News Reviews

Kingdom Come: Deliverance 2 – รีวิว [Review]

by Reviewer Ocelot

Kingdom Come: Deliverance 2 – รีวิว [Review]

รีวิว Kingdom Come: Deliverance 2

ต้องบอกว่าผมเตรียมใจมาระดับนึงกับความซับซ้อน ความต้องปีนบันไดเล่นของเกมนี้ ด้วยกิตติศัพท์จากภาคแรก และหลังจากที่ได้เริ่มก้าวเท้าเข้าไปในราชอาณาจักรโบฮีเมียศตวรรษที่ 15 ไม่กี่ชั่วโมง ก็เข้าใจได้เลยว่า ถ้าคนรักก็จะรักมาก คนที่เกลียดก็อาจปิดตั้งแต่ช่วง 30 นาที แรก

ขอขอบคุณ PLAION สำหรับโค้ดรีวิวมา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ

**รีวิวนี้เล่นบน PC โดยสเปคที่ใช้เล่นคือ

  • Processor: Intel(R) Core(TM) i7-10700 CPU @ 2.90GHz 2.90 GHz
  • Ram: 32.0 GB
  • RTX 3070

เล่นยังไง…

อาจเป็นคำถามแปลก ๆ แต่ Kingddom Come: Deliverance 2 ไม่ใช่รสชาติที่คุณจะเข้าถึงมันได้ง่าย ๆ ด้วยระบบเกมที่ลงลึกในรายละเอียดและมีความซับซ้อน

เหมือนทางผู้พัฒนาก็รู้ดีครับ เกมเลยค่อนข้างให้เวลากับการสอนนานพอตัว ซึ่งเข้าใจได้เลยว่าทำไมเป็นแบบนั้น เพราะขนาดผมเล่นจนกินเวลาไปกว่า 90 ชั่วโมง ผมยังไม่ถ่องแท้กับบางแง่มุมของเกมนี้เลย มันเป็นเกมผจญภัยยุคกลางที่อาจฟังดูจืดชืด แต่ภายในของมันคือความเข้มข้น ไปจนถึงความบ้าคลั่งในรายละเอียดอันมหาศาลของเกม

ในช่วงแรกไปจนถึงหลังจากพระเอกของเรา เฮนรี โดนโจรป่าปล้น ผมคิดว่าผมได้เรียนรู้ระบบบต่าง ๆ ที่พอจะใช้จริงในเกมได้แล้ว ปรากฎว่าบทฝึกสอนของจริงก็คือหลังจากที่เกมปล่อยให้เราบังคับเฮนรี่ไปเดินเล่นได้อย่างอิสระในแผนที่ทรอตสกี้ นั่นเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ในไม่ช้าคุณจะได้รู้ว่า ทั้งการปรุงยา การขโมยของ การลอบเร้น การเจรจา การต่อสู้ แม้กระทั่งการวิ่งหรือเดิน ทุกอย่างส่งผลกระทบกับเกมเพลย์ทั้งนั้น

เกมจะใช้ระบบให้ตัวละครมีเลเวลหลัก ซึ่งส่วนใหญ่จะได้ค่าประสบการณ์มากจากการทำเควสต์ต่าง ๆ และพวกสกิลอีกหลายกลุ่มที่ส่วนใหญ่จะเพิ่มขึ้นเมื่อเราทำสิ่งนั้นบ่อย ๆ เช่น ยิ่งเราลอบเร้นบ่อยจนเลเวลขึ้น เราก็จะสามารถเอาแต้มไปลงสกิลลอบเร้นที่มีประโยชน์ได้ ยิ่งคุณขี่ม้าและใช้งานมัตต์สุนัขคู่ใจมากเท่าไร คุณก็จะมีแต้มไปลงให้ทักษะการฝึกสัตว์มากขึ้นเท่านั้น แม้แต่การเดิน การวิ่งก็ยังเพิ่มค่าความอดทน ไม่มีอะไรเสียเปล่า

ด้วยการกระทำที่มันส่งผลในทุกมิติของตัวเอก และภารกิจที่ค่อนข้างมีความยืดหยุ่นในการทำให้สำเร็จ ถ้าคุณมาเล่นเกมนี้แบบตั้งเป้ามาจะมาสายการทูตหรือสายต่อสู้บ้าเลือด มันก็พอได้ในระดับหนึ่ง แต่ผมพบว่าจะช้าหรือเร็วคุณก็จะเจอภารกิจที่มันเรียกร้องให้คุณใช้ทักษะแทบทั้งหมด ทั้งปรุงยา สะเดาะกุญแจ ความรู้เรื่องวิชาการ ส่วนนี้ไม่ได้หมายความว่าคุณจะเน้นสายใดสายหนึ่งไม่ได้ แต่การมีสกิลที่ครอบคลุมมันจะช่วยให้ทำภารกิจได้ง่ายขึ้นและให้ผลลัพธ์ที่ต้องการมากกกว่า

อีกเรื่องคือในเกมนี้เราจะได้สลับเล่นเป็นตัวละคร 2 ตัว ก็คือเฮนรี่และหลวงพ่อก็อดวิน แต่ถ้าจะให้แบ่งสัดส่วนจริง ๆ ก็คือเฮนรี่ 80 ก็อดวิน 20 เพราะก็อดวินเหมือนเป็นตัวละครที่จำเป็นในตอนที่เฮนรี่ไม่อยู่ในสภาพจะทำอะไรได้ชั่วคราว เช่น โดนขังที่ไหนสักแห่ง หรือ ติดภารกิจบางอย่าง ก็อดวินก็จะทำหน้าที่ในแง่การเล่าเรื่องให้ผู้เล่นเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนที่เฮนรี่ไม่อยู่บ้าง และตัวละครก็อดวินมีค่าสเตตัสความสามารถกำหนดมาให้หมดแล้ว เราแค่ดำเนินเนื้อเรื่องหลักให้พ้นช่วงของแกไป

ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมันเป็นเกมที่ผมเล่นยาวเกือบจะ 100 ชั่วโมง ส่วนหลัก ๆ เลยก็คือ การกระทำทุกอย่างในเกมมันค่อนข้างช้าครับ ด้วยความที่มันลงรายละเอียดมาก ผมคิดว่าผมใช้เวลาเกือบบหนึ่งในสามของการเล่นไปกับการทำกิจวัตรประจำวันของเฮนรี่ ทั้งการกิน การนอน การอ่านหนังสือ การใส่เสื้อผ้า (ที่ก็ต้องมีลำดับการใส่ของมันเองอีก) การไปซักผ้า หางาน หาเงิน ยังไม่นับว่านี่เป็นเกมที่คุณต้องโฟกัสกับบทสนทนาเยอะมาก ๆ ๆ ๆ ๆ ถ้าอยากได้อรรถรสที่มันครบถ้วน

เนื้อเรื่อง

เซตติ้งของเกมเล่าเรื่องราวในราชอาณาจักรโบฮีเมียช่วงยุคกลาง รวมถึงหลายพื้นที่ในเขตจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ โดยมีการต่อสู้ชิงบัลลังก์ของกษัตริย์เวนเชสเลาส์ที่ 4 และกษัตริย์ซิกิสมุนด์เป็นศูนย์กลางของความเป็นไปในดินแดนเหล่านี้ รวมถึงพลังอำนาจของศาสนจักโรมันคาธอลิกที่มีบทบาทและกำหนดความเป็นไปของแทบทุกชีวิตในยุคกลาง

มนุษย์วางแผน ส่วนพระเจ้าทำให้มันเละ นั่นคือบทพูดของก็อดวินที่สรุปเหตุการณ์สำคัญในเรื่องได้ดีที่สุดครับ จากภารกิจการส่งสารที่ดูจะไม่มีอะไร เฮนรี่ และเซอร์คาร์ปงกลับต้องเข้าไปพัวพันกับวังวนของเหตุการณ์ กระแสสงครามและการเดินหมากการเมืองทำให้ทั้งคู่ต้องพบกับวิบากกรรมครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกครั้งที่เจอมันไม่เคยเป็นครั้งสุดท้าย

แต่ผมบอกได้เลยว่าถึงมันจะฟังดูเป็นเรื่องราวของชนชั้นสูงและอัศวินผู้กล้าแค่ไหน หัวใจสำคัญของเกมนี้ก็คือการได้สัมผัสกับวิถีชีวิตของคน มิติของการกิน ขี้ ปี้ นอน ไปจนถึงความตายถูกขับเน้นอย่างเข้มข้นด้วยระบบเกมเพลย์ที่ละเอียด จนแทบจะพูดได้เลยว่านี่เป็นเกม Medieval Simulator จำลองการไปใช้ชีวิตของคนในยุคกลาง มันอาจจะไม่ครอบคลุมทั้งหมด (เฮนรียังไม่ต้องมานั่งขี้) แต่ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในเกมที่ครอบคลุมที่สุดเวลานี้

โลกในเกมจะแบ่งเป็น 2 พื้นที่ใหญ่ ๆ ก็คือ เขตทรอตสกี้ที่กินระยะช่วงแรกของเกม ทำหน้าที่เป็นเหมือนแผนที่ฝึกสอน ก่อนจะไปลองของจริงกับแผนที่ใหม่ที่มีเมืองใหญ่คือคุตเตนเบิร์ก

ต้องบอกว่าถึงเกมจะไม่ได้มีงานกราฟิกที่อลังการ NPC หลายตัวดูหน้าก็รู้ว่ามันคือ NPC ตัวเก่าในสกินใหม่ แต่ความโหดที่แท้จริงของเกมนี้คือการจัดวางรายละเอียด ทั้งสิ่งของที่อยู่บนพื้นอย่างขี้คน ซึ่งสะท้อนการขับถ่ายในยุคกลาง กิจวัตรของ NPC สถาปัตยกรรม เฟอร์นิเจอร์ และวัตถุต่าง ๆ เช่น หนังสือ หีบสมบัติ ก็อยู่ในที่ที่มันควรอยู่ ถึงงานภาพจะไม่ได้ท็อปฟอร์ม แต่พลังที่เรียกร้องการสำรวจในโลกนี้ไม่มีแผ่ว

และที่ขาดไม่ได้สำหรับโลกที่มีชีวิตชีวาคือผลกระทบที่ตามมาจากการกระทำของเรา เกมไม่ปิดบังเรื่องนี้เลยครับ มันบอกเราตั้งแต่ต้นด้วยซ้ำว่า การลักวิ่งชิงปล้นหรือลอบเข้าพื้นที่ที่ไม่ได้รับอนุญาตจะส่งผลกระทบตามมา ถ้าระดับเล็กน้อยก็เสียชื่อ และคนจะไม่ค่อยยอมคุยด้วย ถ้าหนักถึงขั้นทำผิดกฎหมายก็จะโดนตั้งแต่ถูกเอาตัวไปประจานต่อหน้าประชาชี จนถึงขั้นอาจถูกประหารเลยก็ได้

ของต่าง ๆ ที่เราไปย่องตอดมาอย่านึกว่าจะไม่มีคนจับได้ เพราะถ้าเราทำการขโมยไอเท็มชิ้นนั้นก็จะมีสัญลักษณ์รูปมืออยู่ หมายถึงเป็นของมีมลทินของที่ปล้นเขามา จะทำให้มันราคาตกและยิ่งทำให้คนสงสัย ถ้าโดนจับได้พร้อมของกลางคุณก็จะโดนค่าปรับหนักตามของที่ขโมยมา

แต่นั่นแหละครับคือสเน่ห์ที่ทำให้เกมนี้มันฉีกแถวออกมาจากเกมอื่น ๆ ยังไม่รวมพวกเควสต์ต่าง ๆ ที่ก็มีบทสรุปแตกต่างกันไปตามผลกรรมที่เราทำ

หัวใจของเกม

อีกส่วนที่ผมคิดว่าเกมทำให้เราเกาะติดกับเรื่องราวมากมายก็คือบรรดาตัวละครครับ เกมนี้มีการนำเสนอตัวละครเยอะมาก ถึงมากที่สุด ตั้งแต่ช่วงต้นเกมไล่ไปจนถึงเกือบท้าย ๆ เกมก็ยังมีตัวละครใหม่ ๆ โผล่หน้ากันมา และผมรู้สึกมีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละครหลายตัวได้

ที่เป็นแบบนี้ต้องยยกคุณความดีให้บทสนทนาของเกม เพราะบทสนทนาคือเครื่องมือสำคัญที่สุดอย่างนึงในการสร้างคาแรกเตอร์ให้ตัวละคร แล้วเกมนี้มีทางเลือกบทสนทนามากมายจนไม่น่าเชื่อ มันแทบจะมีตัวเลือกคำพูดสำหรับทุกสถานการณ์ แต่ในขณะเดียวกันมันก็คุมธีมให้เข้ากับปากตัวละครนั้น นับถือคนเขียนจริง ๆ

อีกจุดหนึ่งก็คือการเล่าเรื่องด้วยคัตซีนและเพลง พวกนี้เป็นตัวรับส่งอารมณ์ของตัวละครในสถานการณ์สำคัญ เช่น ฉากที่ตัวละครเรากำลังตกอยู่ในสถานการณ์เข้าตาจน แต่มีเพื่อนมาช่วยพอดีพร้อมเพลงเปิดอลังการ มันเป็นสูตรสำเร็จ แต่เมื่อเกมมันกล่อมใจผมซื้อเรื่องราวและตัวละครต่าง ๆ แล้ว ความรู้สึกสุข ทุกข์ โกรธแค้น ฮึกเหิม โล่งใจ ฮา มันพาผมเดินเคียงข้างไปกับเหล่าตัวละครได้อย่างครบทุกรสชาติจริง ๆ

สิ่งที่ Kingdom Come: Deliverance 2 คู่ควรกับการชื่นชมอีกอย่างก็คือ มันโชว์การแก้ปัญหาที่เกมโอเพนเวิลด์แทบทุกเกมต้องเจอ นั่นก็คือจังหวะการเล่าเรื่อง ความเสี่ยงที่บรรดาเกมเหล่านี้ต้องเจอก็คือการไม่สามารถหาจุดสมดุลของการปล่อยให้ผู้เล่นล้อฟรี และการบังคับให้พวกเขากลับมาสนุกกับเนื้อเรื่องหลักแบบไม่ขาดตอน

เกมนี้สามารถจัดการกับปัญหาเรื่องนั้นได้ วิธีที่เขาใช้ก็คือเขาจะแบ่งเกมเป็น 2 พาร์ทใหญ่ ๆ อย่างที่บอกไป ในแต่ละพาร์ทช่วงแรกเขาจะปล่อยให้เราเล่นอย่างอิสระ อยากทำอะไรทำ อยากไปที่ไหนก็ไป เควสต์รองเก็บให้หมด แต่พอกลับมาดำเนินเนื้อเรื่องหลัก มันจะมีจุดที่เกมขึ้นเตือนว่าต่อจากนี้จะเดินหน้าชนเควสต์หลักอย่างเดียวแล้วนะ ไม่มีมาหยุดพักทำเควสต์เสริมแล้ว

ซึ่งการเตือนแบบนี้ในเกมโอเพนเวิลด์ส่วนใหญ่มันจะมาตอนช่วงใกล้จบเกมจริง ๆ แต่ใน Kingdom Come: Deliverance 2 มันจะมาช่วงท้ายของแต่ละพาร์ท

ถ้าเราเลือกจะลุย เราก็จะได้ทำเควสต์หลักเป็นชุดเหตุการณ์ต่อเนื่องรัว ๆ แล้วพอมันไม่มีการทำเควสต์เสริมมาขัด อารมณ์ของเราที่มีต่ออเนื้อเรื่องมันก็ไม่ขาดตอน ไม่ต้องมาห่วงหน้าพะวงหลัง ใส่ได้เต็มที่ แล้วค่อย ๆ ผ่อนสถานการณ์ให้กลับไปเล่นแบบอิสระได้เหมือนเดิม เป็นอีกหนึ่งโมเดลน่าสนใจที่เกมโอเพนเวิลด์น่าจะเอาไปลองปรับใช้กันดู

ถึงแบบนั้น…

ถึงแบบนั้นเกมนี้ก็ยังมีแผลที่เห็นได้ชัดหลายจุด เอาจุดใหญ่เลยก็คือระบบต่อสู้ แม้ว่าจะมีการลงรายละเอียดของการต่อสู้มากมาย แต่ผมรู้สึกว่าเกมทำการต่อสู้กบบตะลุมบอนไม่ค่อยดี ด้วยความที่เกมนี้มีการล็อกเป้าแบบอัตโนมัติ หลายครั้งเมื่อมีการต่อสู้เป็นกลุ่ม ล้อมหน้าล้อมหลัง มันทำให้ขยับเป้าลำบากมาก หลายครั้งทำให้เกิดความซับซ้อนแบบไม่จำเป็น เช่น จะล็อกเป้าศัตรูตัวนี้ ดันไปล้อกเป้าอีกตัว แล้วจะเปลี่ยนเป้าก็ทำได้ยาก ยังไม่รวมถึงการต่อสู้ในที่แคบที่ตัวละครมันจะเบียดเสียดกัน จนไม่รู้จะสู้ยังไงเลยก็มี

สีหน้าการกระทำของตัวละครต้องบอกว่าพัฒนาจากภาคแรกอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังไม่ดีมากพอ เจอ NPC เปลี่ยนสกิน เปลี่ยนชุดมากมายมหาศาล เอาเข้าจริงมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ถ้าเทียบกับเนื้อหาที่ใส่เข้ามา

ถึงแบบนั้นก็ต้องยอมรับว่าในหลาย ๆ สถานการณ์มันทำให้เหตุการณ์ดูแปลก เช่น ตัวละครหนึ่งจะลงมือฆ่าตัวนี้ ตัดฉากแบบมีดเสียบจึ้กหน้า NPC บิด ๆ นิดหน่อย พร้อมเสียงร้อง แล้วก็ตัดกลับมาที่หน้านิ่ง ๆ ของเฮนรี มันก็ลดความอินลงไปเยอะเหมือนกัน

สรุป

Kingdom Come Deliverance 2 เป็นเกมที่ต้องปีนบันไดเล่นแน่นอน ทั้งเกมเพลย์ เรื่องราว ที่สำคัญที่สุดคงจะหนีไม่พ้นเรื่องกำแพงภาษา แม้แต่คนที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ก็อาจจะมีงง ๆ อยู่บ้าง เพราะเกมยังใส่ภาษาถิ่น ภาษาเฉพาะกลุ่ม (อย่างภาษาคนเหมือง) สะท้อนว่าทีมงานมีความหลงใหลในโปรเจกต์นี้จริง ๆ

มันเลยเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ว่าผู้เล่นบางส่วนจะรู้สึกว่าเกมมันเรียกร้องการเรียนรู้มากเกินไป ผมไม่ปฏิเสธเรื่องนั้น แต่สิ่งที่ผมยืนยันได้ก็คือ ความรู้สึกเยอะเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ใส่เข้ามาโดยไม่ผ่านการคิดมาก่อน มันมีอยู่เพื่อให้คุณได้รู้สึกถึงแฟนตาซียุโรปยุคกลางมากที่สุด ถึงเกมจะยังมีจุดบกพร่องอยู่ แต่ถ้า Kingdom Come Deliverance 2 พาคุณสามารถออกจากคอมฟอร์ตโซนของการเล่นเกมแบบเดิม ๆ ได้ มันคุ้มราคาที่จ่ายไปแน่นอน

The Review

85% การผจญภัยที่มาพร้อมรูป เสียง และแทบจะได้กลิ่นยุคกลางยุโรป

85%

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ข้ามไปยังทูลบาร์