*ขอขอบคุณโค้ดรีวิวจาก Bandai Namco Entertainment Asia มา ณ โอกาสนี้ครับ
**รีวิวนี้เล่นบน PlayStation 5
ผมเคยรีวิวเกม Dragon Ball Z Kakarot ไปแล้วก่อนหน้านี้ในช่วงที่เกมออกครั้งแรก แต่ว่าสำหรับในคราวนี้ DLC เนื้อหาของบาร์ดัคผู้เป็นพ่อของโกคูก็ได้ปล่อยออกมาให้เล่นพร้อมกับตัวเกมเวอร์ชันคอนโซลรุ่นปัจจุบันอย่าง PlayStation 5 ผมจึงได้รับโอกาสให้รีวิวตัวเกมอีกครั้งครับ ซึ่งในครั้งนี้ก็จะเป็นการรีวิวในส่วนของเนื้อหา DLC เป็นหลักครับ เชิญไปอ่านกันได้เลย
เนื้อเรื่อง
เนื้อเรื่องในส่วนของ DLC ที่ชื่อ Bardock: Alone Against Fate หรือในชื่อไทยว่า Bardock: ศึกตัดสินเพียงผู้เดียว นี้จะเป็นการอ้างอิงเนื้อหามาจากตอนพิเศษที่ฉายทางโทรทัศน์เมื่อปีค.ศ.1990 ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเล่าเรื่องราวของ Bardock หรือบาร์ดัคที่เป็นพ่อของโกคูในช่วงเวลาก่อนที่ดาวไซย่าจะมีอันแตกดับไปด้วยน้ำมือของฟรีเซอร์นั่นเองครับ
ถ้าจะว่ากันในส่วนของเนื้อหานั้น DLC นี้ยังคงมาตรฐานแบบเดียวกันกับตัวเกมหลัก นั่นคือเส้นเรื่องหลักจะเดินตามเนื้อหาต้นฉบับแบบเป๊ะ ๆ ไม่ได้มีตัดทอนอะไร แต่ระหว่างทางก็จะมีบรรดาไซด์เควสต์ให้เราได้เล่นเพื่อเก็บไอเท็มและเก็บค่าประสบการณ์ ซึ่งเควสต์ส่วนมากก็จะเป็นการทำให้คนเล่นและผู้ที่ชื่นชอบเรื่องราวของดราก้อนบอลได้ทราบเนื้อหาเชิงลึกเพิ่มเติม รวมถึงความสัมพันธ์ของตัวละคร โดยใน DLC นี้ก็จะเป็นเควสต์ที่เน้นเรื่องความผูกพันในทีมของบาร์ดัคเป็นหลักนั่นล่ะครับ แม้ว่าจะเป็นเนื้อหาที่หลายคนคุ้นเคยกันอยู่แล้ว แต่การได้เห็นรูปแบบนำเสนอสไตล์เกมที่ถ่ายทอดออกมาได้แทบร้อยเปอร์เซ็นต์นี่มันก็ทำให้แฟน ๆ ยังคงสนุกไปกับเกมได้อยู่เหมือนเคย
ฉากสำคัญ ๆ ที่หลายคนจดจำได้ โมเมนต์ที่ตรึงตราตรึงใจ ไม่ว่าจะตอนที่บาร์ดัคโดนหมัดมายาของชาวคานัซซะจนมองเห็นอนาคตอันมืดมนของเผ่าพันธุ์และพยายามฝืนชะตา ไปจนตอนสุดท้ายที่บาร์ดัคพยายามทุ่มกำลังเข้าสู้กับฟรีเซอร์แต่ก็ต้องจบชีวิตไปพร้อมกับดวงดาว ทุกฉากทำออกมาได้เคารพต้นฉบับอย่างถึงที่สุดแน่นอน
ความพิเศษอีกอย่างหนึ่งหลังจากที่เคลียร์เนื้อเรื่องในส่วนของ DLC จบแล้วก็คือการปลดล็อกเนื้อหาพิเศษเพิ่มเติมให้เล่นเป็นเบจิต้าวัยเด็กที่จะบอกเล่าเรื่องราวในส่วนที่เราไม่เคยได้เห็นจากผลงานต้นฉบับด้วยนี่ล่ะครับ แต่ถ้าจะมีอะไรที่แอบน่าเสียดายก็คือเนื้อหาต่าง ๆ จะอ้างอิงจากเวอร์ชัน Z เป็นหลัก จึงไม่ค่อยมีการนำเอาองค์ประกอบเนื้อหาจาก Super มาใช้เท่าไรนัก (เพราะในทางเทคนิค DLC สองตัวแรกที่โกคูและเบจิต้าได้ร่างก็อดกับร่างบลูก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของภาค Z อยู่ในฉบับภาพยนตร์)
อ้อ จุดที่ต้องชมเช่นเคยก็คือการแปลไทยครับ ยังคงแปลได้คุณภาพดีเช่นเคย คำที่ใช้เหมาะสมและไหลลื่นไม่ต่างกับตอนอ่านมังงะหรือชมอนิเมอยู่ครับ
เกมเพลย์
ในแง่ของระบบการเล่นหลัก ๆ เลยจะไม่ได้ต่างกับตัวเกมหลักเท่าไรครับ นั่นคือคุณจะสามารถบินหรือวิ่งไปไหนมาไหนในฉากได้อิสระ ซึ่งระหว่างทางก็จะมีพวกศัตรูให้ต่อสู้เพื่อเก็บค่าประสบการณ์ มีอัญมณี Z ให้เก็บเพื่อนำไปปลดล็อกท่าและสกิล รวมถึงมีไซด์เควสต์ประปรายให้ได้เล่นตามที่บอกไปก่อนหน้านี้
ระบบการต่อสู้ก็จะรวดเร็วฉับไวในสไตล์ดราก้อนบอลที่เราจะได้บินปะทะกับศัตรูในลักษณะที่ไม่ต่างกับอนิเม ทั้งการเข้าไปบวกกันตรง ๆ ด้วยหมัดหรือการยิงพลังขนาดมหึมาใส่ โดยที่ผู้เล่นจะสามารถเซ็ตอัปท่าพิเศษที่ต้องการใช้ได้สูงสุดสี่ท่า และติดตั้งสกิลสนับสนุนเพื่อเสริมความแข็งแกร่งในแบบที่ต้องการได้ โดยที่ตัวเกมมีระบบที่เพิ่มเติมเข้ามา (ซึ่งก็เพิ่มมาตั้งแต่คราว DLC ที่ได้สู้กับโกลเด้นฟรีเซอร์) นั่นคือระบบ Z แบลสต์ที่จะทำให้เราปล่อยท่าเพื่อจัดการศัตรูจำนวนมากได้ในคราวเดียว (ซึ่งจะมีให้ใช้ในช่วงที่กำหนดเท่านั้น)
การสู้กับบอสของ DLC อย่างฟรีเซอร์นั้นก็ทำออกมาได้ตึงมือสมกับเนื้อหาครับ คนเล่นไม่สามารถจะอาศัยการเข้าไปบวกมั่ว ๆ แล้วสแปมพลังใส่ได้ แต่ต้องอาศัยจังหวะในการหลบ และดูจังหวะในการเข้าตีให้เป็นจนบางทีเกมก็เกือบจะกลายเป็นเกมชูตติ้งไปกลาย ๆ เหมือนกัน แต่โดยรวมแล้วการสู้ฟรีเซอร์นั้นสนุกกำลังดี ไม่ง่ายเกินไปแต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถ (แต่ถ้าคุณเก็บเลเวลมาจนทะลักแล้วมาล้างแค้นในรอบหลังนั่นก็อีกเรื่องนึงนะ)
หากจะมีจุดที่ด้อยกว่าเนื้อเรื่องหลักก็คงเป็นในส่วนของการสำรวจนี่ล่ะครับ เพราะแมปที่เป็นดาวไซย่า หรือดาวคานัซซะนั้นค่อนข้างเล็กและไม่มีกิจกรรมอะไรให้ทำมากนักถ้าเทียบกับเนื้อเรื่องหลัก ซึ่งผมเองก็เข้าใจเหตุผลอยู่เพราะด้วยโทนของเรื่องราวจะให้บาร์ดัคมาขับรถแข่งทำเวลาในตอนที่ดาวจะแตกมิแตกแหล่มันก็ดูไม่ใช่จริง ๆ นั่นล่ะ แต่ก็แอบเสียดายอยู่ว่ามันไม่ได้มีกิจกรรมอะไรใหม่ ๆ ให้ทำนั่นล่ะครับ
กราฟิก
ในส่วนของกราฟิกนั้น เวอร์ชัน PlayStation 5 จะมีให้เลือกสองโหมดด้วยกันนั่นคือโหมดคุณภาพกับโหมดสมรรถนะ ซึ่งโหมดคุณภาพนี่ กราฟิกก็จะดูสวยขึ้นกว่าเดิมบ้าง แต่ผมคิดว่าสิ่งที่เพิ่มมามันก็ดูเล็กน้อยครับด้วยความที่ตัวเกมนำเสนอภาพแบบเซลเฉดให้เหมือนกำลังเล่นอนิเมอยู่แล้ว หลายจุดเลยมองไม่ค่อยออกว่าเพิ่มความละเอียดที่ตรงไหนบ้าง อาจจะมีหย่อมหญ้าที่เยอะขึ้น ก้อนหินที่ละเอียดมากขึ้น ซึ่ง…เอาเข้าจริงตอนเล่นก็ไม่ได้สังเกตนักหรอกครับ
ที่สำคัญคือพอเป็นโหมดคุณภาพนี่เฟรมจะอยู่ที่ 30 FPS ส่วนโหมดสมรรถนะนี่จะลื่นหัวแตกแบบแตกต่างชัดเจน ผมเลยคิดว่าถ้าเล่นเกมอย่างดราก้อนบอลที่เน้นความฉับไวของการต่อสู้มาตั้งแต่ต้นฉบับแล้ว เลือกโหมดสมรรถนะดูจะเพลินตาและเพลินใจมากกว่า อย่างน้อยก็สำหรับผมล่ะนะ
เสียงและเพลงประกอบ
DLC นี้ยังคงมาตรฐานเดิมสำหรับแฟน ๆ ดราก้อนบอลครับ พวกเสียงเอฟเฟคต์เอยหรือบทเพลงประกอบต่าง ๆ เอย ล้วนเป็นเสียงที่คุณต้องเคยได้ยินกันมาแล้วจากอนิเมแน่นอน ไม่ว่าจะเสียงตอนชาร์จพลัง เสียงตอนยิงพลังใส่กัน เสียงและเพลงประกอบของ DLC นี้ยังคงเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เกมนี้สมเป็นเกมดราก้อนบอลโดยแท้ครับ
สรุป
DLC ชุด Bardock: ศึกตัดสินเพียงผู้เดียว ยังคงเป็นเนื้อหาที่เหมาะสำหรับแฟน ๆ ดราก้อนบอล ด้วยระบบต่อสู้ที่ถ่ายทอดความเร็วและรุนแรงของผลงานต้นฉบับออกมาได้ดี การดำเนินเรื่องที่ถอดแบบมาแทบร้อยเปอร์เซ็นต์และเสริมเนื้อหาพิเศษลงไป ผมยังคงยืนยันว่า Dragon Ball Z Kakarot ยังคงเป็นเกมดราก้อนบอลที่แฟน ๆ จะชื่นชอบได้ไม่ยากครับ