Games News Reviews

Life is Strange Double Exposure – รีวิว [REVIEW]

โดย G-jang

Life is Strange Double Exposure – รีวิว [REVIEW]

*ขอขอบคุณโค้ดรีวิวจาก Bandai Namco Entertainment และ Square Enix มา ณ โอกาสนี้ครับ
**รีวิวนี้เล่นเวอร์ชัน PlayStation 5

Life is Strange ภาคแรกนั้นวางจำหน่ายในปีค.ศ.2015 ซึ่งก็ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากเกมเมอร์ในฐานะของเกมแนวทางเลือก ด้วยธีมของเกมที่ผสมผสานพลังเหนือธรรมชาติเข้ากับการสืบสวนสอบสวนเพื่อหาความจริงโดยที่ตัวเอกของเกมอย่างแมกซ์ คอลฟิลด์ (Max Caulfield) มีพลังในการย้อนเวลาเพื่อแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า หรือเปลี่ยนแปลงการกระทำของตน จากนั้นตัวเกมก็ได้มีภาคต่อรวมถึงเนื้อหาเสริมอีกมากมายระดับหนึ่ง

ซึ่งคราวนี้ ภาคใหม่ก็วางจำหน่ายอีกครั้งพร้อมด้วยตัวเอกจากภาคแรกอย่างแมกซ์ ที่มาให้ผู้เล่นได้สัมผัสกับธีมพลังเหนือธรรมชาติและสืบสวนสอบสวนเช่นเคย ส่วนจะเป็นอย่างไรนั้นผมจะมาเล่าให้ฟังกันครับ


เนื้อเรื่อง

สำหรับเรื่องราวในภาค Double Exposure นี้ จะพาผู้เล่นไปติดตามชีวิตของแมกซ์ในวัยทำงานที่ได้มาใช้ชีวิตเป็นศิลปินควบตำแหน่งอาจารย์ด้านการถ่ายภาพ ณ มหาวิทยาลัยศิลปะที่ชื่อคาเลดอน (Caledon) โดยชีวิตความเป็นอยู่ของเธอก็ไปได้ดี มีเพื่อนสนิทซึ่งเป็นอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยชื่อซาฟี (Safi) รวมถึงคณาจารย์อื่น ๆ ก็เป็นมิตรกับเธอ

แต่แล้ววันหนึ่งชีวิตเธอก็ต้องตกอยู่ในความวุ่นวายอีกครั้ง เมื่อเกิดเหตุฆาตกรรมในมหาวิทยาลัยโดยมีซาฟีเป็นผู้เคราะห์ร้าย จากนั้นพลังพิเศษของเธอที่หายไปเป็นเวลานานก็ได้กลับมาใหม่ แต่ในคราวนี้มันทำให้เธอสามารถข้ามมิติไปมาได้ระหว่างเส้นเวลาที่ซาฟีมีชีวิตและเส้นเวลาที่ซาฟีตาย เธอจึงต้องหาความจริงให้พบว่าใครคือผู้ลงมือและทำไปทำไม

ถ้าจะว่าไปแล้ว ความสำคัญของเกมแนวทางเลือกแบบนี้สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเนื้อหาของเกมนี่ล่ะครับ ว่าจะมีเรื่องราวชวนติดตามแค่ไหน มีการเฉลยปมอย่างไร และขมวดจบในตอนสุดท้ายอย่างไรให้คนเล่นรู้สึกประทับใจได้ ซึ่งในจุดนี้ Double Exposure ทำเนื้อหาออกมาได้น่าติดตามและมีจุดพีคในช่วงกลาง ๆ เกมชนิดที่ว่าพอเล่นเจอแล้วต้องถึงกับอุทาน ‘อ้าวเฮ้ย’ กันเลยทีเดียว และจุดพีคที่ว่ามันก็ชวนให้อยากเล่นต่อเนื่องกันไปยาว ๆ ว่าสุดท้ายจะเฉลยออกมาอย่างไร

แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า…พอเลยจุดพีคกลางเรื่องที่ว่ามาแล้ว ผมรู้สึกว่าตัวเรื่องมันเหมือนหาโฟกัสไม่เจอ หาจุดลงไม่ได้ ราวกับว่าทีมงานเปลี่ยนแนวทางหรือเปลี่ยนเนื้อหากันกะทันหัน มันเลยดูแปลกไปหมด ซึ่งผมก็เข้าใจอยู่ว่าตัวเกมนั้นมีองค์ประกอบของพลังเหนือธรรมชาติเป็นแกนหลักอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าพอเกมไปโฟกัสที่จุดนั้นแทน ส่วนของความลึกลับในประเด็นสืบสวนสอบสวนมันก็เลยหายไปเลยดื้อ ๆ ถ้าจะให้เทียบก็เหมือนเวลาคุณดูซีรีส์สืบสวนสอบสวนมาอยู่ดี ๆ แล้วจู่ ๆ พลิกกลายเป็น Marvel Cinematic Universe น่ะครับ มันเปลี่ยนแนวกันไปประมาณนั้นเลยล่ะ

ยังไม่นับว่าตัวละครบางตัวที่ดูเหมือนใส่มาให้มีบทบาทสำคัญ แต่ก็โดนตัดบทไปแบบงง ๆ ชนิดที่แบบ อ้าว? แค่นี้เอง แถมบทสรุปสุดท้ายของเรื่องราวก็ดูไม่ค่อยมีอิมแพกต์เหมือนตอนจบภาคแรกครับ เพราะทีมงานตั้งใจจบเรื่องแบบให้มีต่อแน่นอน แต่เป็นการต่อในลักษณะของ Marvel Cinematic Universe อย่างที่ผมบอกไป มันเลยทำให้เสน่ห์ของเกมซีรีส์นี้จากเดิมมันหล่นหายไปประมาณหนึ่งเลย


เกมเพลย์

สำหรับระบบการเล่นของ Double Exposure นี้ไม่มีอะไรซับซ้อนมากนัก และเน้นที่การเดินสำรวจ เดินคุยกับผู้คน และหาข้อมูลที่สำคัญเพื่อเดินเรื่องราวต่อ ซึ่งพลังของแมกซ์ในรอบนี้จะเน้นที่การสลับไทม์ไลน์เป็นหลัก โดยที่ว่าผู้คนในไทม์ไลน์คู่ขนานแม้จะเป็นคนเดียวกัน แต่สิ่งที่คุยหรือสิ่งที่รับรู้ก็ต่างกัน ดังนั้นรูปแบบการหาข้อมูลของคุณก็จะเป็นการสลับไปมาระหว่างไทม์ไลน์ เพราะข้อมูลบางอย่างหรือการเข้าถึงสถานที่บางจุดคุณอาจทำไม่ได้ในไทม์ไลน์หนึ่ง แต่ทำได้ในอีกไทม์ไลน์หนึ่งนั่นเอง

ระบบการสลับไทม์ไลน์ที่ว่านั้นผมมองว่าเป็นอะไรที่เข้าท่าและไอเดียดีใช้ได้อยู่ เพราะคุณจะได้ใช้พลังนี้สลับไป ๆ มา ๆ ตลอดทั้งเกม แต่ถึงแม้ไอเดียจะดี ผมกลับรู้สึกว่าทีมงานใช้ประโยชน์จากไอเดียนี้ได้ไม่สุดอย่างที่ควรจะเป็นครับ เพราะว่าผลลัพธ์จากสิ่งต่าง ๆ ที่เรากระทำข้ามไปมานั้นมันดูไม่มีผลกระทบต่อเรื่องราวมากอย่างที่ควรจะเป็น บางจุดเป็นอะไรที่เล็ก ๆ น้อย ๆ ชนิดที่ไม่ได้ส่งผลอะไรกับแกนเรื่องหลักเลยก็ว่าได้ ถือว่าเป็นอะไรที่ค่อนข้างน่าเสียดายเหมือนกัน แม้แต่พลังในการแอบฟังบทสนทนาหรือแอบดูเหตุการณ์ข้ามไทม์ไลน์ก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์เยอะอย่างที่คิดครับ

ในส่วนของระบบการเลือกคำตอบของบทสนทนาก็ยังคงมีอยู่ และตลอดทั้งเกมก็จะมีตัวเลือกที่ดูจะสำคัญเข้ามาให้คุณเลือกที่จะทำฉากนำเสนอในแนวทางต่างไปจากตัวเลือกทั่ว ๆ ไป เหมือนบอกเป็นนัย ๆ ว่าอันนี้คือตัวเลือกที่จะเป็นจุดเปลี่ยนของเนื้อหานะ เพียงแต่ว่า…เอาเข้าจริงตัวเลือกมันก็ไม่ได้ส่งผลอะไรกับแกนเรื่องหลักครับ ซึ่งมีตัวอย่างที่ชัดเจนมาก ๆ ของเกมอยู่ฉากหนึ่งที่ให้เราเลือกว่าจะช่วยตัวละครหนึ่งหรือว่าไม่ช่วย ถ้าคุณเลือกไม่ช่วย ตัวละครนั้นก็จะสลายไป แต่ถ้าคุณเลือกช่วย…ตัวละครนั้นก็สลายไปอยู่ดี แล้วบทหายไปเลยทั้งเกม ซึ่งตัวเลือกลักษณะนี้จะมีเรื่อย ๆ ทั้งเกมชนิดที่ผมไม่เข้าใจว่าจะใส่มาทำไมเหมือนกัน เพราะมันจะต่างกันแค่รายละเอียดปลีกย่อยเล็กน้อย แต่ผลลัพธ์สุดท้ายมันไม่ต่างกัน

ซึ่งผลลัพธ์ที่ไม่ต่างกันที่ว่า มันก็รวมถึงฉากจบเกมด้วยครับ เทียบกันแล้วภาคแรกสุดยังมีฉากจบสองแบบตามสิ่งที่เราเลือก แต่รอบนี้ไม่ว่าคุณจะเลือกอะไร มันก็จบเหมือนกันอยู่ดีต่างกันแค่รายละเอียดปลีกย่อยแค่นั้นเอง ถือเป็นอะไรที่น่าเสียดาย เพราะผมรู้สึกว่านี่เป็นเกมทางเลือกที่มีเนื้อหาหลัก fix เอาไว้แล้ว และตัวเลือกก็ไม่ได้ส่งผลอะไรในลักษณะที่มีความหมายครับ

ส่วนระบบถ่ายภาพในเกมนี้ก็ไม่ได้มีอะไรสำคัญมากนอกจากเป็นกิมมิคเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้สมกับที่แมกซ์เป็นตากล้องนั่นล่ะครับ ข้อดีก็คือคุณอาจจะได้รู้อะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งที่ถ่ายหรือบุคคลที่เป็นแบบให้เล็กน้อยนั่นเอง


กราฟิกและการนำเสนอ

ในส่วนของงานภาพนั้น Double Exposure ถือว่าโดดเด่นใช้ได้เลยทีเดียว กราฟิกเกมอาจจะไม่ได้เนี้ยบคมชัดทุกรูขุมขนเหมือนเกมฟอร์มยักษ์หลายเกม แต่อาร์ตสไตล์นั้นทำออกมาสวยงามดีจริงสมกับที่มีเซ็ตติ้งเป็นมหาวิทยาลัยศิลปะ ส่วนฉากคัตซีนก็เล่นมุมกล้องได้เจ๋งมีองค์ประกอบภาพที่สวยงามและชวนเหงาได้ดีไม่เบา อีกประการหนึ่งก็คือการเล่นโทนสีของไทม์ไลน์ในเกม เพราะถ้าเป็นไทม์ไลน์ที่ซาฟียังมีชีวิตอยู่โทนสีจะออกสว่าง แต่ไทม์ไลน์ที่ซาฟีตายนั้นโทนสีจะออกเทาหม่นกว่าแบบชัดเจนแม้จะเป็นสถานที่เดียวกัน

พอพูดถึงด้านของการนำเสนอนั้น Life is Strange ใส่ประเด็นนำเสนอในแง่ของ LGBT มาตั้งแต่ภาคแรก เพราะตัวเอกอย่างแมกซ์สามารถเลือกได้ว่าจะผูกสัมพันธ์กับชายหรือหญิง และภาคนี้เองก็มีตัวเลือกในลักษณะเดียวกัน เพียงแค่ว่าในคราวนี้ของ Double Exposure ออกจะหนักมือในแง่การนำเสนอมากไปจนฝืนครับ บรรดาตัวละครสำคัญ ๆ ในเกมนี้เป็น LGBT กันหมดเลยจนมันดูไม่ธรรมชาติมาก ๆ เทียบกันแล้วภาคแรกยังนำเสนอได้ดูมีชั้นเชิงกว่านี้ครับ แต่ก็ยังดีที่บทพูดตัวละครนั้นคุยกันแบบคนปกติธรรมดาทั่วไป ไม่มีอะไรที่มันดูแปลกหรือตลกเกินไป


เสียงพากย์และเพลงประกอบ

ด้านของเสียงพากย์นั้น ผมคิดว่าทุกตัวละครในเกมนี้มีการให้เสียงที่ดีและเหมาะกับคาแรคเตอร์มาก แต่ละคนนั้นไม่ล้นเกินไปไม่ขาดเกินไป ตัวละครในเกมมีบทสนทนาที่ลื่นไหลเป็นธรรมชาติดี จังหวะจะโคนของเกมก็จะคล้ายกับการดูมินิซีรีส์เมื่อเล่นจบแต่ละบทครับ

ในส่วนของเพลงประกอบนั้น ถือเป็นหนึ่งองค์ประกอบที่ดีมาก ๆ ของเกมนี้เลยก็ว่าได้ เพลงแต่ละเพลงที่ทีมงานเลือกใส่ลงมานั้นเพราะมากจริง ๆ เข้ากับอารมณ์เศร้า ๆ เหงา ๆ ของเกมได้เป็นอย่างดีเลย


สรุป

Life is Strange Double Exposure นั้นเป็นเกมทางเลือกที่ตัวเลือกดันไม่ส่งผลต่อการดำเนินเรื่องราวแบบมีนัยยะสำคัญ ชนิดที่เรียกได้ว่าแทบจะมีเส้นเรื่องเดียวเลยก็ว่าได้แล้วมาใส่ประเด็นปลีกย่อยเติมเข้าไปเฉย ๆ แถมตัวเกมยังเปลี่ยนแนวทางการดำเนินเรื่องกลางเกมจนมันดูติด ๆ ขัด ๆ ไปไม่สุดสักทางอย่างที่ควรจะเป็นครับ ถ้าคุณชอบ Life is Strange ภาคแรกเป็นทุนเดิม เกมนี้ก็พอเล่นได้ถ้าคุณอยากรับรู้เรื่องราวครั้งใหม่ของแมกซ์ แต่ถ้าคาดหวังคุณภาพระดับเดียวกันกับภาคแรกล่ะก็ ผมคงบอกได้แค่ว่าน่าจะผิดหวัง

The Review

65% ออกไขคดีปริศนา หาความจริงผ่านไทม์ไลน์

Double Exposure เป็นเกมทางเลือกที่ตัวเลือกไม่ค่อยส่งผลมากนัก และมีปัญหาด้านแนวทางการดำเนินเรื่องตั้งแต่ช่วงกลางเกมไปจนถึงจบเกม หากคุณเป็นแฟนของเกมภาคแรกก็อาจหามาเล่นได้ แต่อาจจะไม่ประทับใจเท่าของเดิม

65%

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ข้ามไปยังทูลบาร์