News Reviews

Lords of the Fallen – รีวิว [REVIEW]

Lords of the Fallen – รีวิว [REVIEW]

Lords of the Fallen – รีวิว [REVIEW]

* รีวิวประสบการณ์หลังเล่น 30+ ชั่วโมง

** รีวิวนี้เล่นบนเครื่อง Playstation 5

***ขอขอบคุณโค้ดเกม (PS5) เพื่อการรีวิว จากบริษัท Ripples Thailand มา ณ โอกาสนี้ครับ

ท่ามกลางผลิตภัณฑ์ที่แปะฉลากว่าเป็น Soulslike กองกันเกลื่อนกลาดในหลายปีที่ผ่านมา ในขณะที่ความต้องการของผู้เล่นก็คาดหวังอะไรที่มันสูงยิ่งไปกว่าสูตรสำเร็จของการ เกิด-ตาย-วนเวียน มากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อที่จะทำให้ชื่อเกมของตัวเองโดดเด่นขึ้นมา และ Lords of the Fallen ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ต้องการจะสร้างนวัตกรรมใหม่บนฐานของ Soulslike

สำหรับรีวิวนี้ ต้องสารภาพครับว่าผมเองก็ยังเล่นไม่จบดี แต่เวลาที่ใช้ไปในเกมก็ประมาณ 30+ ชั่วโมง ซึ่งก็เพียงพอที่ผมจะมาบอกคุณผู้อ่านว่า Lords of the Fallen แห่งปี 2023 คือหนึ่งในเกม Soulslike ที่คุณควรจะพิจารณาเอากระเป๋าเงินของคุณเข้าไปเจอกับไฟนรกนี้หรือไม่

เราจะรับบทเป็นผู้ถือตะเกียงครับ มันเป็นตะเกียงที่จะส่องให้เราเห็นโลกที่มันโดนบดบังอยู่แต่ตาธรรมดาของเราไม่สามารถสัมผัสได้ ส่วนความสำคัญของมันต่อชะตากรรมของ Adyr และเหล่า Dark Crusader นั้นจะเป็นมาและเป็นไปยังไง ต้องไปพิสูจน์กันด้วยตัวเองครับ

ถ้าให้พูดกันในแง่วิธีการเล่าเรื่อง Lords of the Fallen เดินตามขนบสูตรสำเร็จของเกมแนวนี้แบบเป๊ะ ๆ เลยครับ ถ้าคุณชอบถูกจริตกับการเล่าเรื่องที่มันไม่ได้เป็นเส้นตรง ต้องไปคุยกับ NPC และทำการบ้านด้วยการอ่านลอร์ อ่านข้อมูลไอเทมหนัก ๆ แล้วเอามาเชื่อมต่อกัน โดยที่คุณก็ไม่รู้ว่าไอ้การเชื่อมของคุณ หรือ เหล่านักเชื่อมตามช่อง YouTube หรือใน Reddit มันจะตรงกับความตั้งใจของผู้สร้างโลกของเกมขึ้นมามั้ย Lords of the Fallen มันปรนเปรอคุณตรงจุดนี้ได้เต็มที่เลยครับ

ไอ้การปะติดปะต่อเรื่องราวกันเองจนเกิดทฤษฎีรายล้อมตัวเกมมากมายมันก็เป็นสเน่ห์อย่างหนึ่งของเกมตระกูลนี้มานานแล้ว แต่พูดอย่างอคติเลยนะครับก็คือผมค่อนข้างเบื่อ และที่มันเหนือยิ่งไปกว่าความเบื่อก็คือผมรู้สึกว่าการเล่าเรื่องแบบนี้มันอยู่ก้ำกึ่งระหว่าง ความตั่งใจจะเล่าเรื่องแบบนี้จริง ๆ หรือ ที่แท้ก็คือผลักภาระการตีความให้เป็นของผู้เล่น

โลกในเงามืด เสาหลักที่รับภาระเกินตัว

ถ้าจะมีอะไรสักอย่างในเกมนี้ที่สามารถแยกมันออกมาจากกองของเกม Soulslike ได้จริง ๆ ก็คือระบบตะเกียงส่องโลกใต้เงามืด ความเล่นใหญ่ของเกมนี้ก็คือพวกฉากที่เราเห็นกันมันจะมีเลเยอร์ซ้อนทับอีกชั้นหนึ่ง ถ้าตัวละครของเราชูตะเกียงขึ้นมามันจะเผยให้เห็นสิ่งที่ถูกปกปิดอยู่ ทั้งทางไปที่เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่า รวมถึงศัตรูในโลกนั้น แค่ได้ยินคอนเสปนี้ก็พูดได้เลยครับว่าแม่งดีงามมาก ดีจน…ผมสงสัยว่าแม้แต่ค่ายเกมยักษ์ใหญ่จะสามารถลงทุนกับคอนเสปที่เป็นเสาหลักขนาดนี้ได้มั้ย

การที่เกมเลือกจะเดินตามคอนเสปที่ว่ามาถือเป็นอะไรที่ทะเยอทะยานมาก เพราะนั้นหมายความว่านอกจากโลกของเกมที่ทีมงานสร้างขึ้นมาแล้ว โลกใบนี้จะต้องมีอีกชั้นหนึ่งก็คือโลกเงามืด Umbral ที่ต้องแสดงออกมาเมื่อผู้เล่นใช้ตะเกียงส่อง แล้วมันก็ไม่ได้หยุดแค่นั้น เพราะในโลก Umbral มันก็มีศัตรูเฉพาะในโลกนั้นอีก ซึ่งเวลายกตะเกียงส่องถ้าเราส่องเห็นศัตรูในโลก Umbral แล้วมันตีเราโดน เราก็จะเข้าสู่โลกนั้นทันที แต่ถ้าลดตะเกียงทันศัตรูมันก็จะหายไป

คอนเสปมันดูเข้าท่าดีน่ะ ออกแนวสยองขวัญหน่อย ๆ แต่ในแง่งานทางเทคนิคน่าจะโรงงานนรกอยู่พอตัว แล้วคงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมประสิทธิภาพการแสดงผลของเกมมันถึงต่ำตมขนาดนี้ ไม่ต้องไปไหนไกล เอาแค่ฉากเมนูก่อนเข้าเกมที่จะมีตัวละครเรายืนอยู่มันก็โหลดของสวมใส่เราไม่ทันแล้ว หรือ CG บางฉากที่อย่างกับเอาดินน้ำมันมาเข้าฉากเลย และเป็นมายันถึงตอนที่รีวิวนี้ลง (ซึ่งก็นับว่าช้ากว่าชาวบ้านไปเยอะแล้วน่ะ)

ความยากที่ข้ามเส้น

ถ้าคุณเล่นเกมนี้ไปสักพักแล้วไม่รู้สึกเกลียดไอ้ค่อมปาไฟ ไอ้ค่อมยิงสายฟ้า ไอ้ค่อมจอมผลัก ไปดูชื่อเกมดี ๆ เพราะคุณอาจไม่ได้เล่นเกมเดียวกับผมก็ได้ อย่างที่หลายคนน่าจะรู้กันดี หรือ รู้แบบซึ้งในหัวอกเลยว่าไอ้มุกยิงพลังจากระยะไกลมาก ๆ ๆ กับมุกผลักตกเหวมันเป็นอะไรที่กวนส้นเท้าคุณมากที่สุดอย่างหนึ่งในเกมแนวนี้แล้ว

เอาเข้าจริงมันไม่ใช่สิ่งที่แปลกใหม่อะไรหรอก คนผ่านเกม Souls เจ็บมากับไอ้มุกนี้ทั้งนั้น แต่ที่มันทำให้ผมต้องมาพูดถึงด้วยเสียงเคาะคีย์บอร์ดแบบเกรี้ยวกราดก็คือ มันมีเยอะแบบไม่รู้กาลเทศะครับ ซึ่งมันต่างจากพวกตระกูล Souls เพราะในเกมพวกนั้นเวลาเราเปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนไปเซตติ้งอื่น อุปสรรค หรือ ศัตรูมันก็จะแตกต่างกันออกไปเพื่อสะท้อนตัวตนของฉากนั้น เช่น ฉากที่เป็นบึงพิษก็จะเน้นการโดนเล่นงานด้วยพิษ ฉากที่เป็นกลไกกับดักก็จะมีกับดักโหด ๆ หรือศัตรูที่มันจะทำอะไรสักอย่างที่เราต้องไปโดนกับดักจนได้

แต่ใน Lords of the Fallen ซึ่งตัวเกมก็ไม่ได้สั้นเลย แต่ในระหว่างทางมันกระตุกจิตให้ผมคิดทุกครั้งว่า เมื่อไรจะเลิกวะไอ้มุกยิงไกล ไอ้มุกตกเหว แล้วก็ยังไม่นับไอ้มุกที่มันดูไม่ค่อยแฟร์อย่างการเอาไอเทมมาวางล่อให้เราเก็บ จากนั้นก็โดนตัวอะไรไม่รู้เขมือบหัวจนเราตายแล้วเกิดใหม่เข้าสู่โลก Umbral ทันที ซึ่งก็อย่างที่รู้กันครับว่ามันยิ่งเพิ่มความลำบากในการต่อสู้มาก ๆ ด้วยจำนวนศัตรูที่เยอะกว่าเดิม แล้วถึงเกมจะใส่ลูกเล่นอย่างผนังสีแดงที่เราสามารถใช้ตะเกียงระเบิดมันเพื่อทำความเสียหายกลุ่มได้ แต่ตอนเล่นจริง ๆ เราตกอยู่ในวงล้อมศัตรูขนาดนั้น มันแทบไม่ได้มีโอกาสใช้จริงหรอกครับ

อีกอย่างคือผมไม่รู้ว่าทีมพัฒนาเขามีปมอะไรกับคลาสนักเวท หรือ Cultist ในเกมนี้เหมือนกัน ทำไมมันถึงกลายเป็นคลาสที่รู้สึกเล่นแล้วได้ไม่คุ้มเสียขนาดนี้ พูดให้เห็นภาพก็คือนอกจากเวทตอนเริ่มเกมแล้ว กว่าคุณจะได้เวทไฟอื่น ๆ มายกระดับคุณภาพชีวิตมันนานมาก (Cultist ในเกมนี้เน้นใช้เวทไฟเป็นหลัก) แล้วมันจะต้องมีการไปทำเควสปลดปล่อย NPC เพื่อที่คุณจะสามารถซื้อเวทพวกนั้นได้ด้วย ถ้าคุณไม่รู้ว่าต้องไปปล่อย NPC ตัวไหนมาก่อนก็จบครับ มันอาจจะมีเวทบางเวทที่ได้จากความทรงจำของบอส (แนว ๆ เอาของจากบอสไปแลกกับ NPC นั่นล่ะ) แต่กว่าจะถึงจุดนั้นมันแทบจะเลยกลางเกมไปแล้ว

จนถึงจุดหนึ่งผมก็โยนไม้เท้าทิ้งไปเลย หันหน้าเข้าสู่ความเป็นบาร์บาเรียน ถือขวานสองมือจามหัวศัตรูนี่แหละได้อารมณ์กว่า เพราะถ้าไม่นับสายเวท การเล่นสายที่ใช้อาวุธธรรมดาจะรู้สึกสนุกกับเกมนี้ เพราะตัวอาวุธของเกมนี้เยอะมาก

สเกลโลกใหญ่เกินตัว

งานออกแบบฉาก หรือ การเชื่อมฉากไปกลับด้วยทางลัดผมถือว่าก็อยู่ในขั้นสอบผ่านครับ ในแง่สุนทรียะก็ได้รับการใส่ใจไม่น้อยเลย ถึงแบบนั้นทางไปมันก็ทารุณมากพอสมควร (แปลกใจ?) จุดเซฟหลัก ๆ ก็ไม่ค่อยเยอะเท่าไร แต่ยังดีที่เกมมันมีระบบให้เราหว่านเมล็ดปลูกจุดเซฟได้เองครับ ซึ่งถือเป็นอะไรที่เข้าท่าอยู่ แล้วพื้นที่ให้ปลูกก็มีค่อนข้างเยอะ แค่ผู้เล่นต้องรู้จักบริหารทรัพยากรดี ๆ แล้วไปปลูกจุดเซฟในที่ที่ควรอย่างก่อนหน้าห้องบอส

แต่อย่างที่บอกไปด้านบนครับ การจัดวางศัตรูก็ถือว่าเป็นงานออกแบบฉากอย่างหนึ่ง แล้วเกมนี้ทำออกมาได้น่ารำคาญ เพราะความหมกมุ่นจะผลักผู้เล่นตกเหวท่าเดียว บวกกับความหลากหลายของศัตรูในเกมนี้ก็น้อยด้วย ทำให้ลูกเล่นในฉากมันก็น้อยไปอย่างช่วยไม่ได้

สรุปอย่างเสียดาย

นี่คืออีกเกมที่ผมต้องไว้อาลัยให้กับศักยภาพที่เกมมันน่าจะเป็นไปได้มากกว่านั้น ในความทะเยอทะยานที่จะสร้างนวัตกรรมใหม่ ทำให้อย่างน้อยผมเห็น Lords of the Fallen สามารถหลุดพ้นจากความเป็นเกม Soulslike ดาด ๆ ทั่วไป เอาล่ะ อย่างน้อยที่สุด มันก็ยังมีสิ่งที่คนเล่นแล้วพูดได้ว่า เฮ้ย นี่มันเป็นเกมที่มีโลกซ้อนสองชั้น เฮ้ย ระบบตะเกียงมันเป็นคอนเสปน่าสนใจว่ะ

แต่ความบกพร่องทางเทคนิคก็หนักเกินกว่าคอนเสปที่ดีนี้จะแบกรับไหว เกมเต็มไปด้วยปัญหาทางเทคนิคที่พบเจอได้มากมาย ตั้งแต่โหลดไม่ทัน เฟรมร่วง และปัญหาที่เกิดจากการออกแบบเอง เช่น ความหมกมุ่นกับการเล่นมุกตกเหว มุกโดนมอนรุมซ้ำซากจนความท้าทายมันเลยเส้นไปสู่ความน่ารำคาญแทน

ที่บ่นมายืดยาวไม่ใช่ว่าเกมนี้มันคือขยะอิเล็กทรอนิกส์อะไรขนาดนั้น แต่มันคือความเสียดาย เสียดายว่าปีนี้เราน่าจะมีเกม Souls ดี ๆ มาตีกันอย่างน้อยก็ 2 เกม คือ Lies of P กับเกมนี้ แต่เรื่องของเรื่องคือ Lords of the Fallen มันทำอะไรเกินตัวไปหน่อย มันมีกลิ่นของการเน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ ผมเชื่อว่าถ้าเขาลดสเกลของโลกในเกมลงมาบ้าง เฉือนบางฉากออกแล้วไปลงทุนกับการสร้างศัตรูใหม่ ๆ หรือ ใช้เวลาไปกับการทำให้เกมมันรันอย่างลื่นไหลที่สุด ผลลัพธ์มันน่าจะออกมาดีกว่านี้ได้เยอะ เพราะตัวเกมมีองค์ประกอบความเป็น Souls ที่ดีระดับหนึ่งแล้ว

จุดเด่น

  • คอนเสปโลกซ้อนโลกและระบบตะเกียงส่องผี
  • ขนาดโลกกว้างใหญ่ ออกสำรวจได้สะใจเกิน 30 ชั่วโมง
  • มีองค์ประกอบความเป็นเกม Souls ที่ค่อนข้างครบถ้วน

จุดที่ต้องปรับปรุง

  • บั๊ก โดยเฉพาะการแสดงผล
  • การจัดวางศัตรูที่มีไม่กี่แบบ และมุกที่ซ้ำไปมา ทำให้มันเลยเส้นความท้าทายไปเป็นน่ารำคาญ

The Review

72% เกม Soulslike ที่มีแววไปได้ไกล แต่ไปไม่ถึง

72%

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ข้ามไปยังทูลบาร์