Games Reviews

Afterimage – รีวิว [REVIEW]

โดย G-jang

Afterimage – รีวิว [REVIEW]

*ขอขอบคุณ Ripples Thailand สำหรับโค้ดรีวิวมา ณ โอกาสนี้ครับ
**รีวิวนี้เล่นบน PlayStation 5

ในแวดวงวิดีโอเกมนี้ จะมีเกมแนวนึงที่เกมเมอร์เรียกกันจนติดปากและกลายเป็นการบ่งบอกแนวเกมกันโดยที่ไม่ต้องอธิบายมาก นั่นคือแนวเมทรอยด์วาเนีย (Metroidvania) ที่เป็นการผสมชื่อสองเกมเข้าด้วยกันคือเมทรอยด์ (Metroid) จากนินเทนโดและแคสเซิลวาเนีย (Castlevania) จากโคนามิ ซึ่งส่วนมากจะหมายถึงเกมแนวแอ็กชันแพลตฟอร์ม 2D (ซึ่งปัจจุบันเกม 3D หลายเกมก็เป็นสไตล์นี้) ที่มีแมปกว้างหลากหลาย และผู้เล่นสามารถย้อนไปเล่นฉากเก่าได้ ซึ่งก็มักจะเปิดเส้นทางใหม่ ๆ ได้หลังจากที่ตัวเอกมีความสามารถใหม่เพิ่มเติมแล้วนั่นเอง

สำหรับอาฟเตอร์อิมเมจ (Afterimage) ในครั้งนี้ ก็เป็นผลงานสไตล์เมทรอยด์วาเนีย 2D จากสตูดิโอ Aurogon Shanghai จากประเทศจีนครับ แล้วหลังจากที่ได้เล่นนั้นเป็นอย่างไร? ผมจะมาเล่าให้ฟังกัน


เนื้อเรื่อง

ในเกมนี้จะบอกเล่าเรื่องราวในดินแดนแฟนตาซีที่ชื่อเอ็นการ์ดิน (Engardin) ซึ่งถูกสรรค์สร้างขึ้นมาโดยเทพเจ้านามว่าลูกา (Luca) และได้มอบหมายให้เหล่าโกไลแอธ (Goliath) แห่งธาตุทั้งสี่คอยดูแล ซึ่งสรรพชีวิตในเอ็นการ์ดินต่างก็ถือกำเนิด สิ้นอายุขัย และถือกำเนิดใหม่เป็นวัฏจักร ทว่าสิ่งมีชีวิตอย่างมนุษย์นั้นทะเยอทะยาน และได้ก่อสงครามกับเหล่าโกไลแอธ จนผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือความเสียหายขนาดใหญ่ที่ปกคลุมไปทั่วเอ็นการ์ดิน จนสงครามได้สิ้นสุดลง

วัฏจักรแห่งการเวียนว่ายตายเกิดก็หยุดชะงัก มนุษย์แต่ละรายไม่อาจถือกำเนิดใหม่ได้อีก ดังนั้นมนุษย์ที่เหลืออยู่จึงได้รวมตัวกันอยู่เป็นชุมชนมาเป็นเวลาหลายปีหลังหายนะ ตัวเอกของเกมคือเรเน (Renee) คือหญิงสาวผู้สูญเสียความทรงจำและมีภูตน้อยอิฟรี (Ifree) ที่คอยติดตามไม่ห่าง วันหนึ่งหมู่บ้านที่เธออยู่ถูกโจมตีโดยไม่ทราบสาเหตุ และอาจารย์ของเธอก็โดนบุคคลลึกลับพาตัวไป เธอจึงได้ออกเดินทางค้นหาความจริง ซึ่งจะส่งผลต่อชะตาของทุกผู้คนในเอ็นการ์ดิน

ถ้าหากจะให้พูดในแง่ของตัวเนื้อหาของเกมนั้น อาฟเตอร์อิมเมจจะใช้วิธีการเล่าเรื่องแบบมาตรฐานทั่วไป คือมีบทสนทนากับ NPC มีการเล่าเรื่องราวเมื่อพบเจอกัน แต่ขณะเดียวกันก็จะใช้วิธีการเล่าเบื้องหลังและที่มาที่ไปของสิ่งต่าง ๆ ในโลกผ่านเอกสาร และรวมถึงลอร์ที่แฝงอยู่กับอาวุธหรือเครื่องป้องกันแต่ละชิ้นครับ แต่กระนั้น ในหลาย ๆ แง่มุมก็จะยังคงเป็นการเล่าแบบพอให้รู้เรื่อง ไม่มีประเภทที่มากางให้ดูจนหมดอยู่ดี ดังนั้นบางทีมันก็เลยจะทำให้เกิดความงง ๆ เหมือนกันเวลาตัวละครพูดถึงสิ่งไหนหรือเหตุการณ์อะไร โดยที่เรายังหาเอกสารหรือยังไม่ได้ไปอ่านลอร์จุดนั้นมา

ยังไม่นับว่าด้วยความที่เกมสไตล์เมทรอยด์วาเนียนี่ แต่ละแมปมันจะเชื่อมต่อเส้นทางกันมากกว่าหนึ่งช่องทางอยู่แล้ว เลยอาจเจอจุดที่คุณไปพบกับพล็อตพอยต์นึงที่คุณดันข้ามบางช่วงไปก่อนโดยไม่รู้ตัวก็ได้ครับ พอตัวละครคุยกันก็จะทำให้แบบ “เอ๊ะ? เราไปเจอกันตอนไหนวะ?” อะไรแบบนั้น

อ้อที่สำคัญคือ เกมนี้ฉากจบเยอะอยู่ครับ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณเก็บคีย์ไอเท็มครบไหม หรือทำอะไรมาก่อนเจอบอสทำนองนั้น ซึ่งทุกสิ่งอย่างสามารถพบเจอได้ในการเล่นรอบเดียว ไม่ต้องกังวลว่าจะพลาดแล้วพลาดเลย หากจะมีอะไรที่ทำให้งงหน่อยก็คือเหตุการณ์ที่ทำให้เจอฉากจบนี่ล่ะครับ แบบพอเล่นไปเจอก็ อ้าว…นี่จบเลยเรอะ… จนรู้สึกด้วน ๆ ห้วน ๆ ไปพอควร แต่ในทางกลับกัน ถ้าเล่นจบแบบ True Ending มันก็จะค่อนข้างน่าพอใจในระดับหนึ่งอยู่ แต่สิ่งค้างคาก็ยังมีเพียบนะ


เกมเพลย์

เกมเพลย์ของอาฟเตอร์อิมเมจนี่ เป็นอะไรที่คนคุ้นเคยกับสไตล์เมทรอยด์วาเนียจะทำความเข้าใจได้ไม่ยากเลย เพราะเกมเน้นที่ความเป็นแอ็กชันแพลตฟอร์มสูงอยู่ และความคล่องตัวของคุณจะเพิ่มมากขึ้นหลังจากได้ความสามารถพื้นฐานใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้คุณต่อสู้ได้ลื่นไหลกว่าเดิม รวมถึงย้อนฉากเก่าเพื่อสำรวจเปิดทางใหม่ ๆ ได้เยอะขึ้น

องค์ประกอบของ RPG นั้นมีทั่วไปทั้งเกมครับ เพราะตัวละครของคุณจะมีระบบเลเวล เมื่อเลเวลอัปก็จะได้ค่าสกิลไปอัปเกรด มีการตระเวนหาไอเท็มเพื่อขยายเกจพลังชีวิตหรือเกจเวทมนตร์ มีการหาอาวุธหรือเกราะใหม่ ๆ มาใช้ที่จะทำให้เรเนแข็งแกร่งขึ้น มีร้านค้า มี NPC มีเควสต์ให้ทำ ฯลฯ ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณคาดหวังจะได้พบจากเมทรอยด์วาเนีย ก็ใส่มาให้หมดเท่าที่จะนึกออก กระทั่งการทำอาหารกินเพื่อเพิ่มค่าพลังแบบถาวรก็ยังมี

ระบบต่อสู้นั้น รวดเร็วและลื่นไหลครับ ตัวเราจะติดตั้งอาวุธหลักได้สองชิ้น ซึ่งก็แล้วแต่ว่าคุณจะติดไว้ที่ปุ่มสี่เหลี่ยมหรือสามเหลี่ยม (บน PlayStation) โดยที่อาวุธในเกมจะมีด้วยกันทั้งหมด 6 อย่าง คือดาบธรรมดา, ดาบคาตานะ, ดาบใหญ่, มีดสั้นคู่, เคียว และแส้ ซึ่งแต่ละชนิดจะมีประโยชน์ใช้สอยต่างกัน และคุณสามารถอัปเกรดท่าใหม่ ๆ ได้ในสายสกิลของอาวุธด้วย วิธีการกดท่าก็จะเป็นการกดแบบเกมไฟติ้งครับ เช่นล่างหน้าโจมตี อะไรแบบนั้น มันเลยช่วยให้แท็กติกต่าง ๆ ในการต่อสู้ของคุณยิ่งหลากหลายขึ้นกว่าเดิม

ถ้าจะมีสิ่งหนึ่งที่ผมชอบมากเป็นพิเศษก็คือบอสไฟต์ของเกมครับ การออกแบบบอสแต่ละตัวนั้นทำออกมาได้ดี อลังการและสู้สนุกมาก ไม่ว่าจะเป็นบอสที่ตัวใหญ่เต็มจอ หรือบอสที่ขนาดตัวพอ ๆ กับเรา แต่ละตัวจะมีแพทเทิร์นการโจมตีที่ดูเจ๋ง ดูเท่ (และชวนหงุดหงิดบ้าง) ที่สำคัญคือมันไม่ง่ายครับ ด้วยความที่ทีมพัฒนานำเอาองค์ประกอบของเกมสไตล์โซลส์ (Souls) มาใช้ ที่หากเราพลาดตายไปจุดไหน EXP เราก็จะตกตรงนั้นต้องวิ่งกลับไปเก็บ องค์ประกอบนั้นมันก็เลยนำเสนอในรูปแบบของแดเมจที่เราโดนด้วย ถ้าคุณเจอบอสที่เลเวลใกล้เคียงกันยังพอทำเนา แต่ถ้าวิ่งไปเจอบอสที่เลเวลห่างกันมาก (ซึ่งผมเจอบ่อย) ก็อาจโดนสองสามทีร่วงได้แบบไม่แปลกอะไร

องค์ประกอบของเกมแพลตฟอร์มิงก็พบเห็นได้ตลอดทั้งเกมครับ ซึ่งไม่ใช่แค่ว่าต้องโดดข้ามระยะทางไกลไปให้ถึงจุดที่ต้องการเท่านั้นนะ แต่ว่าหลายครั้งเลยที่เกมจะต้องอาศัยความเป๊ะในการโดด ในการพุ่งตัว ในการเหยียบศัตรูเพื่อกระโดดต่อ ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้มักจะเป็นอุปสรรคขวางทางคุณในตอนที่ต้องการไปเก็บของเก็บไอเท็มดี ๆ มาใช้ครับ ถ้าใครที่ไม่ถนัดเกมแนวนี้ก็อาจจะปวดหัวกันได้พอควรเหมือนกัน

แต่เอาล่ะ ทั้งหมดที่ผมกล่าวไปคือข้อดีมาก ๆ ของเกมในด้านเกมเพลย์ มาว่ากันถึงข้อเสียบ้าง สิ่งหนึ่งที่เกมนี้ขาดค่อนข้างเยอะคือพวกฟีเจอร์ Quality of Life ทั้งหลายครับ หลัก ๆ เลยก็คือบรรดาเควสต์ของ NPC ที่เราได้พบเจอระหว่างทางนี่ล่ะ เพราะเกมนี้ไม่มี waypoint บอก ไม่มีคำใบ้ว่าควรแวะไปจุดไหน หรือไปทำอะไรต่อ กระทั่งว่า NPC ที่คุณเคยคุยนั้นอยู่ตรงไหนก็ไม่มีบอกครับ ถ้าคุณลืมตำแหน่งของ NPC นี่ก็แทบจะต้องวิ่งหากันใหม่ทุกซอกทุกมุม หรือพอคุณเคลียร์เงื่อนไขเควสต์ของ NPC แล้วมีการเปลี่ยนตำแหน่ง เกมก็จะไม่บอกว่าตัวละครนั้น ๆ จะไปไหนต่อ อาจมีเกริ่นบ้างในบทสนทนา แต่ปัญหาคือถ้าคุณลืมก็ไม่มีอะไรจะมาย้ำเตือนข้อมูลให้คุณเลย ไปกดดูในหน้าจอเควสต์ก็จะไม่มีบอกอะไร ปล่อยให้คนเล่นต้องวิ่งงมโข่งหาเอาเอง แล้วคือแมปเกมนี้ก็ไม่ใช่เล็ก ๆ ด้วยนะแถมเยอะอีกต่างหาก…

ในส่วนของระบบ Fast Travel ก็ค่อนข้างลำบากนิดหน่อยครับ คือเกมนี้จะมีจุดเซฟสองแบบที่เป็นต้นไม้ใหญ่ กับเป็นต้นไม้ขนาดเล็ก เมื่อเล่นไปพักหนึ่งคุณจะได้ความสามารถในการ Fast Travel มา แต่คุณจะเดินทางไปมาได้ระหว่างต้นไม้ใหญ่แค่นั้น หากจะเดินทางไปยังจุดที่เป็นต้นไม้เล็กจะต้องใช้ไอเท็มเอา ซึ่งไอเท็มที่ว่านี้ก็หาได้ตามฉากบ้างแต่มีน้อยและมีจำกัด ถ้าอยากได้เพิ่มคุณก็ต้องไปหาซื้อเอาจาก NPC (ที่โผล่มาประมาณกลาง ๆ ค่อนท้ายเกม) มันเลยทำให้การเดินทางไปยังแต่ละจุดนี่ค่อนข้างเหนื่อยเอาการอยู่เหมือนกัน


กราฟิกและงานออกแบบ

ก่อนอื่นเลย ต้องชื่นชมในหัวข้อนี้ว่าตัวเกมนั้นสวยมาก ถึงจะนำเสนอในรูปแบบเกม 2D วาดด้วยมือ แต่ทั้งฉากเอย ทั้งการเคลื่อนไหวตัวละครเอย มันสวยงามจริงครับ องค์ประกอบศิลป์ของแต่ละพื้นที่นี่โดดเด่นและแตกต่างกันชัดเจน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบรรดาตัวละครประกอบฉากหลายตัวที่ดูยิ่งใหญ่และอลังการอีกนะ ไม่ว่าจะบอสเอย หรือเป็นแค่ NPC ทั่วไปเอย เกมนี้จะมีอะไรให้เห็นแล้วชื่นชมตลอดเกมครับ

ที่สำคัญคือผมชอบการเคลื่อนไหวของตัวละครโดยเฉพาะเรเนมาก ที่สมูธและลื่นไหลไม่เบาถึงแม้จะเป็นสไปรต์ 2D ก็ตาม มันให้ความรู้สึกเหมือนตอนเห็นอาลูคาร์ด (Alucard) วิ่ง กระโดด หรือออกท่าต่อสู้ครั้งแรกในซิมโฟนี ออฟ เดอะ ไนต์ (Symphony of the Night) นั่นล่ะครับ ทีมงานวาดการเคลื่อนไหวออกมาได้ละเอียดดีจริง ๆ


เสียงประกอบ

เสียงเพลงประกอบฉากนี่มีหลายฉากเลยที่ให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่ อลังการใช้ได้ บางฉากก็ให้ความรู้สึกอ้างว้างเปลี่ยวเหงา สอดคล้องกับธีมของแมปนั้น ๆ ที่เราไปเยือน อย่างพอไปเยือน Grand Archives นี่ดนตรีก็จะใส่เสียงเหมือนระฆังโบสถ์เข้ามาประกอบ พร้อมกับเสียงไวโอลินที่รื่นหู ส่วนพอเป็น The Columns ดนตรีก็จะออกบรรยากาศแบบลึกลับ ราวกับว่ามีความลับซุกซ่อนอยู่


สรุป

Afterimage เป็นเกมสไตล์เมทรอยด์วาเนียที่เล่นสนุกและคุณภาพสูงใช้ได้ ตัวเกมท้าทายในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ยากจนชวนปาจอย แม้ยังขาดองค์ประกอบ QoL อยู่ในบางจุด แต่ก็คิดว่าเป็นอะไรที่สามารถแก้ไขได้โดยแพตช์ในภายหลังครับ ถ้าคุณชื่นชอบแนวเมทรอยด์วาเนียเป็นทุนเดิม ไม่มีผิดหวังแน่นอน อ้อ เกมมี Easter Egg จากซีรีส์อื่น ๆ ใส่ลงมาเยอะเหมือนกันนะเอ้อ!

The Review

80% เมทรอยด์วาเนียอินดี้ มีดีกว่าที่คิดเอาไว้

ถึงแม้ว่า Afterimage จะไม่ได้มีการเพิ่มเติมอะไรใหม่ให้กับแนวนี้ แต่ก็ถือว่าสนุกและมีองค์ประกอบหลายอย่างที่ครบถ้วนในแบบที่เกมแนวนี้พึงมี หากคุณชอบเมทรอยด์วาเนียเป็นทุนเดิม คุณก็จะสนุกไปกับเกมนี้ได้ไม่ยาก

80%

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ข้ามไปยังทูลบาร์