*ขอขอบคุณโค้ดรีวิวจาก Private Division มา ณ โอกาสนี้ครับ
**รีวิวนี้เล่นบน PlayStation 5
เมื่อพูดถึงผลงานของสตูดิโอ Roll 7 ที่โดดเด่นในช่วงที่ผ่านมาก็คงไม่พ้นเกมแอ็คชันแพลตฟอร์มที่ผสมผสานเกมกีฬาเอ็กซ์ตรีมอย่างสเก็ตบอร์ดไว้ด้วยกันนั่นคือ Olli Olli World ครับ (ซึ่งเราก็เคยรีวิวไปแล้วที่นี่) ในคราวนี้ทีมงาน Roll 7 กลับมาอีกครั้งด้วยเกมสไตล์กีฬาเอ็กซ์ตรีมด้วยโรลเลอร์สเก็ต แต่ว่าแน่นอนว่าไม่ได้มาแบบธรรมดา ๆ เพราะพวกเขาผสมผสานเข้ากับเกมชูตติงแบบ TPS ไว้ด้วยกันจนออกมาเป็น Rollerdrome นี่ล่ะครับ
แล้วตัวเกมจะเป็นอย่างไร ขอเชิญอ่านรีวิวจากไทยเกมวิกิได้เลย
เนื้อเรื่อง
Rollerdrome ดำเนินเรื่องราวอยู่ในโลกอนาคตสไตล์เรโทร (หรือก็คืออนาคตแบบที่เรามักจะเห็นได้ในภาพยนตร์สมัยก่อนช่วงปี 80s หรือ 90s นั่นล่ะครับ) โดยที่เหตุการณ์ในเกมจะเป็นปีค.ศ.2030 ที่โลกเข้าสู่สภาวะดิสโทเปียและอยู่ใต้การปกครองของบริษัทขนาดใหญ่ ผู้คนต่างสนุกไปกับกีฬาสุดอำมหิตที่จะนำเอาผู้แข่งขันมาต่อสู้เอาชีวิตรอดกับศัตรูมากมายเพื่อความบันเทิงของผู้ชม โดยในเกมนี้ผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Kara Hassan ผู้เข้าแข่งขันหน้าใหม่ที่จะต้องมาดิ้นรนเอาชีวิตรอดในการแข่งขันไปให้ได้
ในแง่ของเนื้อเรื่องนั้น เอาเข้าจริงไม่ใช่องค์ประกอบสำคัญของตัวเกมมากนักครับ เหมือนว่ามีไว้เพื่อเซ็ตองค์ประกอบของเกมและโลกของเกมให้ผู้เล่นได้พอรับรู้ในแง่ที่ว่าเราเป็นใครและมาทำอะไรที่นี่เสียมากกว่า ตัวเกมจะแบ่งเนื้อเรื่องไว้ด้วยกันทั้งหมดสี่ช่วงตามแต่ละรอบของการแข่ง ซึ่งจะนำเสนอในรูปแบบของมุมมอง First Person ที่จะไม่มีการต่อสู้อะไรใด ๆ แต่จะให้ผู้เล่นได้เดินสำรวจฉากเพื่อรับรู้เรื่องราวบางอย่างในเกมเพิ่มเติม บ้างก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังฉากว่า ณ ตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นในโลกของเกมบ้าง แต่เราก็ไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรใด ๆ เท่าไรอยู่ดี เพราะหน้าที่และจุดประสงค์ของเราก็มีแค่เพียงแข่งขันเอาชีวิตรอดเพื่อเป็นแชมป์ให้ได้แค่นั้นล่ะครับ ตลอดเกมจะมีการพูดถึงตัวละครอื่น ๆ ที่เป็นผู้เข้าแข่งขันด้วยเช่นกัน แต่คุณจะไม่ได้เจอตัวละครอื่นเลย จะมีแค่พวกบันทึกเสียงหรือไม่ก็โน้ตต่าง ๆ ให้อ่านแค่นั้น
ถ้าจะให้กล่าวสั้น ๆ ก็คือเนื้อเรื่องไม่ใช่สิ่งสำคัญสำหรับเกมนี้เท่าไรครับ ซึ่งอันที่จริงก็เข้าใจได้ด้วยรูปแบบการนำเสนอของตัวเกม แต่ก็แอบคิดว่าถ้ามีอะไรมากกว่านี้สักหน่อยก็คงดีเหมือนกัน
เกมเพลย์
สำหรับรูปแบบของเกมเพลย์นั้น อย่างที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ว่าเป็นการผสมผสานระหว่างเกมกีฬาเอ็กซ์ตรีมโดยใช้โรลเลอร์สเก็ตเข้ากับเกมชูตติง TPS เข้าด้วยกัน ซึ่งก็ออกมาสนุกกว่าที่คาดไว้ทีแรกและมีเอกลักษณ์ไม่เบาเลยครับ
ผมเชื่อว่าหลายคนก็คงพอจะทราบกันดีอยู่แล้ว ว่าพอพูดถึงกีฬาเอ็กซ์ตรีมแล้วสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือการออกท่าผาดโผนโชว์ความสามารถให้ผู้ชมได้เห็นแล้วต้องร้องว้าวออกมาไปตาม ๆ กัน ซึ่งในเกมนี้ก็มีระบบการกดท่าที่เข้าใจง่ายแต่จะเล่นให้เซียนยากอยู่เหมือนกัน ท่วงท่าหลัก ๆ ที่คุณเล่นได้จะเป็นการ Grab หรือก็คือการกระโดดงอเข่างอขาในรูปแบบต่าง ๆ ขณะที่ลอยตัวกลางอากาศ และอีกอย่างหนึ่งก็คือ Grind หรือก็คือการสไลด์ไปตามขอบพื้นตามราวต่าง ๆ ที่ไม่ใช่แค่การสไลด์ทั่วไปแต่คุณยังสามารถกดท่าเพื่อออกลีลาต่างกันได้ด้วยเช่นกัน
ทีนี้ ด้วยความที่ตัวเกมมีส่วนผสมของเกมชูตติง TPS ในตัวด้วย ปืนจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ และ Rollerdrome ก็จะมีอาวุธปืนให้คุณใช้ทั้งหมด 4 ชนิดนั่นคือ ปืนพกคู่ ปืนลูกซอง ปืนยิงลูกระเบิด และปืนยิงลำแสงแบบชาร์จได้ ซึ่งในตอนแรกจะใช้ได้แค่เพียงปืนพกคู่แต่จะปลดล็อคออกมาเรื่อย ๆ เมื่อเล่นผ่านฉากครับ ระบบการเล็งยิงของเกมนี้ทำออกมาได้เป็นมิตรกับผู้เล่นมาก เพราะคุณไม่จำเป็นต้องอาศัยความแม่นยำในการเล็งมากเท่าไรนัก กล่าวคือพอเข้าใกล้ระยะหวังผลของปืนแล้วเพียงเลื่อนเคอร์เซอร์เข้าหาศัตรู Kara ก็จะยิงใส่ศัตรูโดยอัตโนมัติ และที่สำคัญคือเกมนี้มีระบบ Reflex ใส่เข้ามาเป็นอีกหนึ่งระบบหลักของเกม ถ้าให้อธิบายง่าย ๆ ก็คือระบบสไตล์ bullet time ที่ทุกอย่างรอบตัวจะช้าลงทำให้เรามีจังหวะเลือกเล็งหรือเปลี่ยนอาวุธตามสถานการณ์ได้นั่นล่ะครับ และถ้าคุณหลบการโจมตีได้ในระยะกระชั้นชิดก็จะเข้าสภาวะ Super Reflex ที่ Kara จะเป็นอมตะชั่วครู่พร้อมด้วยปืนทุกกระบอกรุนแรงขึ้นด้วยเช่นกัน
แล้วระบบทั้งสองอย่างที่ว่าผสมกันออกมาในรูปแบบไหนยังไง? อย่างที่รู้กันว่าเมื่ออาวุธเป็นปืนแล้วก็จำเป็นต้องใช้กระสุน แต่ประเด็นคือเกมนี้จะไม่มีกระสุนให้เก็บในระหว่างฉากครับ วิธีเดียวที่คุณจะเติมกระสุนได้ก็คือคุณต้อง “เล่นท่า” ในฉากนั่นเอง ไม่ว่าจะกระโดด Grab หรือไถล Grind ก็ตาม ทุกแอ็คชันที่เป็นการออกลีลาจะเติมกระสุนให้คุณทั้งนั้น (รวมถึงการหลบระยะประชิดเข้าสภาวะ Super Reflex ด้วย) นั่นจึงทำให้การเล่นแต่ละฉากนั้นรวดเร็วและลื่นไหลฉับไวอย่างมาก
คุณจะไม่สามารถอยู่นิ่ง ๆ กับที่เพื่อประเมินสถานการณ์ได้เลย เพราะทุกอย่างจะบีบให้คุณต้องเคลื่อนที่ตลอดเวลาด้วยการโจมตีของศัตรูที่ต้อนรับอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ยิ่งเมื่อเล่นไปฉากท้าย ๆ นี่คือวุ่นวายโกลาหลทั้งฉาก ทั้งต้องหลบ ทั้งต้องยิง ทั้งต้องเล่นท่า ทุกอย่างจะต้องคิดไวทำไวทุกวินาที ในจุดนี้ผมต้องชมทีมงานจริง ๆ ว่าไอเดียดีมากที่สามารถเอาเอกลักษณ์ของเกมสองแนวที่มันดูต่างขั้วกันมาประกอบเข้าด้วยกันจนมันลงตัวได้แบบแปลก ๆ
ซึ่งในส่วนของเกมเพลย์ก็จะเป็นรูปแบบเช่นว่าไปตลอดทั้งเกมครับ จะไม่มีการอัปเกรดตัวละคร ไม่มีอัปเกรดอาวุธหรือไม่มีระบบโปรเกรสอะไรใด ๆ ให้ทำ (เว้นแต่ challenge ประจำแต่ละฉาก) พูดง่าย ๆ ว่าพอเล่นไปสักสองสามฉากคุณก็จะเข้าใจตัวเกมหมดแล้ว โดยในจุดนี้หลายคนอาจจะมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดีแต่สำหรับผมเห็นว่าเกมตั้งใจนำเสนอออกมาในสไตล์ของ arcade แต่ต้นในลักษณะที่ว่าเปิดเกมปุ๊บ เข้าฉากเล่นได้ปั๊บไม่ต้องนั่งเซ็ตตัวละคร ไม่ต้องเลือกสกิลหรือเลือกอาวุธให้เหมาะกับฉาก มีแค่ไหนแค่นั้นตลอดเกม ดังนั้นสิ่งที่จะตัดสินว่าคุณจะรอดหรือไม่รอดก็อยู่ที่ฝีมือผู้เล่นเพียว ๆ เลยนั่นเองครับ
แล้วก็ด้วยความที่เกมมันมีความเป็น arcade สูงมากนี่ล่ะ สิ่งที่ตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ก็คือความยากและความท้าทายที่อยู่ในระดับสูงมาก พอคุณต้องคิดไวทำไวตลอดเวลา ในแต่ละฉากมันเลยไม่มีเวลาให้พัก ไม่มีจังหวะให้หายใจหายคอ ทุกอย่างมันจะเร็วไปหมด ยิงตัวนี้ไป อีกตัวโผล่มาแล้ว หลบกระสุนนี่อยู่ อ้าวมิสไซล์มาจ่อหลังทันที แถมบางทีจังหวะชุลมุนก็กระโดดตกเหวอีก อะไรทำนองนี้คือสิ่งที่คุณจะเจอตลอดทั้งเกม
ถึงกระนั้น ตัวเกมก็ยังไม่ได้ใจร้ายเกินไปครับ ถ้าคุณอยากแค่สัมผัสกับบรรยากาศและสไตล์ของเกมอย่างสบาย ๆ ไม่ต้องเครียดมาก เกมนี้มีระบบ Assist เข้ามาในเกม (หรือก็คือ Cheat Code นั่นล่ะครับ) ที่คุณไปเลือกปรับได้เลยว่าจะเล่นแบบอมตะเลยไหม กระสุนไม่หมดเลยหรือเปล่า หรือจะ Reflex ได้แบบไม่มีวันหมดวันสิ้น สุดแท้แต่ความสบายใจของคุณ มีข้อแม้แค่ว่าถ้าคุณใช้ Assist แล้วคะแนนของคุณจะไม่ถูกนำไปจัดอันดับใน Leaderboard ก็เท่านั้นเอง (แต่ใครสายเก็บโทรฟี่ ใช้ Assist เก็บได้เลยนะไม่ต้องห่วง) กระนั้นถ้าใครอยากสัมผัสประสบการณ์ของตัวเกมแบบแท้ ๆ อย่างที่ทีมสร้างตั้งใจไว้ ก็อยากให้ลองเล่นจบโหมดแคมเปญจนเครดิตขึ้นสักรอบโดยไม่ต้องใช้ Assist ก็จะเป็นการดีครับ
ส่วนเกมเมอร์สายทรมานตนเอง…เอ้ย สายชอบความท้าทายทั้งหลาย ถ้าหากว่าโหมดธรรมดายังไม่หนำใจคุณ หลังคุณจบเกมในโหมดแคมเปญแล้ว เกมจะปลดล็อคโหมด Out For Blood ออกมาให้คุณได้ลองกันจนหายอยาก พูดง่าย ๆ ก็คือมันเป็นโหมดที่คุณจะได้ไปเล่นฉากต่าง ๆ ในโหมดแคมเปญอีกรอบในแบบที่ Extremely Extreme นั่นล่ะครับ
กราฟิก
คุณภาพกราฟิกนี่นำเสนอในแบบโพลีกอนเซลเฉดที่ตั้งใจทำออกมาให้คล้ายกำลังอ่านคอมิค โมเดลตัวละครจะไม่สมจริง ไม่มีดีเทลชนิดที่เห็นรอยเปื้อนหรือรอยขีดข่วนพื้นผิวผนังอะไรแบบนั้น แต่ทุกอย่างทำออกมาดูดีมีสไตล์ไม่เบา เอฟเฟคต์ต่าง ๆ ให้ความรู้สึกคล้ายตอนเล่น Olli Olli World บ้างเหมือนกันครับ เพียงแค่ว่าทีมงานได้ทำการปรับมู้ดแอนด์โทนให้ออกมาในรูปแบบที่จริงจังขึ้น ไม่ได้ออกมาเป็นการ์ตูนทีวีสำหรับเด็ก อย่างไรก็ตาม ในความจริงจังดังกล่าวก็ยังมีการคุมโทนเรื่องความรุนแรงให้ออกมาเป็นการ์ตูนอยู่ นั่นคือมีเอฟเฟคต์เลือดบ้างแต่ไม่ถึงกับเน้นชัดเจน ไม่มีชิ้นส่วนกระจุยเวลาโดนยิง เกมนี้ไม่มีการนำเสนอความรุนแรงในลักษณะของงานภาพที่เยอะนักถ้าเทียบกับเกมยิงอื่น ๆ ครับ เต็มที่ก็คือตัวคนจะกระเด็นกระดอนไปตามแรงยิงเท่านั้น
เพลงประกอบ
ในส่วนของเพลงประกอบนั้น ฟังแล้วสนุกดีไม่เบาครับ สไตล์เพลงจะเป็นแบบ synth/techno ที่เน้นเสียงสังเคราะห์เยอะ ๆ ซึ่งก็เป็นสไตล์ของปี 70s นั่นล่ะ แบบพวกเพลงที่มักได้ยินในฉากดิสโก้เธคของภาพยนตร์ในยุคนั้นนั่นล่ะครับ ซึ่งมันก็เหมาะกับธีมอนาคตของเรโทรใช้ได้ วิ่งไป โดดไป หลบกระสุนไป ยิงไป ในบางครั้งก็ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเต้นอยู่ในดิสโก้ไม่เบาเหมือนกัน ติดแค่ว่าถ้าจังหวะชุลมุนนี่บางทีก็ไม่มีช่วงให้ตั้งใจฟังจริง ๆ จัง ๆ เหมือนกัน
สรุป
Rollerdrome เป็นเกมแอ็คชันชูตติงที่รวดเร็วและมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ระบบการเล่นแปลกและสนุก อีกทั้งยังท้าทายมาก แต่ถ้าใครชอบการเล่นแบบง่าย ๆ สบาย ๆ ก็อาจจะมีช่วงที่ยากลำบากระหว่างเล่นพอสมควรเหมือนกัน ที่สำคัญคือเกมนำเสนอในสไตล์ arcade จึงไม่มีระบบโปรเกรสชันใด ๆ ที่อาจทำให้หลายคนลังเล แต่อย่างไรก็ตามนี่เป็นอีกเกมที่รสชาติแปลกใหม่และอยากให้ลองกันถ้ามีโอกาสครับ
Rollerdrome จะวางจำหน่ายแบบดิจิทัลในราคา 1059.30 บาทในวันที่ 16 สิงหาคม 2022 นี้บน PlayStation 5 และ PlayStation 4, และราคา 749 บาทบน Steam ด้วยราคาในช่วงแนะนำสองสัปดาห์เพียง 699.14 บาทบน Steam และสำหรับสมาชิก PlayStation Plus ไม่ว่าจะเป็นเทียร์ใดก็ตาม*
*ช่วงแนะนำเกมสิ้นสุดเวลา: 13:59 น. ในวันที่ 29 สิงหาคม 2022 ราคาบน PlayStation 4 และ PlayStation 5 สำหรับผู้ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกของ PlayStation Plus คือ 1059.30 บาทในวันที่เกมวางจำหน่าย