*ขอขอบคุณโค้ดรีวิวจาก Private Division มา ณ โอกาสนี้ครับ
**รีวิวนี้เล่นบน PlayStation 5
เกม After Us นี้เป็นหนึ่งในเกมอินดี้ที่ผมจับตามองห่าง ๆ อยู่ตั้งแต่ที่มีการเปิดเผยรายละเอียดออกมาในครั้งแรกครับ ด้วยคอนเซปต์ของเกมที่น่าสนใจและอาร์ตสไตล์ก็ดูเข้าท่าไม่หยอก ถึงแม้ว่าผมจะยังสงสัยว่าเกมมันจะเล่นยังไง รู้ตัวอีกทีเกมก็วางจำหน่ายแล้ว และผมก็ได้โอกาสในการมาเล่นเพื่อรีวิวนี่ล่ะครับ
เนื้อเรื่อง
สำหรับ After Us นี้เราจะรับบทเป็นบุตรีของ Gaia (ไกอา) หรือก็คือพระแม่ธรณีที่เป็นจิตวิญญาณของโลกนั่นล่ะครับ เราเป็นเพียงวิญญาณรูปร่างสาวน้อยตัวเล็ก ๆ ที่ได้รับหน้าที่จากผู้เป็นมารดาในการตระเวนไปทั่วโลกซึ่งล่มสลายเพื่อทำการปลดปล่อยวิญญาณของสิ่งมีชีวิตแปดชนิดที่มีเศษเสี้ยวพลังชีวิตของไกอาอยู่ ทว่าในยามที่สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นตายลง เศษเสี้ยวเหล่านั้นก็โดนพันธนาการเอาไว้กับซากเช่นกัน เราจึงมีหน้าที่ไปช่วยปลดปล่อยวิญญาณเหล่านั้นให้เป็นอิสระ เพื่อที่ไกอาจะได้ฟื้นคืนพลังและทำการฟื้นชีวิตให้กับโลกอีกครั้ง
หากจะว่าไปแล้ว ผมคิดว่าคอนเซปต์ของการออกเดินทางเพื่อฟื้นฟูโลกอีกครั้งนี่มันก็ไม่ใช่ของใหม่สักเท่าไรล่ะนะครับ เรียกได้ว่าทำออกมากันจนเกร่อเลยก็ว่าได้ แต่มันอยู่ที่ว่านำเสนอกันออกมาได้น่าสนใจและน่าติดตามแค่ไหน ซึ่งสำหรับ After Us นี่ผมก็คิดว่าทำออกมาได้มาตรฐานล่ะครับ คือมันตรงไปตรงมา ไม่มีจุดหักมุม ไม่มีทวิสต์ช่วงท้ายหรืออะไร เหมือนเน้นสร้างการตื่นรู้ให้กับคนเล่นและสังคมนั่นล่ะ แนว ๆ ว่ามนุษย์คือความเฮงซวยทั้งมวลที่ทำให้เกิดหายนะต่าง ๆ นานา เพราะบรรดาฉากต่าง ๆ ในเกมแต่ละช่วงก็จะเน้นย้ำให้เห็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นและก่อปัญหาให้กับโลกและให้กับสภาพแวดล้อมโดยรวม ในเชิงสัญลักษณ์บ้างหรือไม่ก็บอกกันตรง ๆ บ้างคละกันไป
สัญญะแต่ละอย่างก็เป็นอะไรที่คนเล่นน่าจะคุ้นเคยกันดี บ้างก็เป็นผืนดินแห้งผาก, กองเศษขยะเป็นพะเนิน, โรงงานอุตสาหกรรมที่ปล่อยสารพิษ, ป่าไม้ที่เหี้ยนเตียนเหลือแค่ตอ ฯลฯ ทั้งหมดทั้งมวลนี้คือสิ่งที่จะได้พบเจอตลอดทั้งเกม บรรยากาศโดยรวมมันเลยเป็นความหดหู่ ซึมเศร้า สิ้นหวังไปราว 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ แต่ในแง่การนำเสนอก็คงเรียกได้ว่ามันสมกับเป็นบรรยากาศของโลกหลังหายนะนั่นล่ะครับ
เกมเพลย์
สำหรับเกมเพลย์ของ After Us นั้นถ้าให้อธิบายภาพรวมก็คือเป็นแอ็กชันแพลตฟอร์มที่มีการต่อสู้แบบบาง ๆ ครับ ทั้งเกมจะเน้นไปที่การหาเส้นทางไปต่อ โดยที่ต้องอาศัยการสังเกตสภาพแวดล้อมเป็นหลัก ซึ่งพัสเซิลของเกมนี้จะเป็นลักษณะของ Environmental Puzzle ทั้งเกม นั่นคือจะไม่มีการที่คุณต้องมาหาของจุดนึงเพื่อไปใช้อีกจุดนึง หรือต้องมานั่งหมุนแผ่นป้ายให้ตรงกันอะไรแบบนั้น แต่คุณต้องมองพวกบรรดาสิ่งก่อสร้างรอบ ๆ ตัว ว่าตรงไหนไปได้ ไต่กำแพงได้ ตรงไหนที่คุณมีปฏิสัมพันธ์ได้ พวกนั้นแทน ถ้าจะให้เทียบเคียงแล้วเห็นภาพชัดเจนขึ้น ก็คล้ายเกมอย่าง Ico, Shadow of the Colossus หรือ The Last Guardian อะไรทำนองนั้นนั่นล่ะครับ แต่จะใกล้เคียงความเป็น Ico มากกว่าอีกสองเกม
ตัวเกมจะเน้นความเรียบง่ายเป็นหลัก ดังนั้นตลอดทั้งเกมจะไม่มี Hud ไม่มีสัญลักษณ์หรือไอคอนอะไรปรากฏบนหน้าจอของคุณเลย คุณต้องใช้ความช่างสังเกตของตนเองเป็นหลักเพื่อมองหาจุดที่จะสามารถไปต่อได้ เพราะเกมนี้ไม่มีระบบชี้นำทางให้คุณ (แต่ถามว่าพอมีอะไรบ่งชี้ไหม? ก็มีบ้าง แต่ต้องสังเกตเอาเองครับ) จะมีก็แต่ระบบนำทางให้คุณไปเก็บ collectibles ของเกม ซึ่งก็เป็นดวงวิญญาณย่อย ๆ ที่คุณสามารถปลดปล่อยได้นอกเหนือไปจากวิญญาณหลักทั้งแปด แล้วก็มี memories ซึ่งก็จะเป็นภาพวาดที่นำเสนอเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับธีมของแต่ละฉากนั้น ๆ ที่คุณเล่นอยู่
อย่างที่ผมบอกไปก่อนหน้านี้ว่าเกมเน้นความเป็นแพลตฟอร์มเป็นหลัก แต่ว่าภายในแต่ละฉากก็จะมีกิมมิกยิบย่อยเฉพาะฉากของตัวเองอยู่บ้างเช่นกัน บ้างก็เป็นการใช้พลังเคลียร์กองขยะที่ทับถมเพื่อค้นหาเส้นทาง หรือบ้างก็เป็นการวาร์ปผ่านโทรทัศน์จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง เป็นต้น ซึ่งมันก็พอทำให้การเล่นไปในแต่ละโซนมีความแปลกใหม่และแตกต่างกันอยู่บ้าง
ถึงกระนั้น ลูปเกมเพลย์รวม ๆ ของแต่ละฉากก็จะไม่ต่างกันมากนักครับ คือการหลบเลี่ยงอุปสรรคในฉาก และมีสู้กับศัตรูประปราย และไปให้ถึงจุดหมายเพื่อปลดปล่อยวิญญาณของสิ่งมีชีวิตที่มีเศษเสี้ยวพลังชีวิตของไกอาอยู่ มันเลยแอบทำให้เกมมีความรู้สึกที่เนิบช้าไม่ค่อยต่างกันตั้งแต่ต้นจนจบ คือมันให้ความบันเทิงได้นะ แต่มันจะไม่ได้รู้สึกสนุกในแบบที่เราคาดหวังจากการเล่นเกมมากนักครับ
อย่างไรก็ดี มีสิ่งหนึ่งที่จำเป็นต้องพูดถึงคือเรื่อง performance ของเกมโดยรวมครับ ตลอดการเล่นนี่ผมสังเกตเห็นว่าตัวเกมจะมีการ “ค้าง” ราว ๆ สองหรือสามวินาทีบ่อยครั้ง ซึ่งก็มักเป็นช่วงที่ผ่านเช็กพอยต์บางจุด เหมือนกับว่าเกมโหลดล่วงหน้าไม่ทัน เลยทำขาดจังหวะไปหลายรอบเหมือนกัน ที่สำคัญคือผมเจอเกมแครชเด้งออกมาหน้าจอเมนูไปราวสามครั้งได้ทั้งเกม โดยที่แต่ละรอบก็ไม่ได้มีอะไรที่ทำให้รู้สึกว่าเครื่องต้องประมวลผลหนักด้วยซ้ำไปนะ (ด้วยตัวเกมก็ดูไม่น่าจะมีอะไรประมวลผลเยอะอยู่แล้วด้วยซ้ำ) ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องเฟรมตกในจังหวะที่มีอะไรปรากฏบนหน้าจอเยอะอีกด้วย
กราฟิก
ในเชิงของกราฟิกนั้น ตัวเกมไม่ได้มีคุณภาพในลักษณะที่สวยเวอร์จนตะลึงหรือขับเน้นประสิทธิภาพเครื่องออกมาได้เข้มข้น (ก็แหงล่ะ นี่เกมอินดี้) มันเลยเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากติติงอะไรนัก เพราะเอาเข้าจริงมันก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญเท่าไรนัก แต่สิ่งที่ต้องชมก็เป็นพวกงานดีไซน์ต่าง ๆ นั่นล่ะครับ ผมชอบอาร์ตสไตล์ที่นำเสนอในแต่ละฉากนะ มันมีธีมในแบบของมันซึ่งโดดเด่นต่างกันไป
กระนั้นก็ดี ผมก็รู้สึกว่าเกมมันแอบหดหู่เกินไปด้วยสไตล์นำเสนอนี่ล่ะครับ หันไปทางไหนก็เจอแต่ความแห้งแล้ง เจอแต่ขยะ เจอแต่ซากปรักหักพัง ไหนจะซากหินรูปร่างมนุษย์ในอากัปกิริยาต่าง ๆ เต็มไปหมด ซึ่งเกมก็ไม่ได้อธิบายว่านี่เป็นแค่การนำเสนอเชิงสัญลักษณ์หรือเป็นซากมนุษย์จริง ๆ กันแน่ล่ะนะ
ดนตรีและเสียงประกอบ
เกม After Us นี้ มีเสียงดนตรีประกอบที่ค่อนข้างจะครบรสเหมือนกันครับ ถ้าในฉากสำรวจทั่วไปดนตรีจะออกแนวอ้างว้าง ๆ ชวนเหงา แต่พอเผชิญกับพวกศัตรูหรือภัยต่าง ๆ ตามฉากก็จะเร่งเร้าขึ้นมาให้รู้สึกตื่นตัว และเมื่อสามารถปลดปล่อยวิญญาณได้ ดนตรีก็จะผ่อนคลายและอบอุ่นขึ้นมาให้ได้ยิน ส่วนเรื่องเสียงพากย์นั้นไม่มีเลยทั้งเกม เวลาไกอาคุยกับเราก็จะเป็นแค่ซับไตเติลขึ้นให้อ่านเท่านั้นเอง มันเลยให้ความรู้สึกเหมือนเกมนี้เป็นเกมที่ค่อนข้างเงียบเพราะไม่มีตัวละครอื่น ๆ ให้เราคุยเลย
สรุป
ผมคิดว่า After Us นี้เป็นผลงานที่เหมือนเน้นความเป็นงานศิลป์เชิงสร้าง awareness มากกว่าที่จะเน้นความเป็นเกมครับ ผมโอเคกับสารที่นำเสนอนะคือชัดเจนและครบถ้วนดีแม้จะตรงไปตรงมาเกินไปนิดก็เถอะ ส่วนในแง่ความเป็นเกมก็ถือว่าพอได้ในการเป็นเกมแพลตฟอร์มรวมถึงกิมมิกต่าง ๆ ที่ผู้เล่นต้องใช้เพื่อผ่านฉากครับ กระนั้นก็เถอะ ผมคิดว่าถ้าเพิ่มแง่มุมความเป็นเกมมากขึ้นกว่านี้ ก็จะทำให้ตัวเกมมีความน่าสนใจมากขึ้นเหมือนกันครับ