซ้อมยิงปืนที่จะให้ผู้เล่นได้ทดลองฝึกใช้งานสรรพาวุธต่าง ๆ ในเกมในลักษณะที่แทบไม่ต่างอะไรจาก VR Mission ของเมทัล เกียร์ โซลิด ที่สำคัญคือคุณยังสามารถแข่งทำคะแนนร่วมกับผู้เล่นอื่น ๆ ได้เพื่อรับรางวัลเป็นทรัพยากรปริมาณมากมายมหาศาลชนิดที่ว่าได้มาก็ไม่รู้จะเอาไปใช้อะไรหมด (ใครได้อันดับที่อยู่ในสัดส่วน 0-1% ของโลกนี่ได้เหล็กไปใช้ราว ๆ 3-4 หมื่นชิ้น ต่อให้ไปถมทำถนนจนหมดก็น่าจะยังเหลือ) หรือจะไปเล่นแข่งความเร็วในสนามแข่ง ณ Timefall Farm ก็ยังได้ ยังไม่รวมถึงบรรดาอุปกรณ์ใหม่ ๆ ที่เพิ่มเข้ามาให้ใช้งานในเวอร์ชันนี้ และยังมีคอนเทนต์พิเศษจากเวอร์ชัน PC เป็นบรรดาอุปกรณ์ต่าง ๆ ในธีมของ Half-life มาให้ได้ใช้งานกัน หรือจะเป็นของจากความร่วมมือกับ Cyberpunk 2077 ก็มีเช่นกัน
พูดง่าย ๆ คือหากคุณยังไม่เคยเล่นเกมนี้มาก่อนเลย ฉบับ Director’s Cut นี้ก็เป็นฉบับที่ให้อะไร ๆ มาครบสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่ทีมงานทำออกมาในตอนนี้แล้วล่ะครับ โดยรวมแล้วในแง่ของ performance สำหรับเกมเวอร์ชัน PS5 นี้ลื่นไหลแทบไม่มีอะไรกวนใจ แม้ว่าผมจะเจอปัญหาเล็กน้อยครั้งสองครั้ง นั่นคือตอนเข้าแคมป์ของพวก MULE แล้วมันมีวัตถุในฉากเยอะเกินไปหรืออะไรก็ไม่ทราบได้ แต่ตอนนั้นมีเฟรมตกชัดเจน (ครั้งเดียว) และมีครั้งสองครั้งที่เล่น ๆ อยู่แล้วเกมเด้งออกมาหน้าจอเมนู แต่นอกจากที่ว่ามาก็ไม่เจอปัญหาอะไรหนัก ๆ ครับ
กราฟิก
สำหรับในเวอร์ชัน PS5 นี้ ผมรู้สึกว่าดูไม่ค่อยต่างจากฉบับ PS4 ที่เคยเล่นเท่าไหร่ แต่ส่วนหนึ่งอาจเพราะผมเลือกเน้นเฟรมเรตเพื่อความลื่นไหลเป็นหลัก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นด้วยตัวเกมดั้งเดิมเองมันก็ให้ภาพที่สวยงามมาก ๆ อยู่แล้วด้วยล่ะครับ ภูมิประเทศต่าง ๆ ที่นำเสนอออกมาทั้งสวยงามและเงียบเหงาอ้างว้าง สอดคล้องกับธีมของเกมที่ผู้คนต่างกระจัดกระจายต่างคนต่างอยู่รอให้แซมไปรวบรวมผู้คนเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง
สิ่งที่ผมคิดว่าตัวเกมทำออกมาได้ดีก็คงไม่พ้นพวกพื้นผิววัตถุต่าง ๆ ที่พอเป็นหินมันก็ให้ความรู้สึกว่ามันเป็นหินจริง ๆ ที่พอเวลาฝนตก Timefall สาดใส่มันก็จะแสดงพื้นผิวเหมือนก้อนหินที่เปียกแฉะ การขับรถก็จะเห็นเม็ดฝนที่ตกกระทบบนตัวรถชัดเจน และที่สำคัญคือการเสื่อมสลายของวัตถุต่าง ๆ ที่เกิดความเปลี่ยนแปลงทีละเล็กละน้อยค่อย ๆ ไปให้เราเห็น จากรถที่ตัวถังเป็นโลหะมันวาวชัดเจนจะเริ่มเห็นร่องรอยสนิมที่กัดกินตามขอบประตู ขอบหน้าต่าง จากนั้นพื้นผิวที่เป็นสนิมก็จะยิ่งมากขึ้น มากขึ้น ให้เรารู้ว่าถ้าไม่รีบนำรถไปเข้าโรงซ่อมล่ะได้เจอปัญหาแน่นอน
อีกจุดหนึ่งที่ต้องชมก็คงเป็นสีหน้าท่าทางของตัวละครในเกมนี่ล่ะครับ สารภาพว่าแรกสุดเลยผมก็คิดว่าการนำเอาดารามีชื่อเสียงมารับบทตัวละครหลักแต่ละคนนี่ออกจะเป็นเรื่องสิ้นเปลือง แต่ว่าพอเห็นการแสดงอารมณ์ของหลาย ๆ คนผ่านตัวละครในเกมก็พอทำให้เข้าใจว่าการแสดงของหลายคนที่คัดมานี่ล้วนทรงพลังและเหมาะกับเกมอย่างมากแล้วล่ะครับ
เสียงพากย์และเพลงประกอบ
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหัวข้อนี้เป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักที่เสริมความเด่นให้กับเกมมากขึ้น ช่วยให้แต่ละฉากแต่ละซีนนั้นมีค่าและมีความหมายยิ่งขึ้น เพราะในบรรดาตัวละครหลักเกือบทั้งหมดต่างก็ได้ตัวนักแสดงจริง ๆ มาให้เสียงกันด้วยแต่ละคนเลยแสดงออกมาได้อย่างที่ตัวเองถนัด
ทั้งนี้ในส่วนของเพลงประกอบนี่เรียกได้ว่าอัดแน่นมาแต่ละบทเพลงคุณภาพเน้น ๆ แต่ที่ผมชอบมากกว่านั้นคือการเลือกจังหวะใส่เพลงลงมาระหว่างการเดินทางที่แสนอ้างว้างและเดียวดายของคุณ ยิ่งโดยเฉพาะบทเพลงจากวง Low Roar ที่คัดมาใส่แต่ละเพลงนี่ฟังทีไรก็ชวนให้เหงาขึ้นมาได้ง่าย ๆ ทุกครั้งไป
สรุป
ผมเชื่อว่าในช่วงชีวิตคนเรา เมื่อเวลาผ่านไปความคิดและมุมมองที่เรามีต่อบางสิ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามวัยและประสบการณ์ที่ได้พบเจอระหว่างทาง สำหรับตัวผมเองแล้วทัศนคติที่มีต่อเดธ สแตรนดิ้งในครั้งนี้ก็ไม่เหมือนกับครั้งก่อนบน PS4 เพราะตลอดเวลาที่ผมร่วมทางกับแซมตั้งแต่ต้นจนจบ ผมได้เห็นการเติบโตทางจิตใจของแซมและในขณะเดียวกันผมก็รู้สึกว่าเกมนี้ทำให้ตัวผมเติบโตขึ้นเช่นกัน ผมไม่ทราบว่าคนอื่นจะเล่นแล้วได้ประสบการณ์แบบไหนกลับไป แต่หากใครที่เล่นแล้วเคยไม่ชอบในครั้งแรก อยากให้ลองดูใหม่อีกครั้งเพราะคุณอาจมีมุมมองที่ต่างไปจากเดิมก็เป็นได้ครับ