Games News Reviews

Romancing SaGa 2 Revenge of the Seven – รีวิว [REVIEW]

โดย G-jang

Romancing SaGa 2 Revenge of the Seven – รีวิว [REVIEW]

*ขอขอบคุณ Bandai Namco Entertainment และ Square Enix สำหรับโค้ดรีวิวมา ณ โอกาสนี้ครับ
**รีวิวนี้เล่นบน PlayStation 5

เมื่อพูดถึงแฟรนไชส์ Romancing SaGa นั้น ก็อาจเรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งแฟรนไชส์ JRPG ที่มีประวัติยาวนาน ซึ่งความทรงจำส่วนตัวของผมเกี่ยวกับเกมนี้ก็ตั้งแต่สมัยเครื่อง Super Famicom/SNES ที่เคยได้ลองเล่นมาบ้างเพราะคิดว่ามันจะเหมือนกับ Final Fantasy แต่พอได้เล่นแล้วก็พบว่า…มันเล่นยากกว่ากันเยอะ แถมยังคุยถามใครก็ไม่ได้เวลาเล่นติดเพราะเกมใช้ระบบฟรีซีนาริโอที่ค่อนข้างเปิดอิสระ ก็เลยเลิกเล่นไปแบบงง ๆ และในครั้งนี้ Revenge of the Seven ก็คือการนำเอาภาค 2 กลับมารีเมกให้ผู้เล่นปัจจุบันได้สัมผัสกันครับ ส่วนจะเป็นอย่างไร ผมจะมาเล่าให้ฟังกัน


เนื้อเรื่อง

Romancing SaGa 2 นั้นมีเซ็ตติ้งที่กล่าวถึงอาณาจักรอวาลอน (Avalon) ที่มีตำนานเล่าขานถึงวีรกรรมของเจ็ดผู้กล้าที่เคยช่วยโลกเอาไว้จากหายนะ แต่ว่าพวกเขาก็ได้หายสาบสูญไปและว่ากันว่าเมื่อโลกเผชิญกับหายนะครั้งใหม่ พวกเขาก็จะกลับมา ซึ่งในปี 1000 นั้น ราชาองค์ปัจจุบันแห่งอวาลอนอย่างลีออน (Leon) ก็ได้ออกตรวจตราและจัดการกับมอนสเตอร์ที่อาจรบกวนความสงบสุขพร้อมกับเจอราร์ด (Gerard) บุตรคนรอง

ทว่าวันหนึ่ง ได้เกิดเหตุการณ์ที่ปีศาจอันแข็งแกร่งปรากฏตัวขึ้นและอาละวาดในเมืองใกล้เคียง และเขาก็ได้พบว่าปีศาจที่เป็นต้นเหตุนั้นกลับเป็นหนึ่งในเจ็ดผู้กล้าแห่งตำนาน นั่นจึงทำให้สถานการณ์ทั้งหมดถึงคราวคับขันและเขาจำเป็นต้องสะสางวิกฤติพร้อมกำจัดเจ็ดผู้กล้าเพื่อนำความสงบสุขกลับมาอีกครั้ง อันเป็นจุดเริ่มต้นแห่งมหากาพย์ที่กินเวลาหลายชั่วอายุคนเลยทีเดียว

หากจะพูดในแง่ของเนื้อหาแล้ว ผมคิดว่าตัวเกมมีคอนเซปต์ที่เรียกได้ว่าแปลกและแหวกแนวกว่าเกม RPG หลาย ๆ เกมครับ นอกเหนือไปจากการบอกเล่าเหตุการณ์ภูมิหลังอันเป็นโศกนาฏกรรมของบรรดาเจ็ดผู้กล้าที่ทำให้เราได้รับรู้การเปลี่ยนแปลงจากผู้กอบกู้กลายมาเป็นผู้ล้างแค้นแล้ว เนื้อหาในภาพรวมที่ผู้เล่นในฐานะของจักรพรรดิหรือจักรพรรดินีแห่งอวาลอนที่ต้องออกผจญภัยเพื่อแก้วิกฤติจากเจ็ดผู้กล้าก็เป็นอะไรที่สนุกน่าติดตามไม่เบา และด้วยระบบการสืบทอดความสามารถของตัวละครที่เราต้องบังคับในแต่ละรุ่น มันก็ทำให้รู้สึกได้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมันใหญ่เกินกว่าที่จะสะสางได้ในชั่วชีวิตคน ๆ เดียวและต้องอาศัยเวลารวมถึงความร่วมมือจากผู้คนเยอะมาก

ถ้าจะมีสิ่งที่ทำให้ผมแอบเสียดายเล็กน้อยก็คือ ด้วยความที่ตัวเกมเปิดอิสระให้เราเลือกผู้ที่จะมาเป็นจักรพรรดิ/จักรพรรดินีในแต่ละรุ่นนี่เอง มันเลยทำให้ตัวละครฝ่ายเรามีลักษณะที่ขาดบุคลิกเฉพาะตัวไปโดยปริยายครับ นั่นคือพอพ้นช่วงแรกของเกมที่เราเล่นเป็นลีออนและเจอราร์ดไปแล้ว ไม่ว่าจะเลือกใครมาหลังจากนั้นก็จะกลายเป็นตัวเอกใบ้กันไปหมด (ถ้าไม่นับช่วงท้ายเกม) แต่ก็พอเข้าใจได้เพราะถ้าจะให้มาทำบทพูดแยกคลาส แยกเพศตัวละครในทุกสถานการณ์นี่น่าจะงานใหญ่มากแน่นอน

ถึงกระนั้น ผมก็คิดว่าเกมนี้มีฉากจบที่น่าพอใจและอิ่มเอมครับ และสำหรับผมแล้วแม้เจ็ดผู้กล้าจะเป็นตัวร้ายหลักของเกม แต่ผมมองว่าเรื่องราวของเจ็ดผู้กล้านี่ถือเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ตัวเกมสนุกและน่าติดตาม มีแง่มุมที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นครับ


เกมเพลย์

ระบบต่อสู้

สำหรับเกมเพลย์โดยรวมของ Romancing SaGa 2 Revenge of the Seven นั้นจะใช้ระบบเทิร์นเบสในการต่อสู้ กล่าวก็คือตัวละครของเราและของศัตรูจะมีลำดับการออกท่าหรือกดคำสั่งตามที่ปรากฏด้านบนของจอ และจุดสำคัญในการเอาชนะศัตรูก็คือการหาจุดอ่อนของมันให้เจอและเน้นโจมตีในจุดนั้นเพื่อทำแดเมจมากกว่าปกติ ซึ่งจุดอ่อนก็จะแบ่งไปตามประเภทของอาวุธ หรือธาตุของเวท และการจะเจอจุดอ่อนศัตรูแต่ละได้ก็ต้องอาศัยการลองผิดลองถูกนี่ล่ะครับ

ทีนี้ องค์ประกอบในด้านเกมเพลย์ของเกมนี้ที่แตกต่างจากเกม RPG อื่น ๆ โดยทั่วไปก็คือตัวเกมไม่มีระบบ EXP แต่ความเก่งของตัวละครจะขึ้นอยู่กับ Tech Level หรือ Magic Level แทน เมื่อคุณใช้อาวุธประเภทไหนมากขึ้น ความเชี่ยวชาญก็จะเพิ่มขึ้นตามส่งผลให้ความแรงของสกิลสายนั้นเพิ่มขึ้น ซึ่งก็รวมถึงค่า HP และ BP ของแต่ละคลาสด้วยเช่นกัน

เมื่อไม่มีเลเวลและไม่มี EXP ตัวละครแล้ว สิ่งที่จะทำให้ตัวละครได้ท่าหรือได้สกิลใหม่ ๆ ก็คือระบบที่เรียกว่า glimmer หรือระบบปิ๊งท่านั่นเองครับ ตัวละครทุกตัวในฉากสู้จะมีโอกาสในการคิดท่าคิดสกิลใหม่ ๆ ขึ้นมาได้ โดยเกมจะมีจุดสังเกตจากรูปหลอดไฟข้างชื่อท่า ถ้าคุณกดใช้ท่าดังกล่าวก็จะมีโอกาสที่ตัวละครจะคิดท่าใหม่มาใช้ได้ ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าทุกคลาสจะมีโอกาสคิดท่าได้เหมือนกัน เพราะบางท่าก็อาจต้องอาศัยคลาสอื่นแม้ว่าจะมีความถนัดอาวุธประเภทเดียวกันก็ตาม มันเลยเป็นการเอื้อให้คนเล่นต้องลองสลับคลาสอื่น ๆ มาใช้งานในปาร์ตี้บ้างถ้าอยากจะได้สกิลใหม่

องค์ประกอบในด้านการปรับแต่งปาร์ตี้นั้นเรียกได้ว่าเยอะครับ เนื่องจากแต่ละคลาสจะมีค่าพลังเฉพาะตัวไม่เหมือนกัน และทุกคนสามารถใช้อาวุธและเวทกันได้ทุกอย่าง แม้แต่เครื่องป้องกันที่ใส่ได้ก็ไม่มีข้อจำกัดของคลาส ดังนั้นผู้เล่นเลยเลือกมิกซ์แอนด์แมตช์ได้เองโดยอิสระ ดังนั้นถ้าคุณอยากเล่นอะไรขำ ๆ แบบเอาสายกายภาพไปยิงเวท แล้วเอาสายเวทไปถือดาบใหญ่หวดก็ทำได้นะ…แต่ไม่แนะนำ

เกมนี้มีระบบ Formation หรือกระบวนทัพด้วย ซึ่งแต่ละกระบวนทัพก็จะให้ผลที่แตกต่างกันไป บ้างก็เพิ่มพลังโจมตีให้กับแนวหน้าแลกกับการยืนเด่นล่อเป้าศัตรูมากกว่าใคร แนวหลังก็อาจความเร็วลดแต่โอกาสโดนโจมตีน้อยลง หรือบางกระบวนทัพก็เน้นบ้าพลังทั้งตี้แลกกับพลังป้องกันที่ลดลงชนิดว่าแลกเลือดกันไปเลย ฯลฯ จะเล่นแบบไหน จัดตี้ยังไง ก็สุดแท้แต่ผู้เล่นเลยครับ ใครที่เป็นสายชอบจัดตี้จัดสกิลน่าจะถูกใจกับระบบเกมไม่ใช่น้อย

ในเรื่องของความยากนั้น เอาเข้าจริงผมรู้สึกว่าความยากของเกมอยู่ในระดับที่กำลังดี ไม่ได้ยากเกินไปหรือง่ายเกินไป เพราะสุดท้ายแล้วเกมเปิดให้คุณลองจัดทีม ลองหาสกิลที่เหมาะมาใช้ตลอดอยู่แล้ว ดังนั้นความยากก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณเตรียมตัวไปดีแค่ไหนนั่นล่ะครับ


ระบบส่งเสริมการพัฒนาตัวละคร

ในฐานะที่คุณเป็นจักรพรรดิ/จักรพรรดินีแห่งอวาลอนนั้น สิ่งหนึ่งที่คุณดำเนินการได้ก็คือการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่จะทำให้ชีวิตคุณสะดวกสบายขึ้นในการเล่นครับ ไม่ว่าจะเป็นโรงตีเหล็กเอย ศูนย์วิจัยเวทเอย หรือแม้แต่มหาวิทยาลัยที่จะมีฟังก์ชันการใช้งานแตกต่างกันไป แต่ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ทั้งสิ้น

เช่นโรงตีเหล็กก็จะทำให้คุณสร้างอาวุธและเครื่องป้องกันใหม่ ๆ รวมถึงตีบวกของที่มีเพิ่มประสิทธิภาพได้ ศูนย์วิจัยเวทก็จะทำให้คุณคิดค้นเวทผสมใหม่ ๆ ได้ที่จะมีประสิทธิภาพและรุนแรงยิ่งกว่าเดิม ส่วนมหาวิทยาลัยก็จะให้คุณได้ทำข้อสอบความรู้แต่ละด้านเกี่ยวกับเกมเพื่อรับรางวัลเป็นเงินหรือไม่ก็ไอเท็มดี ๆ ตอบแทน


ระบบสืบทอดสกิลและการเปลี่ยนผ่านรุ่น

คอนเซปต์ของเกมนี้ก็คือการแก้ไขวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่โดยอาศัยความพยายามของผู้คนหลายสมัย ซึ่งการเปลี่ยนผ่านรุ่นในเกมนี้โดยมากจะขึ้นอยู่กับการทำภารกิจใหญ่ ๆ สำเร็จได้โดยตัวละครในรุ่นนั้นของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการเอาชนะหนึ่งในเจ็ดผู้กล้า หรือไม่ก็สามารถแก้ไขปัญหาให้กับภูมิภาคใหม่ ๆ และควบรวมมาเป็นหนึ่งในอาณาจักรของคุณได้สำเร็จ ซึ่งเมื่อถึงเวลาที่เกมกำหนด คุณก็จะโดนบังคับให้ต้องเลือกตัวละคร (คลาส) ที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำในรุ่นถัดไปทันที โดยที่แต่ละคลาสเองก็จะมาพร้อมกับ formation ใหม่ให้คุณได้ปลดล็อก จึงเหมือนบอกกลาย ๆ ให้ผู้เล่นต้องลองสลับทุกคลาสขึ้นมาเป็นผู้นำเพื่อหา formation เจ๋ง ๆ มาใช้งานครับ

ด้วยความที่ตัวเกมนี้มีการวางเซ็ตติ้งเรื่องเวทสืบทอดความสามารถเอาไว้ตั้งแต่ช่วงต้นเกม ดังนั้นไม่ว่าคุณจะเลือกรุ่นถัดไปเป็นคลาสไหน มีความถนัดด้านใด เมื่อก้าวขึ้นมาเป็นจักรพรรดิ/จักรพรรดินีแล้ว ค่า Tech Level และ Magic Level จากคนก่อนหน้าก็จะโอนมาให้คนใหม่เลยทันทีเช่นกัน ดังนั้น ยิ่งเล่นไปตัวละครของคุณก็จะยิ่งเก่งขึ้นและเก่งขึ้นจากความสามารถที่สั่งสมกันมารุ่นต่อรุ่นครับ ที่สำคัญคือเกมนี้จะจัดหมวดตัวละครตามคลาส ดังนั้นแม้เสื้อผ้าหน้าผมในแต่ละรุ่นอาจต่างจากเดิมเล็กน้อย แต่ถึงที่สุดแล้วแต่ละคลาสก็จะมีคุณสมบัติที่ไม่ต่างจากเดิมมาก รวมถึงระดับค่าความถนัดเองก็จะสืบทอดกันมาเช่นกัน

แล้วก็อย่างที่ผมบอกไปก่อนหน้านี้ ว่าสกิลในเกมนี้จะได้มาโดยอาศัยการปิ๊งท่า และเมื่อตัวละครไหนปิ๊งท่าขึ้นมาได้แล้ว ตัวละครในรุ่นถัดไปก็จะสามารถเลือกใช้เลือกติดตั้งสกิลนั้น ๆ ได้โดยอิสระแบบไม่ต้องเสียค่าอะไรใด ๆ ยิ่งเพิ่มความอิสระในการจัดปาร์ตี้ให้แก่ผู้เล่นครับ

อย่างไรก็ตาม กรณีที่ปาร์ตี้ของคุณร่วงหมดในการต่อสู้นั้น เกมก็จะบังคับให้ต้องเลือกผู้นำคนใหม่เลยทันทีเหมือนกันนะ


ซีนาริโอ้อิสระ

Romancing SaGa 2 Revenge of the Seven นี้ ใช้รูปแบบการเดินเรื่องที่ไม่เป็นเส้นตรง กล่าวคือในบรรดาพื้นที่ทั้งหมดในเกมนั้น เกมจะเปิดกว้างค่อนข้างมากให้คุณเลือกเดินทางไปไหนมาไหนได้เอง และเลือกได้ว่าจะทำเควสต์ใดก่อนหรือหลัง ซึ่งผลในจุดนี้ก็อาจทำให้เหตุการณ์บางอย่างแตกต่างกันไป หรือการแก้ไขเหตุการณ์เดียวกันก็อาจเลือกได้มากกว่าหนึ่งอย่าง มันเลยสามารถทำให้การเล่นแต่ละรอบนั้นแตกต่างกันไปครับ

ในบางเหตุการณ์ก็อาจทำให้คุณได้คลาสนึงมาเข้าร่วมคณะ แต่อดอีกคลาสนึงแทน เรียกได้ว่าเกมนี้เป็นเกมที่ออกแบบมาให้คนเล่นไม่สามารถทำทุกอย่างได้ครบทุกอย่างในการเล่นรอบเดียว หากใครเป็นสายเพอร์เฟกชันนิสต์ก็อาจรู้สึกเซ็งได้นิดนึง แต่ถ้าใครชอบความคุ้มค่าล่ะก็เกมนี้จะมีให้คุณอิ่มแน่นอน

การเดินทางไปไหนมาไหนในแต่ละจุดนั้น เกมก็ใส่ collectible ลงมาอย่างเช่นการตามหา Mr.S ในที่ต่าง ๆ ซึ่งก็จะได้รางวัลตอบแทนเมื่อหาเจอครบตามจำนวนที่กำหนดที่ก็จะยิ่งทำให้คุณเล่นเกมได้สะดวกขึ้นอีกด้วย ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่กระตุ้นให้ผู้เล่นลองวิ่งสำรวจทุกซอกมุมครับ


กราฟิก

ในคราวแรกสุดที่ผมเห็นเกมนี้ ผมรู้สึกว่ากราฟิกค่อนข้างจะธรรมดาและดูคล้าย ๆ กับหลายเกมในท้องตลาดที่มักทำโมเดลในลักษณะคล้ายอนิเม แต่เมื่อเล่นไปผมก็ชอบงานออกแบบแต่ละสถานที่ในเกมซึ่งก็อ้างอิงมาจากหลากหลายวัฒนธรรมของความเป็นจริงครับ แม้จะไม่สวยเนี้ยบชนิดว่ามีรายละเอียดระดับไฮเปอร์เรียลลิสติก แต่งานศิลป์โดยรวมนั้นทำออกมาเพลินตา และเอฟเฟกต์ท่ารวมถึงเวทในตอนต่อสู้นั้นสวยงามและรุนแรงครับ ถ้าพูดถึงในแง่กราฟิกแล้วก็เรียกได้ว่าไม่ขี้เหร่

การนำเสนออีกอย่างหนึ่งที่ผมชอบก็คือ องค์ประกอบสภาพแวดล้อมบางจุดจะมีการเปลี่ยนแปลงให้เราเห็นเมื่อเปลี่ยนผ่านรุ่นด้วย ถือเป็นสิ่งที่ทำให้เห็นชัดเจนถึงเวลาในเกมที่เดินไป แต่แอบเสียดายว่าองค์ประกอบนี้มีการใช้งานน้อยไปหน่อยครับ


งานเสียง

ในส่วนของ OST ของเกมนั้นเรียกได้ว่ายอดเยี่ยมครับ ไม่ว่าจะเป็นธีมในตอนต่อสู้ปกติหรือตอนต้องสู้กับบรรดาเจ็ดผู้กล้าก็ตาม โดยเฉพาะเสียงทรัมเป็ตนี่เรียกได้ว่าเด่นมาก และมันทำให้เพลงยิ่งใหญ่อลังการได้เรื่องจริง ๆ


สรุป

Romancing SaGa 2 Revenge of the Seven นี้ เรียกได้ว่าเป็นเกมแรกในแฟรนไชส์ที่ผมได้เล่นแบบจริงจัง และมันก็สร้างความประทับใจให้ผมได้มากอยู่ด้วยเซ็ตติ้ง ระบบการเล่น และอีกหลากหลายองค์ประกอบ แม้ผมจะคิดว่าบางทีระบบการเปลี่ยนรุ่นมันมักมาในจังหวะที่เราไม่อยากให้มันมาก็เถอะ แต่โดยรวมแล้วนี่คืออีกหนึ่งเกม JRPG คุณภาพแบบไม่ต้องสงสัยครับ

The Review

85% แก้ไขวิกฤติการณ์ ข้ามผ่านยุคสมัย

นี่คือเกม RPG น้ำดีที่มีระบบการเล่นสนุก แต่อาจจะซับซ้อนไปบ้างสำหรับมือใหม่ แต่หากคุณอยากได้เกมที่ปรับแต่งได้เยอะและเล่นซ้ำได้คุ้มค่า นี่คือเกมสำหรับคุณ

85%

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ข้ามไปยังทูลบาร์