นี่คือเกมแอ็กชันอาร์พีจีที่ผสมผสานการต่อสู้ที่โหดหินและต้องอาศัยฝีมือในสไตล์เกมโซลส์ไลก์ เข้ากับเรื่องราวอันลึกซึ้งและซับซ้อนที่พบได้จากเกมอาร์พีจี โดยไอเดียของเกมนี้เริ่มหยั่งรากในช่วงปี 2016 ที่ทีมงานเดินทางไปไอร์แลนด์และหลงเสน่ห์ในองค์ประกอบดาร์กแฟนตาซีของนิทานพื้นบ้านไอร์แลนด์ หลังจากที่ระดมไอเดียกันหลายเดือน Mandragora ก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างในปี 2018
ใน Mandragora: Whispers of the Witch Tree, พลังลึกลับอันดำมืดที่เรียกว่า Entropy ได้เข้าปกคลุมโลก ความไม่แน่นอนในชีวิตที่เพิ่มพูนขึ้น ทำให้ผู้คนต่างหวาดกลัวและตกเป็นเป้าของการหลอกลวงและการบงการ ในฐานะที่คุณเป็น Inquisitor, คุณจะได้ตระเวนไปทั่ว Faelduum เพื่อหยุดยั้งการแพร่กระจายของพลังมืดชนิดนี้ อย่างไรก็ตาม การเดินทางของคุณจะเต็มไปด้วยอุปสรรค ตั้งแต่สัตว์ร้ายที่ไร้จิตใจมุ่งแต่ออกล่าเหยื่อ ไปจนถึงบรรดาผู้นำบ้าอำนาจที่หวังจะครอบครองเวทลึกลับนี้
ฟีเจอร์เกมเพลย์
Mandragora: Whispers of the Witch Tree จะมีองค์ประกอบในแบบ Metroidvania บางส่วนและมีระบบการเล่นมุมมองด้านข้าง แต่มันก็ไม่ใช่ Metroidvania เพียว ๆ แต่ระบบการเล่นหลักคืออาร์พีจี ซึ่งสิ่งนี้จะเห็นได้จากระบบต่าง ๆ ที่คุณได้พบในระหว่างการเล่น
ด้วยคลาสของตัวละครหกแบบให้เลือก ผู้เล่นจะได้ผสมผสานระหว่างคลาสและหาสิ่งที่ใช่สำหรับตนเอง อันประกอบไปด้วย:
- Vanguard: ใช้พลังกายภาพสุดดิบ โล่ใหญ่และอาวุธที่ต้องถือสองมืออันโหดเหี้ยม
- Flameweaver: คือผู้บรรลุศาสตร์แห่งไฟ และมีทักษะเยี่ยมในการใช้อาวุธมือเดียว
- Spellbinder: จะใช้งานพลังงานแห่งความโกลาหลอันบริสุทธิ์
- Nightshade: เชี่ยวชาญการกำจัดศัตรูอย่างรวดเร็วโดยใช้พิษและมีดสั้นคู่
- Wyldwarden: มีสายสัมพันธ์กับพลังธรรมชาติในแบบที่ไม่เหมือนใคร
- Vindicator: สามารถใช้งานพลังแห่งดวงดาราได้
ซึ่งในเกมจะมีระบบความสามารถที่ยืดหยุ่น ให้ผู้เล่นได้ผสมสกิลจากสายอื่น ๆ รวมถึงความสามารถจากหลากหลายคลาสด้วย ด้วยสกิลกว่า 200 ให้อัปเกรด ผู้เล่นจะได้สร้างสไตล์การเล่นผสมผสานและปรับแต่งการเล่นในแบบที่ตนชื่นชอบ
บอสแต่ละตัวจะมีรูปแบบการโจมตีเฉพาะตัว รวมถึงแพทเทิร์นของตนเอง เมื่อผู้เล่นออกสำรวจเรื่องราวก็จะได้พบกับแรงจูงใจของพวกเขา แต่ขณะเดียวกันก็จะได้เรียนรู้พวกเขาในฐานะศัตรูระหว่างการต่อสู้
งานศิลป์และเสียง
เซ็ตติ้งและบรรยากาศของเกมจะมีอิทธิพลต่อประสบการณ์ในการเล่น Mandragora อย่างมาก และหัวใจสำคัญของเกม—Witch Lantern จะให้คุณได้ก้าวเข้าสู่มิติขนานแห่งความมืดของ Entropy—ที่ก็ได้แรงบันดาลใจอย่างมากทั้งด้านงานภาพและด้านเทคนิคจากเซ็ตติ้งในแบบแฟนตาซียุคกลาง
เอกลักษณ์ด้านงานภาพถือเป็นสิ่งสำคัญของทีมงาน เพราะทุกเกมต่างก็มีสไตล์งานภาพของตนเอง ไม่ว่าจะแบบพิกเซลหรือสมจริง และแต่ละสไตล์ก็มีจุดเด่นในตัวเอง ซึ่งสไตล์แบบภาพวาดในแบบดาร์กแฟนตาซีของ Mandragora คือสิ่งที่ทีมงานเห็นว่าเหมาะสมที่สุดสำหรับคอนเซปต์ของโลกที่จะสร้าง และก็ได้รับเสียงตอบรับในเชิงบวกมาจนถึงตอนนี้
นอกเหนือไปจากงานภาพแบบภาพวาดแล้ว Mandragora ยังรุ่มรวยไปด้วยบทเพลงชวนหลอนหู และเพลงดาร์กซิมโฟนีที่จะช่วยทำให้ผู้เล่นดื่มด่ำไปกับเกม และทำให้สภาพแวดล้อมมีชีวิตชีวาขึ้นมาด้วยความรู้สึกอันคุกคามและความไม่สบายใจ ซาวด์แทร็กของเกมรังสรรค์โดย Christos Antoniou ที่สร้างบรรยากาศได้สมบูรณ์แบบ
นอกจากนี้ทีมงานยังได้มือฉมังในวงการ Brian Mitsoda มาช่วยปั้นแต่งเนื้อหาเกมที่เชื่อว่าผู้เล่นจะพึงพอใจได้สำรวจเนื้อหาของเกม เมื่อเกมขยายใหญ่ออกไป เนื้อหาก็ได้รับการขยายตามจนนำไปสู่ฉากจบหลายแบบที่จะปั้นแต่งโดยตัวเลือกของผู้เล่นตลอดการเดินทาง
การเปลี่ยนแปลงเกมและแผนในอนาคต
ในตอนที่ทีมงานเริ่มพัฒนาเกมนี้ พวกเขาได้มีเป้าหมายต่างออกไป แม้พวกเขาจะอยากสร้างเกมที่ยอดเยี่ยมแต่ขอบเขตของงานก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากตลอดหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งการขยายขอบเขตชื่อเกมก็ดูจะเป็นแนวทางที่ดีเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในขณะที่มุ่งหน้าสู่เส้นชัยในวันวางจำหน่าย
ชื่อรองของเกม ‘Whispers of the Witch Tree’ นั้นได้รับอิทธิพลอย่างมากจากเนื้อหาของเกม และถูกเลือกมาเพราะความสำคัญที่มีต่อเนื้อเรื่อง เพราะ Witch Tree คือสถานที่สำคัญที่ผู้เล่นจะได้พบในช่วงต้นเกม และจะมีความสำคัญทั้งในแง่เนื้อหาและเกมเพลย์
Digital Deluxe Edition ของ Mandragora เปิดให้สั่งซื้อล่วงหน้าแล้วบน Steam และ Epic Games Store ซึ่งอาจจะมีการจำหน่ายเอดิชันพิเศษอื่น ๆ เพิ่มเติมอีกเช่นกัน