Onimusha Way of the Sword นั้น เปิดตัวไปในงาน The Game Awards 2024 เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2024 ที่ผ่านมา ณ ลอสแอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งหากนับเวลาแล้วนี่ก็ถือเป็นการกลับมาอีกครั้งของแฟรนไชส์ Onimusha นับตั้งแต่ที่ภาคหลักล่าสุดอย่าง Onimusha Dawn of Dreams วางจำหน่ายไปในปี 2006
เรียกได้ว่าหายหน้ากันไป 18 ปีเต็มเลยทีเดียว แต่ถ้ารอจนถึงปีที่ตัวเกมจะวางจำหน่ายจริง ๆ คือปี 2026 ล่ะก็นับได้เต็ม ๆ 20 ปีกันไปเลย ใครมีลูกในปีที่ Dawn of Dreams วางจำหน่าย ลูกก็บรรลุนิติภาวะพอดีในปีที่ Way of the Sword วางจำหน่ายครับ
จนถึงตอนนี้ รายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับตัวเกมยังไม่ได้รับการเปิดเผยอย่างเป็นทางการเท่าที่ควร ซึ่งในบทความนี้เราจะมาทำการคาดเดาตัวละครเอกของเกมกันเล่น ๆ รวมถึงบุคคลที่อาจเป็นต้นแบบของใบหน้าด้วยครับ
เซ็ตติ้งของ Way of the Sword
สำหรับข้อมูลที่เปิดเผยในขณะนี้ของ Onimusha Way of the Sword ก็คือเรื่องราวจะดำเนินไปในนครเกียวโตช่วงต้นยุคเอโดะ ที่มีเมฆหมอกแห่งความชั่วร้ายเข้าปกคลุม และซามูไรผู้โดดเดี่ยวรายหนึ่งจะต้องฝ่าฟันบรรดาอสูรมายา (เก็นมะ) ด้วยพลังแห่งปลอกแขนยักษา และเขาจะแสวงหาเหตุผลในการต่อสู้ของตนเองผ่านการต่อสู้อันชุ่มโชกไปด้วยเลือดมากมาย
จากตัวอย่างที่ได้เปิดเผยออกมานั้น สิ่งที่เราได้เห็นและมั่นใจว่าคือนครเกียวโตแน่ ๆ เลยก็คือวิวของระเบียงวัดคิโยมิซึ (วัดน้ำใส) ในเกียวโตนี่ล่ะครับ แถมมุมกล้องที่เผยออกมาก็เรียกได้ว่าเป็นมุมมหาชนโดยแท้ เพราะใครต่อใครที่แวะเวียนไปเยือนวัดแห่งนี้ก็มักจะถ่ายรูประเบียง ณ มุมนี้กันแทบจะทุกคน
สำหรับยุคเอโดะของญี่ปุ่นนั้น เรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่ายุคโตคุกาวะ นั่นเพราะเป็นยุคสมัยหลังสิ้นสุดสงครามเซ็นโกคุและรัฐบาลโชกุนที่ปกครองประเทศได้รับการจัดตั้งขึ้นโดยอิเอยาสึ โตคุกาวะที่หลายคนน่าจะจำชื่อกันได้เป็นอย่างดี ซึ่งยุคสมัยนี้กินเวลาประมาณ 265 ปี เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ.1603 ไปจนถึงปีค.ศ.1868 และยุคสมัยนี้ก็ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในยุคที่มีเสถียรภาพมากยุคหนึ่งของประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้
ถึงอย่างนั้น ยุคนี้เองก็เป็นยุคที่ถูกกล่าวขานถึง และเป็นอีกหนึ่งยุคที่สื่อบันเทิงมากมายหลายหลากมักหยิบยกนำมาเล่า นำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการสร้างสรรค์กันอยู่เรื่อย ๆ ด้วยสาเหตุที่ว่ายุคสมัยนี้มีนักดาบหลายคนสร้างชื่อเสียงของตนเอาไว้กันมากมาย บ้างก็มีลูกศิษย์ลูกหาจำนวนมากเป็นที่นับหน้าถือตาของผู้คน บ้างก็ออกพเนจรขัดเกลาฝีมือและท้าประลอง แต่ละคนต่างก็ล้วนใฝ่ฝันอยากได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในใต้หล้ากันทั้งนั้น
ซึ่งหนึ่งในบรรดานักดาบเลื่องชื่อเหล่านั้น ผู้ที่โด่งดังที่สุดก็คงจะไม่พ้นมูซาชิ มิยาโมโตะครับ
มูซาชิ มิยาโมโตะและการเยือนเกียวโต
สำหรับมูซาชินั้น มีชื่อเดิมว่าทาเคโซ ชินเม็ง ผู้ชื่อเสียงเลื่องลือในฐานะนักดาบไร้พ่ายจากการประลองตลอดชีวิตถึง 62 ครั้ง และเป็นที่ครั่นคร้ามจากวิชาการใช้ดาบคู่เฉพาะตัวที่เรียกว่านิเท็นอิจิริว แต่นอกเหนือไปจากฝีมือเชิงดาบแล้วมูซาชิเองยังมีฝีมือด้านงานเขียนและงานศิลป์ (แกะสลัก) และยังเป็นนักยุทธศาสตร์ด้วยเช่นกัน
ประวัติของมูซาชินั้นมีการบอกเล่าเอาไว้จากหลากหลายแหล่ง ซึ่งก็อาจเป็นการยากที่จะระบุได้ชัดเจนว่าเรื่องไหนเป็นเรื่องจริง เรื่องไหนเป็นตำนานเล่าขาน และว่ากันว่าบันทึกชีวประวัติของมูซาชินั้นถูกเขียนอยู่ในนิเท็นคิ (Niten Ki) ที่เขียนโดยโทโยตะ มาซาทาเกะผู้เป็นศิษย์ของสำนักนิเท็นอิจิริวอีกที และประวัติดังกล่าวก็มาได้รับการตีพิมพ์ในอีกเกือบร้อยปีหลังจากที่มูซาชิเสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งเหตุการณ์ในชีวิตของมูซาชิบางส่วนก็ถูกกล่าวถึงในคัมภีร์แห่งห่วงทั้งห้าที่มูซาชิเองเป็นผู้เขียนเช่นกัน
ผมคงไม่ขอลงลึกประวัติทั้งหมดของมูซาชิในบทความนี้ เพราะมันจะออกนอกเรื่องมากเกินไป แต่เอาเป็นว่ารายละเอียดชีวิตของมูซาชิที่หลายคนรู้จักและถูกหยิบยกนำไปใช้ต่อยอดมากที่สุดนั้น มาจากวรรณกรรมที่ชื่อ “มิยาโมโตะ มูซาชิ” อันเป็นผลงานจากนักเขียนนิยายอิงประวัติศาสตร์ที่ชื่อโยชิคาวะ เอย์จิในปีค.ศ.1935 ครับ ชื่อเสียงและวีรกรรมมากมายของมูซาชิที่เราได้พบเห็นกันในสื่อบันเทิงมากมายยุคปัจจุบัน ก็มักจะหยิบยกหรือมีรากฐานอ้างอิงมาจากวรรณกรรมเอกชิ้นนี้นี่ล่ะครับ
วกกลับมาที่ยุคเอโดะและมูซาชิกันต่อ…อย่างที่ผมบอกไปข้างต้น ว่ายุคเอโดะนั้นเริ่มต้นในปีค.ศ.1603 เป็นต้นไป และถ้าอ้างอิงตามประวัติของมูซาชิที่ยึดถือกันมาว่าถูกต้องนั้น มูซาชิได้เริ่มออกพเนจรเพื่อฝึกปรือฝีมือแล้ว และเขาได้มาเยือนเกียวโตในปีค.ศ.1604 นั่นเอง และที่เกียวโตแห่งนี้เอง มูซาชิได้สร้างวีรกรรมในการท้าประลองกับสำนักดาบโยชิโอกะแห่งเกียวโตด้วยกันสามครั้ง นั่นคือประลองกับเซย์จูโร่ โยชิโอกะ ณ บริเวณทุ่งเร็นได, ประลองกับเด็นชิจิโร โยชิโอกะ และสุดท้ายก็คือการประลองกับมาตาชิจิโร โยชิโอกะซึ่งผลแห่งการประลองที่มูซาชิได้ชัยชนะนั้น ก็ส่งผลให้สำนักโยชิโอกะถึงคราวถดถอยและต้องจางหายไปในหน้าประวัติศาสตร์ในท้ายที่สุด
หรือว่าตัวเอกของ Onimusha Way of the Sword จะเป็นมูซาชิ?
นอกเหนือไปจากรายละเอียดข้างต้นที่ผมกล่าวไปแล้ว อีกหนึ่งองค์ประกอบที่ผมสังเกตเห็นจากตัวอย่างของ Onimusha Way of the Sword นั้นก็คือ สไตล์การต่อสู้ของตัวเอกนั้น นอกจากจะใช้ดาบเล่มเดียวในการสังหารเก็นมะแล้ว บางครั้งเราจะได้เห็นเขาหยิบดาบสั้นมาใช้ในการสังหารคู่ต่อสู้ด้วย ซึ่งสไตล์การต่อสู้ด้วยดาบคู่นั้นเรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของมูซาชิในบรรดาซามูไรแห่งประเทศญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ ชนิดที่ว่าถ้าพูดถึงการใช้ดาบคู่แล้วร้อยทั้งร้อยจะนึกถึงชื่อของมูซาชิขึ้นมาเป็นคนแรกประจำ
เหตุผลอื่น ๆ ที่ผมคาดเดาว่าตัวเอกคือมูซาชิก็คือ เขามีตัวตนและได้รับการกล่าวถึงในแฟรนไชส์ Onimusha มาก่อนหน้านี้แล้วครับ และครั้งแรกสุดเลยก็คือในเกม Onimusha Blade Warriors (หรือ Onimusha Buraiden) ที่เป็นเกมสปินออฟที่เปลี่ยนแนวไปเป็นเกมไฟติ้งและวางจำหน่ายในปีค.ศ.2003 ซึ่งมีตัวละครลับให้ทำเงื่อนไขปลดล็อกออกมามากมาย และหนึ่งในนั้นก็คือมูซาชินั่นเองครับ เพียงแค่ว่ามูซาชิในเกมนี้มีสถานะเป็นตัวละครลับไว้เล่นขำ ๆ จึงไม่มีฉากคัตซีนเนื้อเรื่องอะไร (เพราะนับตามช่วงเวลาในเกมแล้วจะยังไม่ใช่ยุคที่มูซาชิมีบทบาท)
และในปีค.ศ.2023 ที่ผ่านมา มิยาโมโตะ มูซาชิก็ได้ไปเป็นตัวละครหลักใน CG anime ของ Onimusha ที่ฉายบนแพลตฟอร์ม Netflix ครับ ซึ่งเซ็ตติ้งของฉบับอนิเมนี้ก็เป็นช่วงต้นของยุคเอโดะเช่นกัน (แต่ไม่ระบุปี) และในอนิเมฉบับนี้มูซาชิในวัยกลางคนจะต้องใช้งานปลอกแขนอสูรเข้าฟาดฟันกับเหล่าเก็นมะ และเขาก็จะได้เข้าปะทะกับบรรดาอริเก่าหลายคนในอดีตด้วยเช่นกัน
หรือว่าโทชิโร มิฟูเนะจะเป็นต้นแบบใบหน้าของมูซาชิอีกครั้ง?
มูซาชิที่ปรากฏตัวในฉบับอนิเมของ Netflix นั้น มีการทำตามธรรมเนียมของเกมในซีรีส์ (ถ้าไม่นับภาค Dawn of Dreams) ที่จะมีต้นแบบใบหน้าของตัวเอกเป็นนักแสดงจริง ๆ ครับ ใน Onimusha ภาคแรกสุดเลยซามาโนะสุเกะ อาเคจิ ได้ต้นแบบใบหน้ามาจากทาเคชิ คาเนชิโร ส่วน Onimusha 2 นั้น จูเบย์ ยางิวได้ต้นแบบใบหน้ามาจากยูซาคุ มัตสึดะ และใน Onimusha 3 นั้น นอกจากการกลับมาของซามาโนะสุเกะแล้ว ตัวเอกคู่อีกคนหนึ่งในเกมอย่างฌาก บลองก์ก็ได้ต้นแบบใบหน้ามาจากฌอง เรโนผู้เป็นนักแสดงชาวฝรั่งเศส
โดยในฉบับอนิเมนั้น ต้นแบบใบหน้าของมูซาชิก็คือโทชิโร มิฟูเนะ นักแสดงชาวญี่ปุ่นรุ่นเก๋าผู้ล่วงลับ ซึ่งหลายคนมักจดจำเขาได้จากบทบาทของซามูไรหลากหลายชีวิตในภาพยนตร์หลายเรื่องที่กำกับโดยอากิระ คุโรซาวะ เช่นเจ็ดเซียนซามูไร, โยจิมโบ และราโชมอนนั่นเองครับ
ทั้งนี้ทั้งนั้น ภาพจำของโทชิโร มิฟูเนะนั้นส่วนใหญ่จะเป็นซามูไรวัยกลางคนมีหนวดมีเครา และใบหน้ามีริ้วรอยของความร่วงโรยให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง เหมือนเช่นภาพลักษณ์ของมูซาชิในฉบับ Netflix ที่หลายคนคงได้ชมกันไปแล้วนั่นเองครับ ถึงอย่างนั้นก็ตาม หากใครได้เคยเห็นใบหน้าของโทชิโร มิฟูเนะในวัยหนุ่มก็คงต้องยอมรับว่าเขามีใบหน้าที่หล่อเหลาและคมคายมากคนหนึ่งเลย และการใช้ใบหน้าของเขามาเป็นต้นแบบมูซาชิในวัยหนุ่มก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะขนาดใน Onimusha 2 ที่นำใบหน้าของยูซาคุ มัตสึดะมาใช้นั้น ก็ล่วงเลยมาสิบกว่าปีนับตั้งแต่ที่เขาเสียชีวิตไปแล้วเหมือนกัน
ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งก็คือ ในบรรดาภาพยนตร์ที่โทชิโร มิฟูเนะเคยแสดงมานั้น มีภาพยนตร์ไตรภาคซามูไรในชื่อว่า Samurai ในช่วงปีค.ศ.1954-1956 ซึ่งกำกับโดยฮิโรชิ อินางากิ ซึ่งเขาก็รับบทเป็นตัวเอกประจำไตรภาคนี้ในฐานะของมิยาโมโตะ มูซาชิด้วยนั่นเองครับ
หากใครอยากเห็นภาพในหลายช่วงวัยของโทชิโร มิฟูเนะก็ลองเข้าไปชมตามลิงก์ด้านล่างนี้ได้เลยครับ
เป็นไปได้ไหมที่สุดท้ายแล้วตัวเอกจะกลับมาเป็นซามาโนะสุเกะ อาเคจิ?
ผมเชื่อว่านี่น่าจะเป็นคำถามในใจของใครหลาย ๆ คนนับตั้งแต่ได้เห็นตัวอย่างแรกของ Way of the Sword และอีกประการหนึ่งก็คือถ้าหากพูดถึงการใช้งานดาบคู่แล้ว ใน Onimusha 3 นั้นซามาโนะสุเกะก็ได้วาดลวดลายดาบคู่ให้เห็นกันไปก่อนหน้านี้แล้วด้วย แถมยังเป็นอาวุธยักษาชิ้นแรกที่ได้ปลดมาใช้งานในเกมเลยด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็คิดว่ามีเหตุผลอยู่เหมือนกันที่ซามาโนะสุเกะจะไม่ได้กลับมาเป็นตัวเอกในภาค Way of the Sword ครับ
ถ้านับช่วงเวลาของ Onimusha 3 นั้น เหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงปีค.ศ.1582 ที่โนบุนากะ โอดะโดนลอบสังหารในวัดฮอนโนจิตามประวัติศาสตร์ ซึ่งก็เป็นเซ็ตติ้งของศึกตัดสินระหว่างซามาโนะสุเกะและโนบุนากะภายในเกม โดย ณ เวลานั้นซามาโนะสุเกะมีอายุ 46 ปีแล้ว จนเวลาล่วงเลยพ้นยุคของโนบุนากะมาสู่ยุคสมัยที่ฮิเดโยชิ โทโยโทมิก้าวขึ้นมาเป็นโชกุนปกครองญี่ปุ่น และเกิดเหตุการณ์ในภาค Dawn of Dreams ขึ้น ซามาโนะสุเกะก็ได้มีอายุราว 61 หรือ 62 ปีเข้าไปแล้วครับ
ใน Dawn of Dreams นั้น จับเอาช่วงเวลาราว 15-16 ปีให้หลังจากภาค 3 โดยที่ซามาโนะสุเกะเองก็ใช้ชีวิตในฐานะของพระบนภูเขาฮิเอย์ ด้วยชื่อว่าเท็นไค นันโคโบะ ที่แม้ว่าใบหน้าจะยังดูอ่อนเยาว์แต่ผมของเขานั้นขาวโพลนไปทั้งศีรษะแล้ว และเขาก็มีเหตุต้องลงจากภูเขาเพื่อช่วยเหลือตัวเอกประจำภาคอย่างโซคิในการไปยับยั้งความทะเยอทะยานของฮิเดโยชินั่นเอง (ภาคนี้โมเดลของซามาโนะสุเกะ/เท็นไค ไม่ได้นำต้นแบบใบหน้าของทาเคชิ คาเนชิโรมาใช้แล้วครับ)
นอกจากนั้นแล้ว นับตั้งแต่จบภาค Dawn of Dreams มาที่สิ้นสุดยุคของฮิเดโยชิ ถ้าเราอนุมานว่าตัวเกมจบในปีค.ศ.1598 แล้วนับจากนั้นมาจนถึงปีเริ่มต้นของยุคเอโดะคือปีค.ศ.1603 ก็จะล่วงเลยมาอีก 4 ปี ทำให้ซามาโนะสุเกะใน Way of the Sword ควรจะมีอายุเข้าไปราว 65-66 ปี และจากตัวอย่างที่เปิดเผยมา ซามูไรผู้เป็นตัวเอกก็มีผมสีดำด้วยไม่ได้มีผมสีขาวแบบที่ควรจะเป็นแต่อย่างใด
ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมคิดว่าซามาโนะสุเกะอาจจะยังกลับมาปรากฏตัวในเกมได้ เพราะว่าอ้างอิงตามประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นแล้วเท็นไค นันโคโบะมีบทบาทในรัฐบาลโชกุนโตคุกาวะในฐานะที่ปรึกษา และยังทำหน้าที่เป็นผู้ประสานความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลโชกุนและราชสำนักในเกียวโตอีกด้วยครับ
หนึ่งในโครงการฟื้นฟูของเท็นไคตามประวัติศาสตร์ก็คือการบูรณะวัดเอ็นเรียคุจิที่เคยโดนเผาทำลายไปในปีค.ศ.1571 ด้วยฝีมือของทัพโนบุนากะนั่นเองครับ และหลังหมดยุคของอิเอยาสึไปเท็นไคก็ยังคงดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาให้กับโชกุนประจำตระกูลอีกสองคนด้วยกัน พูดง่าย ๆ ก็คือได้รับความเชื่อใจเต็มที่เลยนั่นล่ะ
ดังนั้นแม้ผมจะไม่คิดว่าซามาโนะสุเกะจะกลับมาในฐานะตัวเอก แต่ก็อาจจะกลับมาในฐานะตัวละครสมทบเหมือนอย่างเช่นที่เคยปรากฏตัวใน Dawn of Dreams ก็เป็นได้นะ
หากใครยังไม่ได้ชมตัวอย่างของ Onimusha Way of the Sword สามารถชมได้จากวิดีโอด้านล่างเลยครับ
ทั้งหมดที่กล่าวไป คือการคาดเดาเล่น ๆ สนุก ๆ ของเราเกี่ยวกับตัวเอกใน Onimusha Way of the Sword ครับ มันอาจจะผิดไปหมดเลยก็ได้นะ แต่เอาเป็นว่าบทความนี้เป็นการคุยกันเล่น ๆ สนุก ๆ ในฐานะเกมเมอร์ผู้รอคอยภาคต่อของ Onimusha กันมาเกือบ 20 ปีแล้วกันครับ
ที่มาของข้อมูล
https://www.way-of-the-samurai.com/musashi-miyamoto.html
https://www.britannica.com/biography/Mifune-Toshiro
https://akirakurosawa.info/yojimbo/
https://www.austinfilm.org/2020/04/the-many-faces-of-toshiro-mifune/