รีวิว Hogwarts Legacy
*ขอขอบคุณ Epicsoft Asia สำหรับโค้ดเพื่อการรีวิวด้วยครับ
**รีวิวนี้เล่นบนเครื่อง Playstation 5
ถึงวินาทีนี้ นี่ก็เป็นการออกรีวิวที่ตลาดวายไปนานพอสมควรแล้ว และผู้เล่นส่วนใหญ่ก็คงได้ข้อสรุปกันแล้วว่านี่เป็นงานที่ดีสมไฮป์กันจริง จนผู้เล่นและแฟน ๆ หลายคนถึงขนาดบอกว่านี่เป็นเกมโลกเวทมนตร์ที่สร้างจากจักรวาลปลายปากกา เจ. เค. โรว์ลิง ที่ดีที่สุดด้วยซ้ำ
แต่หลังจากใช้เวลาควงไม้กายสิทธิ์หลายสิบชั่วโมงจนจบเกม มันมีมวลความรู้สึกบางอย่างที่อยากจะถ่ายทอดออกไปในรูปแบบการรีวิวอยู่ เพราะฉะนั้นมาเริ่มกันดีกว่าครับ
ขอบอกก่อนว่ารีวิวนี้จะเป็นการถ่ายทอดประสบการณ์ของพวกเลือดสีโคลนของแฟรนไชส์นี้นะครับ นั่นคือผมพูดได้ไม่เต็มปากว่าตัวเองเป็นสาวกโลกแห่งเวทมนตร์ของ เจ. เค. แต่จะบอกว่าไม่รู้จักเลยก็คงไม่ได้ เพราะอ่านนิยายและดูหนังมาก็หลายภาคเหมือนกัน
ก้าวเข้าสู่โลกแห่งเวทมนตร์
อันดับแรก ผมคิดว่าการเลือก setting ของเกมนี้ทั้งฉากและช่วงเวลาเป็นทางเลือกที่ฉลาดใช้ได้เลย นั่นเกมเลือกจะเล่าเรื่องราวที่ย้อนไปก่อนเหตุการณ์ของ Harry Potter นานมาก แล้วก็ก่อนช่วงเหตุการณ์ Fantastic Beasts ด้วย คือไปเติมช่องว่างของช่วงศตวรรษที่ 19 ในโลกแห่งเวทมนตร์
การเลือกฉีกเนื้อเรื่องออกมาเป็นช่วงเวลานานขนาดนี้มีข้อดียังไง?
สิ่งที่สำคัญเลยก็คือมันสามารถทำหน้าที่เป็นเหมือนโซ่ข้อกลางที่เชื่อมให้คนหน้าใหม่ ๆ ที่อยากรู้จักแฟรนไชส์นี้กับแฟน ๆ ฐานเดิมสามารถมาเอ็นจอยกับโลกใบนี้ได้แบบไม่ต้องอาศัยการทำการบ้านก่อนเล่นเยอะ ประมาณว่าถ้าเล่นเกมนี้จบ แฟน ๆ หน้าใหม่ก็สามารถพูดภาษาพ่อมดแม่กับแฟน ๆ กลุ่มเดิมได้ไม่มากก็น้อย เพราะเกมนี้มันจะทำหน้าที่แนะนำทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นพื้นฐาน 101 ให้คนเล่นหมดเลยครับ คุณจะเข้าใจว่าฮอกวอตส์หน้าตาเป็นยังไง การคัดสรรเด็กเข้าบ้านทั้งสี่ เด็กแต่ละบ้านมีนิสัยเฉพาะตัวอะไร โรงเรียนเวทมนตร์นี้มันสอนวิชาอะไรบ้าง ฯลฯ
แต่ถึงจะมีเนื้อเรื่องฉีกไทม์ไลน์ของ Harry Potter มาไกล ทีมพัฒนาก็ไม่ลืมใส่ของที่จะเซอร์วิสแฟน ๆ ผู้จงรักภักดีทั้งสายนิยาย สายภาพยนตร์เอาไว้ด้วย ซึ่งมันจะมาในหลากหลายรูปแบบมาก เช่น ตัวละครที่เป็นศาสตราจารย์บางคนมีเชื้อสายที่จะสืบทอดไปเป็นตัวละครหลักในเส้นเรื่อง Harry Potter ด้วย หรือฉากบางฉากที่จะทำให้หวนนึกไปถึงซีนของหนังบางภาค แต่มันมาในฐานะแฟนเซอร์วิสจริง ๆ ก็คือคุณจะไม่เข้าใจมันก็ได้ เข้าใจมันก็ดี ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าเกมมีการยัดเยียด Lore ต่าง ๆ มาแบบไม่จำเป็น
พูดง่าย ๆ ผมรู้สึกว่าการขยายจักรวาล Hogwarts Legacy มันมีเป้าหมายที่ไปไกลกว่าตัวของเด็กชายที่รอยแผลเป็นรูปสายฟ้าบนหน้าผากแล้ว เขาอยากให้คนทั่วไปเวลานึกถึงแฟรนไชส์นี้ ไม่ใช่แค่นึกถึง Harry Potter อย่างเดียว แต่นึกถึง Wizarding World ที่มันมีทั้งนิยาย ทั้งภาพยนตร์ และแน่นอนว่าต้องมี Hogwarts Legacy เป็นหัวใจสำคัญในนั้นด้วย
เนื้อเรื่อง
ทั้งหมดด้านบนนั่นคือสิ่งที่ตัวนิยายและภาพยนตร์ปูพื้นมาให้ทีมพัฒนาใช้เป็นแหล่งอ้างอิงในการสร้างโลกอยู่แล้ว แต่โจทย์ใหญ่จริง ๆ คือการเขียนเนื้อเรื่องที่เป็นเส้นเรื่องหลักของภาคนี้ขึ้นมาใหม่ ซึ่งพล็อตเรื่องคร่าว ๆ ของ Hogwarts Legacy จะมีอยู่ว่า
เราได้รับบทเป็นพ่อมดหรือแม่มดคนหนึ่งที่มาค้นพบว่าตัวเองมีพรสวรรค์บางอย่างในการสัมผัสถึงเวทมนตร์โบราณได้ ทำให้เราต้องเข้าไปเป็นนักเรียนของฮอกวอตส์ปีที่ 5 และมีส่วนพัวพันกับ Ranrok ก็อบลินฝ่ายกบฏที่พยายามค้นหาบางสิ่ง และตัวเราก็เป็นกุญแจที่จะนำไปสู่สิ่งนั้น ซึ่งไอ้สิ่งนั้นตัวเราเองก็ยังไม่รู้และต้องไขปริศนากันตลอดทั้งเกมว่ามันคืออะไร และมันอยู่ที่ไหนกันแน่
ถ้าฟังเนื้อเรื่องคร่าว ๆ แล้ว มันแอบดูน่าสนใจอยู่ในฐานะที่เป็นเรื่องแต่งขึ้นมาใหม่ให้เฉพาะเกมนี้เลย โดยเฉพาะผมสนใจเรื่องเอาก็อบลินมาเป็นตัวร้ายมาก แต่พอเราติดตามการเล่าเรื่องของมันไปตั้งแต่ต้นจนจบเส้นเรื่องหลัก ผมมีความรู้สึกว่างานเขียนบทไม่ใช่จุดแข็งของ Hogwarts Legacy ครับ
เอาตรง ๆ เลยมันก็คือเรื่องราวความดีเอาชนะความชั่ว ไม่มีการหักมุมในลักษณะที่เกินความคาดหมาย ทุกอย่างล้วนคาดเดาได้ ตัวร้ายก็ใส่แรงดลใจเข้าไปให้มันพอมีมิตินิดหน่อย แต่สุดท้ายมันก็ลงล็อกตัวร้ายทั่วไปที่เราต้องเอาชนะอยู่ดี เควสหลักเลยเป็นอะไรที่ธรรมดามากครับ ผมว่าเควสเพื่อน อย่างเควสเซบาสเตียนยังมีอะไรน่าสนใจกว่าอีก
อีกอย่างหนึ่งคือเกมมันใส่สิ่งที่เหมือนจะเป็นทางเลือกเกี่ยวกับเนื้อเรื่องมาให้เรา แต่มันแทบไม่ส่งผลอะไรเลย ทั้งเรื่องทางเลือกบทสนทนา ทางเลือกว่าจะเรียนเวทศาสตร์มืดมั้ย ไม่ว่าคุณจะอยากให้ตัวละครตัวเองชั่วร้ายแค่ไหนสุดท้ายคุณจะไม่ได้เห็นอะไรที่มันเป็นชิ้นเป็นอัน ซึ่งอันนี้ยังพอเข้าใจได้ว่ามันก็คงให้เรากลายเป็นจอมมารมาทำลายฮอกวอตส์ไม่ได้หรอก แต่ประเด็นคือถ้าเกมมันไม่สามารถเล่นกับเส้นเรื่องเยอะ ๆ ได้ ก็ไม่ต้องบิลด์อารมณ์กันตั้งแต่แรกก็ได้มั้ง
บอกอย่างนี้ ไม่ได้หมายความว่าเกมนี้ไม่มีทางเลือกสำคัญ มันมีทางเลือกที่ส่งผลต่อเนื้อเรื่องหลักอยู่ แต่มันส่งผลแบบเบาบางและเพลย์เซฟมาก ถ้าอยากเล่าแบบนี้ เล่าเป็นเส้นตรงเหมือนเกม Single Player ทั่วไปก็ได้
อีกอย่างที่ค่อนข้างขัดใจคือการแสดงอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครผ่านงานพากย์ ผมไม่รู้ว่าคนที่เล่นตัวละครหญิงเจอแบบนี้มั้ย แต่สำหรับตัวละครชายงานพากย์ไปไม่ค่อยสุดครับ ฉากที่ต้องใส่พลังเพื่อเร้าอารมณ์มันยังเรียความสะเทือนใจไม่ได้ ซึ่งส่วนนึงก็อาจมาจากบทที่อ่อนด้วย
โลกเวทมนตร์ที่กว้างใหญ่แต่ยังไม่ไกลถึงเส้นขอบฟ้า
พูดถึง Hogwarts Legacy จะไม่พูดถึงงานออกแบบโอเพนเวิลด์ก็ไม่ได้ งานออกแบบโลกเวทมนตร์ในครั้งนี้ผมคิดว่ามันมีองค์ประกอบที่ครบตามสูตรสำเร็จครับ นั่นคือมันมีแผนที่ขนาดใหญ่พอสมควร มีรูปแบบการเดินทางที่ควรจะมีทั้งทางบกทางอากาศ รวมถึงการใส่จุด Fast Travel ก็มีให้อย่างเหมาะสม มีทัศนียภาพที่สวยให้อารมณ์หลุดเข้าไปในยุคกลางยุโรป มีกิจกรรม พวกเควสหลัก เควสรองให้ทำค่อนข้างเยอะ มีให้รับบทเป็นพีต้าเก็บน้อน ๆ สัตว์วิเศษ (ซึ่งก็มีให้จับเยอะมาก) มาดูแลในฟาร์มแบบฮาร์เวสต์มูนได้ด้วย
แถมระบบหนังสือนำทางก็ทำออกมาได้ดีเลย บอกเส้นทางชัดเจน ไม่ต้องคอยกดซ้ำ ๆ เพราะเอฟเฟกต์เส้นนำทางมันอยู่นาน และออกแบบมาดูไม่รกตา
เช็คลิสต์ทุกรายการด้านบน ดูแล้วเกมก็มีทุกอย่างที่โอเพนเวิลด์ตามมาตรฐานปัจจุบันควรมี ถึงแบบนั้น ถ้าให้ประเมินในแง่ความประทับใจ ผมรู้สึกว่าผมเฉย ๆ กับโอเพนเวิลด์เกมนี้ ไม่ใช่เพราะมันยึดติดสูตรสำเร็จนะครับ การยึดสูตรสำเร็จไม่ได้ผิดอะไร แต่ผมก็ต้องบอกตรง ๆ ว่า Hogwarts Legacy ยังมีปัญหาหลายเรื่องที่ทำให้ความเป็นโอเพนเวิลด์ของมันอยู่แค่ในระดับ คาบเส้น หรือ พอผ่าน ปัญหาที่ว่าก็จะมีหลายอย่างครับ เอาชัด ๆ เลยก็คือ
ความหลากหลายของดันเจี้ยนและศัตรู ไม่ว่าจะเควสหลักเควสรองมันอดตั้งคำถามไม่ได้จริง ๆ ว่า จะให้เราลงถ้ำอะไรขนาดนั้น แล้วถ้ำแต่ละที่ก็มีศัตรูเป็นแมงมุม พวกอันเดด เวียนว่ายตายเกิดกันอยู่นั่นแหละ โดยเฉพาะแมงมุมนี่ผมไม่เข้าใจว่ามันจะเยอะไปไหน มาทุกแบบ ทุกไซส์จริง ๆ ยกระดับขึ้นมาหน่อยก็พวกก็อบลินและพวกพ่อมดแม่สายมืด
หลายคนอาจจะแย้งว่า ถ้านับพวกศัตรูชั้นสูงอย่าง Infamous Foes มันก็ไม่ได้น้อย แต่ผมไม่ขอนับพวกนี้เป็นศัตรูตัวใหม่ ๆ นะครับ เพราะเอาเข้าจริงก็ต้องยอมรับว่าเกมนี้ใช้การรีโมเดล เปลี่ยนสกินไม่น้อยนะ โมเดลก็อบลินตัวนึงเอาไปทำก็อบลินสายนักรบ สายธนู สายนักเวท และอีกมากมาย ที่สำคัญศัตรูพวกนี้มันก็ใช้วิธีการรับมือแบบเดิม ๆ ตลอดทั้งเกม
ปัญหาอีกอย่างคือเรื่องการให้ช่องเก็บของ หลายคนอาจจะงงว่าแล้วมันเกี่ยวกับงานออกแบบโลกโอเพนเวิลด์เกมนี้ยังไง ประเด็นก็คือเกมให้ช่องเก็บอุปกรณ์สวมใส่เราตอนเริ่มต้นค่อนข้างจำกัดมาก มันเลยทำให้เราต้องคอยมาจัดการเคลียร์ของที่เก็บได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะขาย หรือ ทำลายทิ้งก็ตามแต่ ซึ่งมันไม่มีความสอดคล้องกับจำนวนหีบไอเทมที่เราเจอในแผนที่ พูดง่าย ๆ มันเหมือนคนทำระบบช่องเก็บอุปกรณ์ กับคนวางตำแหน่งหีบสมบัติไม่ยอมคุยไลน์กัน ว่าจะหาปริมาณที่เหมาะสมได้ยังไง
บางคนอาจจะแย้งว่าก็ไปทำ บททดสอบของเมอร์ลิน ตามแผนที่เพื่อเพิ่มช่องเก็บอุปกรณ์สิ ผมจะบอกเลยว่านี่ก็เป็นจุดอ่อนหนึ่งของ Hogwarts Legacy นะ คือการให้รางวัลเกมนี้มันมีความแปลก คิดดูว่าคุณต้องเสียเวลาไขปริศนาเพื่อแลกกับสิ่งที่ควรจะได้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว อย่างช่องเก็บของที่ควรจะให้ที่เก็บแบบไม่จำกัดตั้งแต่ต้นไปเลย ดันต้องมาทำบททดสอบเมอร์ลินแก้ปริศนาเพิ่มช่องเก็บอีก ทั้งที่ Hogwarts Legacy มันไม่ใช่เกมอย่าง Resident Evil 2 remake ที่มันเอาเรื่องการจัดการช่องเก็บของมาเป็นส่วนหนึ่งของความท้าทายให้ผู้เล่น การตัดสินใจให้ช่องเก็บของในเกมนี้มีจำกัดผมบอกเลยว่ามันทำให้ขัดประสบการณ์การเล่นค่อนข้างเยอะ
เพราะฉะนั้น Hogwarts Legacy อาจจะเปิดประตูสู่โลกแห่งเวทมนตร์ได้สมการรอคอย แต่ประตูบานนั้นไม่ได้นำผู้เล่นไปสู่ความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ของงานออกแบบเกมเพลย์แบบโลกโอเพนเวิลด์ ซึ่งต้องย้ำตรงนี้อีกครั้งนะครับว่าการที่ทีมพัฒนาเลือกจะเดินตามสูตรไม่ใช่เรื่องผิด นอกจากความผิดหวังของคนบางกลุ่มที่อยากเห็นนวัตกรรมใหม่ ๆ ของเกมเพลย์แนวนี้เท่านั้นเอง
ระบบต่อสู้
ส่วนที่ผมคิดว่าเกมทำออกมาได้เกินความคาดหวัง และผมคิดว่าน่าประทับใจกว่าเรื่องโอเพนเวิลด์อีก ก็เป็นระบบต่อสู้นี่แหละครับ ก่อนเกมจะออกผมจินตนาการแทบไม่ได้เลยว่าการต่อสู้ของพ่อมดแม่มดในเกมนี้มันจะมาออกมารูปแบบไหนนอกจากใช้ไม้กายสิทธิ์แทนปืนพก แล้วมันก็จะกลายเป็นเกมชูตเตอร์ไป แถมระบบการต่อสู้ของเกมที่มีอยู่ในตลาดมันก็ไม่น่าจะเอามาปรับใช้กับเกมนี้ง่าย ๆ เลย
แต่ผลที่ได้คือดีซะงั้นครับ มันกลายเป็นลูกผสมที่หยิบยืมการต่อสู้แบบนักเวทในเกม Dragon Age Inquisition บวกเข้ากับระบบเคาเตอร์ของเกม Batman Arkham Asylum แล้วใส่ความเป็นตัวเองเข้าไปด้วย คือศัตรูแต่ละตัวในเกมนี้จะร่ายคาถาเวทป้องกันสีต่าง ๆ ซึ่งเราต้องเลือกใช้เวทมนตร์ให้ตรงสีใส่พวกมันถึงจะล้างคาถาป้องกันได้ ดูแวบแรกพื้นฐานมันเหมือนจะง่าย คือ เน้นยิงเวท กับเน้นเคาเตอร์ แต่พอเราได้สู้กับศัตรูเยอะขึ้น หลากหลายขึ้น ไอ้ที่ว่าง่ายมันก็ต้องอาศัยกลยุทธ์เหมือนกัน
คอนเสปการต่อสู้แบบพ่อมดแม่มดในเกมนี้แน่นมาก อย่างพวกเอฟเฟกต์คาถาต่าง ๆ ที่เราเรียนมา มันเอามาผสมผสานเป็นสไตล์การต่อสู้ของเราได้เอง อย่างเวทปลดอาวุธศัตรู แล้วใช้อาวุธเหวี่ยงใส่ตัวเจ้าของ คอมโบเวทดึงศัตรูเข้าหาตัวแล้วปล่อยไฟ หรือคอมโบเวทที่ยกศัตรูให้ลอยจากพื้นแล้วใช้คาถากระแทกมันลงมาให้เป็นช็อกเวฟก็ OP มาก พวกเวทศาสตร์มืดก็จะให้อารมณ์ต่อสู้อีกแบบไปเลย คือเน้นทำให้ศัตรูเจ็บปวด เน้นควบคุม ไปจนถึงใช้ปิดงานเร็วฆ่าให้ตายในทีเดียว
พอระบบต่อสู้มันเข้าใจง่ายแต่ลึกและท้าทาย มีเวทที่ต่อคอมโบได้หลากหลาย ผมเลยรู้สึกว่า เออ นี่แหละ มันเข้ากับแฟนตาซีที่เราคิดเลยว่าเวลาพวกพ่อมดแม่มดมันสู้กัน มันจะต้องออกมาประมาณไหน
ข้อเสียไม่ใช่ตัวระบบต่อสู้เอง แต่เป็นการเซตช่องใส่เวทมนตร์ที่จำกัด กรณีนี้ก็แบบเดียวกับเรื่องช่องเก็บอุปกรณ์เลยครับ คือไม่เข้าใจว่าทำไมเกมไม่ใส่มาให้ผู้เล่นเลย ต้องเอาแต้ม Talent ไปปลดล็อกอีก ทั้งที่ของแบบนี้มันเป็นเครื่องมือพื้นฐาน มันไม่ควรเอามาใช้เป็นของรางวัลในการปลดล็อก
สรุป
ต้องบอกว่า Hogwarts Legacy ประสบความสำเร็จในฐานะที่มันทำหน้าที่เป็นประตูบานแรกของคนที่ยังไม่เคยก้าวเข้าสู่โลกเวทมนตร์ของ เจ. เค. โรว์ลิง ส่วนใครที่เป็นแฟนจักรวาลนี้อยู่แล้ว คุณจะได้เห็นแง่มุมใหม่ ๆ ของฮอกวอตส์ คุณจะได้เอาหัวใจพอตเตอร์แฟนไปนาบทุกอณูของโรงเรียนเวทมนตร์อย่างอิ่มอกอิ่มใจ พร้อมแฟนเซอร์วิสที่ใส่มาเยอะ แต่ไม่ให้ความรู้สึกว่ายัดเยียด ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย
นี่เป็นเกมที่ดีแน่นอนแบบไม่ต้องสงสัย ถึงแบบนั้น เกมนี้ก็มีประเด็นหลายอย่างที่ฉุดรั้งอยู่ จนการจะพูดว่า Hogwarts Legacy เป็นเกมที่สุดยอดมาก ๆ มันก็แอบจั๊กจี้นิดหน่อย ผมยังมองเห็นส่วนที่สามารถพัฒนาได้อีกเยอะ โดยเฉพาะงานเขียนบทของเนื้อเรื่องหลัก เกมเพลย์ที่ไม่กระชับ อะไรที่ควรให้ผู้เล่นมาตั้งแต่ต้นก็ไม่ให้ แต่ทั้งหมดทั้งมวล นี่เป็นงานรังสรรค์จาก Avalanche Software ที่ตั้งต้นมาได้แข็งแรงมาก พวกเขาทำสิ่งที่ยากที่สุดได้แล้ว การร่ายเวทต่อยอดผลงานนี้ต่อไปจะเป็นอะไรที่น่าจับตามองมาก
จุดเด่น
- การสร้างโลกแห่งเวทมนตร์ที่เติมเต็มแฟนตาซีแฟน ๆ Harry Potter ได้ดีที่สุดในตอนนี้
- กิจกรรมมากมายที่จะทำให้คุณหลงในโลกโอเพนเวิลด์นี้ไม่รู้ตัว
- ไม่จำเป็นต้องรู้เรื่อง Harry Potter มาก่อน ก็อินได้
- ระบบการต่อสู้ที่ยึดคอนเสปการตีกันของพ่อมดแม่มดได้อลังการและมีสไตล์
จุดด้อย
- เนื้อเรื่องหลักที่ดูจืดกว่าเนื้อเรื่องรอง
- ระบบให้รางวัลผู้เล่นที่ประหลาด ผู้เล่นต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อเอาสิ่งที่ผู้เล่นควรจะมีฟรี ๆ ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว