*ขอขอบคุณ Konami Digital Entertainment Limited สำหรับโค้ดรีวิวมา ณ โอกาสนี้ครับ
**รีวิวนี้เล่นบน PlayStation 5 โดยเลือก Quality Mode
ถ้าเอ่ยชื่อ Silent Hill ขึ้นมา ผมเชื่อว่าเกมเมอร์รุ่นใหญ่หลายคนน่าจะยังจดจำเอกลักษณ์ของแฟรนไชส์นี้กันได้ กับความเป็นเกมสยองขวัญเหนือธรรมชาติที่ตัวเอกจะต้องเอาชีวิตรอดภายในเมืองหมอกที่เต็มไปด้วยอันตรายรอบด้าน และโลกอีกด้านหนึ่งที่เต็มไปด้วยสนิมเกรอะกรัง โดยที่ Silent Hill 2 นั้นอาจเรียกได้ว่าเป็นภาคที่ส่งให้ชื่อของแฟรนไชส์ไปนั่งในใจใครหลายคน ด้วยรูปแบบการนำเสนอที่ลึกซึ้งและคมคาย
นับตั้งแต่ที่ต้นฉบับวางขายในปี ค.ศ.2001 เป็นต้นมา ผ่านมา 23 ปีในที่สุด Silent Hill 2 ฉบับรีเมกก็ได้มาให้ผู้เล่นได้สัมผัสอีกครั้งแล้วในปี ค.ศ.2024 นี้ ส่วนจะเป็นอย่างไร ผมจะเล่าให้ฟังกันครับ โดยในรีวิวนี้ผมเลือกความยากของการต่อสู้และการแก้ปริศนาที่ระดับ Normal ทั้งคู่ครับ
เนื้อเรื่อง
สำหรับ Silent Hill 2 ในเวอร์ชันรีเมกปี 2024 นี้ ยังคงมีเซ็ตติ้งและเนื้อหาในลักษณะเดียวกันกับเกมต้นฉบับ นั่นคือตัวเอกของเกมอย่างเจมส์ ซันเดอร์แลนด์ (James Sunderland) เดินทางมายังเมืองแห่งนี้เพราะเขาได้รับจดหมายที่ส่งมาให้โดยภรรยาของเขาแมรี (Mary) ที่เสียชีวิตไปแล้วเมื่อสามปีก่อน ซึ่งเนื้อความในจดหมายระบุแค่ว่าเธอจะรอเขา ณ สถานที่พิเศษของทั้งสองคน แม้ว่าเจมส์จะรู้สึกว่ามันไม่ควรจะเป็นไปได้ที่ภรรยาเขาจะส่งจดหมายมา แต่ความสงสัยมันก็พาเขามาที่นี่ในท้ายที่สุด ก่อนที่เขาจะได้รู้ว่าเมืองแห่งนี้มันมีอะไรบางอย่างมากมายที่ซุกซ่อนเอาไว้ภายใต้หมอกหนา
หากจะให้กล่าวกันตรง ๆ แล้วเนื้อหาของเกมในภาคนี้ก็ยังคงนำเอาบริบทและการเดินเรื่องของเกมภาคต้นฉบับมาใช้ แต่จะมีการเสริมเติมแต่งเข้าไปตามสมัยนิยม และอาจมีการสับขาหลอกอยู่บ้างในเชิงของจุดดำเนินเหตุการณ์ เพราะฉะนั้นถ้าคุณเป็นคนที่จดจำอะไร ๆ จากภาคต้นฉบับได้ หรือคาดเดาเอาไว้ว่า อ๊ะ พอมาตรงจุดนี้เดี๋ยวมันจะต้องเกิดสิ่งนี้ ๆ นะ ภาคนี้มันจะไม่เกิดครับ มีแค่ว่าพอคุณสำรวจปุ๊บเกมจะตัดมุมกล้องในลักษณะคล้าย ๆ กับคุณเดจาวูว่าที่นี่มันเคยเกิดอะไรบางอย่างขึ้น ด้วยเหตุนี้แม้คุณจะเล่นต้นฉบับมาจนพรุน แต่คุณก็ยังรับรู้ได้ถึงความสดใหม่ในการรีเมกรอบนี้
ถ้าจะให้ผมเปรียบเทียบในส่วนของเนื้อหาแล้ว อาจกล่าวได้ว่ามันคล้ายกับ Resident Evil 2 Remake ในแง่ที่ว่าเหตุการณ์หลัก ๆ จากต้นฉบับนั้นก็ยังคงมีให้คุณได้เห็น แต่มันจะนำเสนอในแบบที่แตกต่างไปจากเดิมระดับหนึ่ง ไม่ใช่เป็นการเดินตามต้นฉบับทุกย่างก้าวแบบ 100% ครับ เพราะฉะนั้นมันจะเป็น Silent Hill 2 ที่คุณคุ้นเคยแน่นอนแต่ขณะเดียวกันมันก็จะเป็น Silent Hill 2 ที่คุณยังไม่เคยเห็นด้วยเหมือนกัน
เกมเพลย์
มาว่ากันในส่วนของระบบการเล่นบ้าง ซึ่งในส่วนนี้ผมจะขอแบ่งออกเป็นสามหัวข้อหลัก ๆ ด้วยกันนั่นคือ การสำรวจ การต่อสู้ และการแก้ปริศนาครับ
การสำรวจ
ขึ้นชื่อว่าเป็น Silent Hill นั้น องค์ประกอบที่หลายคนคุ้นเคยก็คือการวิ่งสำรวจถนนหนทางและตรอกซอกซอยในเมืองที่เต็มไปด้วยหมอกหนาจนทำให้เรามองเห็นทัศนวิสัยเบื้องหน้าได้ไม่ไกลนัก ซึ่งในฉบับรีเมกนี้ก็ยังคงมีองค์ประกอบดังกล่าวครบถ้วนเหมือนกัน จะมีช่วงที่เกมเปิดให้เราวิ่งสำรวจอะไร ๆ ได้ระดับหนึ่ง แต่มันจะไม่ได้อิสระในระดับการเป็นโอเพนเวิลด์ครับ เพราะถนนหนทางก็จะยังมีจุดที่โดนปิดกั้น หรือทางขาดเป็นเหวลึก บีบให้เราต้องไปตามเส้นทางที่กำหนดเพื่อเดินเรื่องต่ออยู่ดี
ถึงอย่างนั้น ผมคิดว่าการสำรวจของเกมนี้ก็ทำออกมาได้สนุก และชวนให้เราลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยเพราะส่วนใหญ่คุณมักจะได้ไอเท็มพวกขวดยาฟื้นพลังหรือกระสุนเป็นรางวัล และสิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาจากต้นฉบับก็คือการที่เราสามารถใช้อาวุธในมือทุบพวกกระจกรถเพื่อหาไอเท็ม หรือกระจกร้านค้าเพื่อหาทางเข้าสถานที่นั้น ๆ ก็ได้เช่นกัน และยังเพิ่มเติมองค์ประกอบพวกการหากำแพงที่ผนังบางที่ทุบได้เพื่อไปต่อได้อีก มันเลยทำให้คนเล่นจะต้องสังเกตรอบ ๆ ตัวให้มากขึ้นกว่าเดิม
ในด้านของโลกสนิมที่หลายคนคุ้นเคยกันดีก็ทำออกมาไม่เลวครับ ทุกอย่างยังคงบรรยากาศความสกปรก ความเกรอะกรัง ความน่าอึดอัดเอาไว้ได้ครบถ้วน และสิ่งที่มาเสริมบรรยากาศในส่วนนี้ก็คือแสงและเงาที่ทำออกมาได้สมจริงดี คือจุดที่มืดมันก็มืดจริง ๆ ครับ แม้จะมีไฟฉายช่วยให้มองเห็นด้านหน้าได้ระดับหนึ่งแต่มันก็ไม่ทำให้เราสามารถวิ่งทะเล่อทะล่าไม่ดูตาม้าตาเรือได้ เพราะคุณจะไม่รู้ตัวว่าจะวิ่งไปหน้าชนเข้ากับตัวประหลาดตอนไหน
อย่างไรก็ตาม อีกจุดหนึ่งที่ต้องพูดถึงก็คือสภาพแวดล้อมในเกมไม่ว่าจะเป็นตอนหมอกหนาหรือเป็นโลกสนิม มันก็ชวนให้เดินหลงได้พอ ๆ กันครับ ด้วยความที่ทัศนวิสัยของเราไม่ค่อยดี มองอะไรไม่ได้ไกล ก็เลยอาจมีจังหวะที่คุณต้องกางแผนที่ออกมาดูบ่อย ๆ ว่าตอนนี้เราอยู่ไหนวะ…แต่ก็ยังดีที่ว่าแผนที่ของเกมนี้ยังคงบอกข้อมูลต่าง ๆ ให้กับผู้เล่นครบครัน ไม่ว่าจะประตูล็อก ทางขาด จุดที่ต้องแก้ปริศนา ฯลฯ เมื่อคุณเจอกับสิ่งใดที่สำคัญแล้วแผนที่จะมีการเขียนบอกให้คุณครบถ้วน ไม่ต้องกลัวว่าจะวิ่งวนหาจุดที่ต้องไปต่อหรือต้องแก้ปริศนาไม่เจอ
หนึ่งในส่วนที่เพิ่มเติมเข้ามาแล้วเพิ่มชีวิตชีวาให้กับเกมได้มากเลยก็คือบทสนทนากับเพื่อนร่วมทางของเราในเกมนี่ล่ะครับ จังหวะที่เกมต้องการให้เราไปสถานที่หนึ่งนั้น ถ้าคุณเป็นเกมเมอร์สายสำรวจล่ะก็ บ่อยครั้งคุณจะเดินออกนอกลู่นอกทางเพราะไม่อยากพลาดของหรือพลาดไอเท็ม แล้วเพื่อนร่วมทางก็จะคุยกับคุณว่า เอ่อ นี่เราเดินไปคนละทางกับจุดหมายนะ ซึ่งเจมส์ก็จะตอบแบบอึก ๆ อัก ๆ แบบให้เหตุผลไม่ได้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน แอบเป็นการ break the 4th wall เล็ก ๆ แซวคนเล่นโดยตรง
การต่อสู้
สำหรับระบบการต่อสู้ในภาครีเมกนี้ก็ยังคงรูปแบบหลัก ๆ คล้ายต้นฉบับครับ นั่นคือเราจะมีอาวุธประชิดเอาไว้หวดระยะใกล้ และอาวุธปืนไว้โจมตีจากระยะไกล ซึ่งถ้าใครจำต้นฉบับได้ก็จะรู้ว่าระบบต่อสู้ของเกมจะแอบงึก ๆ งัก ๆ นิดหน่อย มูฟเมนต์ต่าง ๆ จะไม่ค่อยสมูธมาก
พอรอบนี้ในรีเมกเกมก็เลยเพิ่มระบบการกดหลบเข้ามาครับ มันเลยทำให้คอมแบตจะใกล้เคียงกับภาคก่อนหน้านี้อย่างเช่นภาค Homecoming เพียงแต่มันจะไม่ได้มีการออกท่าเยอะแยะอะไรแบบนั้น เพราะจะยังไงซะเจมส์ก็เป็นแค่คนธรรมดา โดยที่จังหวะในการบู๊จะกึ่ง ๆ มีลักษณะผลัดกันตีอยู่เล็กน้อย เพราะว่าเมื่อเราตีศัตรูมันก็จะมีจังหวะชะงักอยู่บ้าง แต่คุณกดตีต่อเนื่องรัวไม่ได้ เพราะว่าเอไอศัตรูมันก็จะมีการโยกหลบหรือไม่ก็มีจังหวะที่มันไม่ชะงักเหมือนกัน คุณเลยต้องคอยดูท่าทางของมันเอาไว้ระดับหนึ่ง กดตีส่งเดชไม่ได้
ส่วนของระบบยิงนั้น ก็ทำออกมาค่อนข้างโอเคตามมาตรฐานครับ ในคราวนี้ตัวเกมจะใช้ระบบเล็งข้ามหัวไหล่ตามสมัยนิยม ดังนั้นหากใครเคยเล่นเกมสไตล์ใกล้เคียงกันมาก็จะไม่ต้องปรับตัวอะไรเยอะนัก แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่ผมสังเกตเห็นก็คือการเล็งของเจมส์นี่เป้าจะส่ายเยอะกว่าเกมยิงอื่น ๆ พอสมควรเหมือนกัน (ก็เข้าใจได้เพราะไม่ใช่คนที่ฝึกอะไรแบบนี้มา) มันเลยจะไม่ได้รู้สึกคล่องตัวมากนักครับ แต่ถึงอย่างนั้นเกมก็ไม่ได้ยากระดับที่ว่าคุณจะต้องหลบเป๊ะตลอด ยิงต้องแม่นทุกนัด เพราะเกมจะค่อนข้างใจดีเหมือนกันมีของพลังให้เยอะถ้าคุณขยันสำรวจ และกระสุนก็มีเหลือใช้ถ้าคุณไม่ยิงทิ้งยิงขว้างจนเกินไป
องค์ประกอบหนึ่งที่ต่างจากต้นฉบับอย่างเห็นได้ชัดเลยก็คือเกมมีความต่อเนื่องมากขึ้นครับ เพราะการกระดกขวดยาฟื้นพลังหรือการปักเข็มฉีดยาฟื้นพลังนี่คุณต้องทำแบบเรียลไทม์หมด ถ้าคุณกระดกผิดจังหวะก็อาจโดนท่อแป๊ปหวดหน้าได้ แล้วที่สำคัญคือการเรียกดูแผนที่หรือการเก็บไอเท็มสำคัญนี่ เกมไม่หยุดให้แล้วนะครับ เดิมทีในต้นฉบับนี่เวลาคุณเรียกดูแผนที่นี่มันเหมือนเป็นปุ่มสำหรับพักหายใจหายคอแล้วก็ดูว่าคุณจะต้องวิ่งไปทางไหนต่อ แต่รอบนี้ไม่ได้ครับ คุณอาจโดนตีได้ง่าย ๆ ระหว่างการกางแผนที่เลย เกมมันจะกดดันให้คุณต้องระวังตัวตลอดเวลา
อีกหนึ่งองค์ประกอบอันเป็นเอกลักษณ์ของเกมก็คือเสียงวิทยุครับ แฟน ๆ ของซีรีส์นี้น่าจะทราบกันดีว่าวิทยุนี่ทำหน้าที่เป็นสัญญาณเตือนเวลามีศัตรูอยู่ใกล้ ๆ และรอบนี้มันก็ทำหน้าที่ของมันได้ดีมาก ยิ่งพอเป็น PS5 นี่เสียงจะออกจากลำโพงของคอนโทรลเลอร์กันชัด ๆ เลย พอผนวกเข้ากับสภาพแวดล้อมที่บดบังทัศนวิสัยของคุณไม่ว่าจะหมอกหรือความมืดแล้ว พอเสียงดังขึ้นมาทีคุณจะได้หยุดกึกแล้วก็หันซ้ายหันขวา มองหน้ามองหลัง เงยหน้ามองบนก้มหน้ามองพื้นแทบจะตลอดเวลาแน่นอน ว่าจุดไหนที่มันมีศัตรูอยู่
ในแง่นี้ ผมคิดว่าแสงกับเสียงของเกมมันทำหน้าที่เสริมกันได้ดีมากทั้งการสร้างบรรยากาศและสร้างความกดดันให้คนเล่น ถือเป็นคอมโบที่ทรงประสิทธิภาพกว่าที่คิดไว้จริง ๆ
อ้อ เกมนี้ก็มีจังหวะตุ้งแช่จัมป์สแกร์ประปรายแม้ว่าทั้งเกมจะมุ่งไปที่การสร้างบรรยากาศให้กับคนเล่นก็ตาม ที่แสบคือตลอดเกมมันจะมีศัตรูบางจำพวกที่หลบหรือยืนนิ่ง ๆ ดักรอหวดเราอยู่ แต่วิทยุมันไม่ดังเตือนครับ จะดังก็ต่อเมื่อเราสังเกตเห็นมันโดยการเล็งปืนใส่หรือไม่ก็มันขยับเพราะเราเข้าไปใกล้แล้วเท่านั้น ซึ่งมันก็ทำคนเล่นสะดุ้งได้เหมือนกันหากว่าไม่ทันตั้งตัว
ทีนี้ ปัญหาหนึ่งที่ผมเจอในการต่อสู้ก็คือเมื่อเป็นการสู้ในที่แคบ ๆ ในห้องหรือตามทางเดินนี่บางทีถ้าหวดกันประชิดแล้วมุมกล้องมันจะแอบเหวี่ยงจนมองไม่ค่อยออกว่าตัวเราอยู่ไหนและศัตรูอยู่ไหนครับ ซึ่งไอ้การสู้ในที่แคบนี่มันจะพ่วงมากับความมืดตลอด หลายครั้งเลยทำให้แอบรำคาญนิด ๆ เหมือนกันเพราะเดิมก็มองอะไรได้ยากอยู่แล้วก็ยิ่งกลายเป็นยากเข้าไปใหญ่
การแก้ปริศนา
จุดนี้ถือเป็นหนึ่งในไฮไลต์ของเกมที่ดีมากสำหรับผมเลยครับ ปริศนาแต่ละจุดของเกมนี้คงเอกลักษณ์ความเป็น Silent Hill เอาไว้ได้ครบถ้วน เพราะไม่ใช่แค่การหยิบเอาของจุดนี้ไปใส่จุดนั้นแล้วผ่าน แต่คุณต้องสังเกตสภาพแวดล้อม ต้องอ่านคำใบ้ ต้องคิดว่าเกมต้องการให้เราทำอะไรในจุดนั้น ๆ ซึ่งพวกคำใบ้นี่บางทีก็ซ่อนอยู่ในบทความ บ้างก็มาเป็นกลอน มีหลายจุดเลยที่พอหยิบไอเท็มมาใช้ปุ๊บก็ต้องแก้ปริศนากันต่ออีกทบหนึ่งถึงจะผ่านได้
หากใครชอบอะไรที่ต้องคิดเยอะ ๆ แก้พัสเซิลหลายทบนี่จะสนุกไปกับ Silent Hill 2 มาก ๆ แต่ถ้าจะมีอะไรที่ต้องเตือนกันก็คือพัสเซิลในลักษณะนี้จำเป็นต้องใช้ทักษะภาษาอังกฤษเยอะครับ ดังนั้นใครที่ภาษาอังกฤษไม่แข็งแรงก็น่าจะลำบากกันพอสมควร (แต่เกมก็มีตัวเลือกความยากของพัสเซิลแบบง่ายให้เลือกนะ)
กราฟิกและการนำเสนอ
ในส่วนของกราฟิกนั้น หากตัดความนอสตัลเจียของภาคต้นฉบับออกไป ผมคิดว่ากราฟิกของ Silent Hill 2 ในฉบับรีเมกนี้ทำออกมาได้ดูดีครับ เสื้อผ้าหน้าผมตัวละครนี่ทำออกมาสวยงามดีสมราคา Unreal Engine 5 แต่ที่ชอบที่สุดก็ไม่พ้นพวกการแสดงออกทางสีหน้าของแต่ละคน ที่ดูแล้วเห็นได้ค่อนข้างชัดเจนว่าแต่ละคนนี่ต่างก็มีบางสิ่งซุกซ่อนในใจ มีเรื่องที่ปิดบังในใจกันทั้งนั้น ส่วนตัวผมคิดว่านักพากย์และนักแสดงแต่ละคนในรอบนี้ทำหน้าที่ของตนออกมาได้ดีเลยทีเดียว
แต่สิ่งที่ผมชอบที่สุดก็ไม่พ้นพวกสภาพแวดล้อมโดยเฉพาะในโลกสนิมรวมถึงการออกแบบตัวประหลาดต่าง ๆ ในครั้งนี้ครับ มันมีความน่าขยะแขยง มีความสกปรก มีรูปลักษณ์ที่เหมือนจะมองออกว่าเป็นอะไร แต่ก็มองไม่ออกว่าจะให้เป็นอะไรอยู่ในทีเดียวกัน ดีไซน์ของมอนสเตอร์ต่าง ๆ นั้นอิงจากต้นฉบับแต่ก็มีการเพิ่มเติมเอกลักษณ์ในแบบฉบับรีเมกเข้าไป ซึ่งทุกอย่างส่งเสริมบรรยากาศในแบบเสมือนฝันร้ายได้ดีเลย
งานออกแบบต่าง ๆ ในเกมนี้ล้วนมีนัยยะแฝงอย่างลึกซึ้งกับเรื่องราวและตัวละครในเกม (ซึ่งก็เป็นไปตามต้นฉบับ) ดังนั้นใครที่ชอบรายละเอียดหรือเนื้อหาอะไรในเชิงจิตวิทยาล่ะก็คุณจะชอบงานออกแบบของเกมนี้แน่นอน
งานเสียง
ในส่วนของงานเสียงนั้น เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่ทำออกมาได้ยอดเยี่ยมครับ ซาวด์เอฟเฟกต์ในเกมคือตัวขับบรรยากาศออกมาได้เยี่ยม ทั้งความอึดอัด ความวังเวง ความไม่น่าไว้วางใจ พวกเสียงที่ได้ยินในระหว่างเล่นนี่มันจะทำให้เราไม่รู้ว่าไอ้เสียงที่ได้ยินนี่มันอยู่ใกล้ตัวเรา หรือว่าเป็นแค่เสียงประกอบบรรยากาศเท่านั้น เสียงตะแกรงเหล็กเอี๊ยดอ๊าด เสียงประตูปิด เสียงลมพัด พอบวกกับเสียงวิทยุเวลามีศัตรูอยู่ใกล้มันก็ชวนทำประสาทเสียได้เนือง ๆ ครับ
งานพากย์ของแต่ละคนนั้นผมคิดว่าทำออกมาได้ดีกว่าที่คิดเอาไว้ทีแรก น้ำเสียงแต่ละคนนี่สมคาแรคเตอร์กับสถานการณ์ ไม่มีเล่นใหญ่โอเวอร์เกินไป ทุกอย่างกำลังพอดี ๆ ครับ
สรุป
Silent Hill 2 Remake รอบนี้ถือเป็นการรีเมกที่ทั้งเคารพต้นฉบับ และเพิ่มเติมองค์ประกอบให้เกมสดใหม่เข้ามาอีก แม้จะแอบรู้สึกว่าระบบต่อสู้มันขลุกขลักนิดหน่อย แต่โดยรวมแล้วนี่คือเกมเอาชีวิตรอดสยองขวัญที่จะถูกใจแฟน ๆ ของเกมแนวนี้แน่นอนครับ ยิ่งถ้าคุณเคยเล่นต้นฉบับมาแล้วล่ะก็ภาคนี้จะทำให้คุณได้ทั้งรำลึกความหลังและได้ความแปลกใหม่ไปในรอบเดียวกันครับ