Rustler – รีวิว [Review]
หากคุณเคยจินตนาการว่ามันจะกาวสักแค่ไหนหากมีคนทำเกมแนว GTA แต่เปลี่ยนฉากเป็นยุคกลาง จากซิ่งรถหนีผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เป็นขี่ม้าหนีกองกำลังอัศวิน จากอารมณ์ขันเสียดเย้ยสังคมร่วมสมัย ไปเป็นมุขตลกในยุคที่คนเชื่อว่าโลกยังแบน แต่ก็ปน ๆ วัฒนธรรม Pop เข้ามาด้วย Rustler คือเกมที่ “พยายาม” จะทำให้ฝันนั้นเป็นจริง
Rustler ให้เราสวมบทบาทเป็นชายหัวเหม่งคนหนึ่งในยุคกลางที่ชื่อ Guy นายคนนี้ไม่ได้มีดีแค่ชื่อที่ล้ำยุคไปหลายขุมศตวรรษ แต่เขายังประกอบทุกอาชีพที่ไม่เกี่ยวข้องกับคำว่าสุจริตเท่าไร ไม่ว่าจะเป็นการลักลอบขนของเถื่อน การรับจ้างลักเล็กขโมยน้อย และความสนุกก็คือผู้ว่าจ้างหรือแม้แต่เหยื่อของเขาเองก็มีความน่ารักบัดซบในแบบของตัวเอง
หมายเหตุ: รีวิวนี้เป็นประสบการณ์จากการเล่นบน PS5
ขอขอบคุณโค้ดเกม (PS5) เพื่อการรีวิว จากบริษัท Ripples Thailand มา ณ โอกาสนี้ครับ
เกมเพลย์
ถึงจะได้แรงบันดาลใจมาจาก GTA แต่ Rustler จะใช้มุมมองไอโซเมตริก (มองจากด้านบนลงมาหาตัวละคร) โดยให้พระเอกของเราเป็นศูนย์กลางท่องไปในโลกโอเพนเวิลด์ที่มีส่วนของปราการและท้องทุ่งนา คุณสามารถที่จะทำอะไรได้ตามใจเหมือนการเล่น GTA ตั้งแต่เริ่ม จะขโมยม้าก็ได้ ขับเกวียนชนคนตายก็ได้ ถ้าคุณไม่โดนพวกอัศวินติดไฟหวอมาไล่ฆ่าคุณซะก่อนน่ะนะ
ระบบการบังคับตัวละครและการเพิ่มความสามารถเรียบง่ายจนเกมเมอร์ที่มีชั่วโมงบินมาสักระยะจะเข้าใจได้ไม่นาน เริ่มจากระบบต่อสู้ อาวุธที่เรามีเป็นเบสิกเลยก็คือหมัด หนักขึ้นมาหน่อยก็ท่อนไม้ ดาบ หอก ไปจนถึงหน้าไม้ที่เปรียบเสมือนปืนนั่นคือทำความเสียหายสูง แต่ก็ต้องใช้เวลาเตรียมตัวยิงนาน แถมต้องยืนนิ่ง ๆ ด้วย (ยกเว้นจะอัปสกิลที่ให้เตรียมหน้าไม้ขณะวิ่งได้) พูดได้ว่าส่วนนี้ไม่มีอะไรโดดเด่นนอกจากชื่อสกิลที่ต้องกดไลก์ให้คนคิด ยกตัวอย่างสกิลคือ Shit Motion ที่เป็นการปาอึใส่ศัตรู หรือ สกิลที่แปลว่า “ลุงตูเป็นหัวหน้าทหาร” ซึ่งจะทำให้คุณไม่ถูกปลดอาวุธหลังจากโดนอัศวินจับตัวได้
สิ่งที่เห็นได้ชัดว่าเกมยังขัดเกลามาไม่ดีคือระบบการควบคุม โดยเฉพาะการขี่ม้าที่ออกแบบมาเหมือนการบังคับรถ ทำไมพี่ต้องมีกดปุ่มเดินหน้าถอยหลังเหมือนรถด้วยครับ? ทั้งที่ทุกอย่างสามารถรวบรัดให้อยู่ในแกนอนาล็อคเดียวได้ และการวิ่งชนมุมตึกหรือรั้วก็เอาตัวละครถอยออกมายากมาก โดยเฉพาะในตอนที่คุณกำลังอยู่ช่วงจังหวะนรกแบบถูกอัศวินไล่กระทืบอยู่ ระบบการต่อสู้ด้วยดาบพร้อมโล่ก็ทำได้อย่างทุกลักทุเล
สำหรับเควสที่ออกแบบมาไม่ค่อยมีความโดดเด่นด้านเกมเพลย์เช่นกัน แต่จะเน้นเรื่องของความตลกของบทสนทนามากกว่า ซ้ำร้าย ระบบเซฟหรือจุดเช็คพอยต์ของเกมก็ชวนเอาอยากเลิกเล่น เพราะการตายหนึ่งครั้งเล่นเอาไปเกิดจุดเช็คพอยต์ค่อนข้างไกล ไม่มีระบบเซฟแบบอัตโนมัติให้
การนำเสนอ
สิ่งนี้น่าจะเป็นส่วนที่ทำให้เกมไม่ได้เป็นความอัปยศอย่างสมบูรณ์แบบ พูดได้เต็มปากครับว่า Rustler เป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษาที่การนำเสนอและงานเขียน สามารถพยุงคุณภาพของเกมได้ไม่มากก็น้อย
เริ่มกันตั้งแต่เปิดเข้าเกมมาคุณก็จะได้กลิ่นกาวแบบไม่ซ่อนเร้น ทันทีที่ตัวละครพูดสนทนากัน ถึงบทสนทนาที่ขึ้นในหน้าจอจะเป็นภาษาอังกฤษทั่วไป แต่เสียงที่มันคุยกันไม่ใช่ภาษามนุษย์ครับ! มันเป็นเสียง @#$%@ แบบคนป่า จะทั้งชายทั้งหญิงก็เป็นกันหมด เล่นเอาขำแตกไปดอกหนึ่ง และผมคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ทางผู้พัฒนาเข้าตั้งใจใส่เข้ามาให้เป็นแบบนี้จริง (ถึงจะไม่ได้ตั้งใจเพราะแค่อยากลดเงินในการสร้างมันก็ได้ผลอยู่ดี อย่างน้อยก็สำหรับผม) ใครที่ต้องการฟังตัวละครพูดให้ทำใจได้เลยครับ งานนี้ต้องอ่านเอาเท่านั้น
การทำเควสต่าง ๆ ที่ต้องสื่อสารกับตัวละครอื่น Rustler ไม่พลาดโอกาสที่จะยิงมุกเท่าที่จะทำได้ ทั้งมุกเบสิก หยาบโลน ไปถึงขั้นเจ็บตัว เช่น ภารกิจไปขนเหล้ามาให้หลวงพ่อ ไปจนถึงภารกิจทวงหนี้ ที่เราต้องลงไม้ลงมือกับลูกหนี้ซึ่งก็ดันชอบความรุนแรงซะอย่างนั้น และขอให้เราฟาดเขาให้แรงกว่าเดิม
ยังมีมุกที่สอดแทรกมาในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นที่บอกไปในตอนต้นว่า อัศวินที่ขี่ม้าไล่ตามเราจะมีไฟหวอเหมือนรถตำรวจ การจ้างนักดนตรีให้เดินตามที่เราสามารถเปลี่ยนเพลงร้องได้ด้วยการตะบันหน้าเขาไปทีนึง รวม ๆ ก็พอบอกได้ว่ามันเป็นอารมณ์ขันระดับเอาถาดตีหัวซะเยอะเหมือนกัน บางครั้งก็รู้สึกถึงความพยายามยัดเยียดเกินไป และอาจไม่ถูกจริตคนหลายคน ถึงแบบนั้น นี่น่าจะเป็นส่วนที่ทำให้เกมเฉิดฉายที่สุดแล้ว
กราฟิก
กราฟิกในเกมอยู่ในระดับที่พอรับได้ แต่น่าขัดใจที่ว่า แม้จะไม่ใช่เกมที่อาศัยกราฟิกสูง แต่เมื่อขี่ม้าเข้าไปในบริเวณที่คนหนาแน่นหน่อย ก็พบอาการเฟรมร่วงอยู่ แม้จะเล่นบน PS5 ก็ตาม
สรุป
ความพยายามของ Rustler ที่จะเป็น GTA ยุคกลาง ดูเจือจางลงไปไม่น้อยด้วยเกมเพลย์ที่ทำระบบควบคุมออกมาได้น่าปวดหัว ทั้งการเคลื่อนไหวและระบบต่อสู้ การนำเสนอของเกมและงานเขียนเพื่อเสิร์ฟมุกต่าง ๆ แม้จะซื้อบ้างไม่ซื้อบ้าง แต่ก็ดูจะเป็นสิ่งเดียวที่สะท้อนว่า อย่างน้อยทีมพัฒนาก็รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่
เกมนี้ผมยอมซื้อมาเล่น (ใน Steam) เพราะความเกรียนของมันนี่แหละครับ แม้จะเล่นได้ไปแค่นิดหน่อย แต่เกมไม่ค่อยทำให้รู้สึกอยากกลับไปเล่นอีกสักเท่าไหร่เลย มันวนไปมาค่อนข้างซ้ำซาก และเจอบัคด้วย แต่ก็ยังทักไปให้กำลังใจผู้ผลิตเกมอยู่ว่าให้ปรับปรุงเกมให้ดีขึ้นหน่อย ยอมซื้อเกมนี้เพราะความเกรียนจริงๆ