News Reviews

SHINOBI: Art of Vengeance – รีวิว [REVIEW]

by Reviewer Ocelot

SHINOBI: Art of Vengeance – รีวิว [REVIEW]

รีวิว SHINOBI: Art of Vengeance

ชื่อ Joe Musashi ดูเป็นอดีตที่ไกลแสนไกลในช่วงที่เกม Shinobi ของ SEGA เป็นเรือธงอันภาคภูมิ แต่เวลานับทศวรรษก็พิสูจน์แล้วว่า Shinobi ได้โรยราไปตามยุคสมัย จนในที่สุด SEGA ก็ตัดสินใจจะทำพิธีปลุกชีพซีรีส์นี้ขึ้นมาอีกครั้งใน Shinobi: Art of Vengeance ที่คราวนี้ได้ร่วมมือกับทีม Lizardcube แห่งฝรั่งเศส ในภารกิจพา Joe Musashi ออกจากเงามืดของอดีต

หลังจากเล่นจนจบ สิ่งที่ผมบอกได้ก็คือถ้าคุณคาดหวังว่าเกมจะตอบสนองแฟนตาซีของชิโนบิเดินหน้าฝ่าด่านพร้อมวิชานินจามากมาย คุณจะได้สิ่งเหล่านั้น แต่จะไม่มีอะไรมากกว่านั้น

Shinobi: Art of Vengeance จะเล่าเรื่องราวของ Joe Musashi ที่วันหนึ่งโดน ENE Corporation บรรษัทยักษ์ใหญ่ของ Ruse บุกทำลายหมู่บ้าน เพราะ Joe และพรรคพวกคือศัตรูตัวฉกาจที่ Ruse เอาไว้ไม่ได้

ความฉีกก็คือ ENE Corporation มันเป็นเหมือนแหล่งรวมกองกำลังทหาร ภูตผีปิศาจ ไปจนถึงไคจู บรรยากาศเกมเลยจะให้อารมณ์แนวนินจาปะทะไซบอร์กผสมความเป็นแฟนตาซี หนึ่งชิโนบิปะทะศัตรูนับพัน และนี่เป็นรสชาติโดดเด่นเพียงอย่างเดียวที่ผมสามารถรีดเอาออกมาได้จากเนื้อเรื่องของเกมนี้ เพราะเนื้อหนังส่วนที่เหลือทั้งหมดของเรื่องราวมันไม่ได้ไปไกลกว่าชื่อเกม Art of Vengeance เลย

ถ้ากล้าจะเรียกสิ่งนี้ว่าเป็น Art ได้ เนื้อเรื่องช่วยเจ้าหญิงของ Mario ก็คือ Art เหมือนกัน

เอาเข้าจริง ตีมเรื่องการเดินทางแก้แค้นเกมอื่น ๆ ก็ใช้กัน มันเป็นกรอบสำเร็จรูปแบบหนึ่ง ซึ่งจะใช้ก็ไม่ได้ผิดอะไร มันอยู่ที่การนำเสนอมากกว่า แต่สำหรับ Shinobi ผมต้องบอกตรง ๆ ว่าเกมไม่ประสบความสำเร็จที่จะดึงอารมณ์ให้ผมร่วมลุ้นไปกับตัวละครได้เลยตั้งแต่ต้นยันจบ บทและปมถูกผูกและคลายอย่างง่ายดาย ส่วนนึงอาจจะเพราะทีมงานทำให้ Joe พูดไม่ได้ ได้แต่ทำเสียง ฮืมม ฮืมม ซึ่งเอาเข้าจริงผมแอบคิดว่าทีมงานตั้งใจจะใส่เข้ามาให้เป็นมีมรึเปล่า

ถ้าไม่นับเรื่องของอาร์ตสไตล์ ตลอดทั้งเกมผมรู้สึกว่ามันมีความเพลย์เซฟค่อนข้างสูงมาก ไม่ใช่แค่ในแง่ของเนื้อเรื่องแต่รวมถึงระบบต่อสู้ การเดินทางในแผนที่ การสำรวจ แม้แต่ไฮไลต์อย่างการสู้บอสก็ด้วย ผมจะขอว่าไปทีละส่วน

ระบบต่อสู้ของเกมนี้เบสิกมันก็คือการตีเบาตีหนักผสมผสานคอมโบ การปาคุไน การตีทะลุการ์ด การใช้เวทมนตร์ รวมถึงคาถาลับสุดยอด ของพวกนี้เราเห็นกันมาหมดจากเกมอื่นแล้ว วิธีการใช้งานก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไร ถ้าอยากใช้เวทมนตร์ก็ต้องตีศัตรูจนเกจเวทมนตร์เต็ม ถ้าอยากใช้คาถาสุดยอดก็เน้นถูกศัตรูโจมตีจนค่า Rage มากพอ

การอัปเกรดกระบวนท่าของเกมนี้ก็ง่าย ๆ คือซื้อจากร้านค้าโยไค พวกของเพิ่มพลังชีวิตสูงสุดถ้าไม่เก็บตามฉากก็ซื้อเอาจากโยไคได้เหมือนกัน ซึ่งร้านค้าจะปลดล็อกของใหม่ ๆ มาให้ซื้อตามเหรียญ Oboro ที่เราเก็บได้ในด่านต่าง ๆ

อาจจะมีสิ่งที่ดูเข้ากับยุคสมัยขึ้นมาบ้างก็คือเมื่อเราทำให้เกจด้านล่างพลังชีวิตของศัตรูลดลงจนหมด เราจะสามารถกดใช้ท่าพิฆาตศัตรู ยิ่งทำกับศัตรูในคราวเดียวกันได้เยอะ ไอเท็มที่ได้ก็จะมากตามไปด้วย คือถ้าจะเล่นแบบเอาเท่ เล่นต่อคอมโบสวย ๆ เอาไปลงช่องมันก็พอทำได้อยู่

การสำรวจของเกมนี้จะเน้นกาสังเกตจุดที่ไม่เคยไปมาก่อน สามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยการเปิดแผนที่ขึ้นมาดู หลายจุดในช่วงแรกเรายังไม่สามารถผ่านได้เพราะยังไม่มีความสามารถที่ต้องการ ก็ต้องใช้วิธีการเล่นเกมไปจนถึงจุดหนึ่งแล้วย้อนฉากกลับมาผ่านจุดนั้น และเกมก็อำนวยความสะดวกให้ด้วยการมีระบบ Fast Travel ไปตามจุดเช็กพอยต์ต่าง ๆ สำหรับใครที่เป็นสายชอบความสมบูรณ์แบบ แต่ละด่านก็จะมีเปอร์เซ็นต์ขึ้นให้ดูว่าเราเก็บความลับและสำรวจทุกอย่างครบรึยัง

ความสำคัญคือสิ่งที่ได้มันคุ้มค่ากับการกลับมาสำรวจหรือไม่ ซึ่งหลายครั้งก็ต้องบอกว่าไม่สมราคาขนาดนั้น ส่วนใหญ่มันจะทำให้เราได้เหรียญ Oboro เอาไว้ใช้อัปเกรดร้านค้า หรือไม่ก็จุดที่เราต้องทำชาลเลนจ์ฟันหน้ากากแล้วสู้กับกลุ่มศัตรู ถ้าทำครบสามครั้งหีบหน้ากากก็จะเปิดออก ตัวอย่างของในหีบบางทีก็เป็นแค่เพิ่มจำนวนสูงสุดของคุไน

จะมีที่น่าสนใจก็คือการที่เกมจะให้เราเข้าไปมิติของยมทูต แล้วให้เราทำชาลเลนจ์ผ่านฉากแพลตฟอร์มสุดโหดหิน ผมทำสำเร็จไปด่านหนึ่งก็ได้ชิ้นส่วนคาตานะดำมา คิดว่าน่าจะเป็นอาวุธลับพลังเทพ

ที่ขาดไม่ได้เลยก็คือเกมจะมีฉากไล่ล่าหรือหนีตาย คอยทดสอบการตอบสนองของคนเล่น เช่น วิ่งหนีเครื่องบินรบ ไต่กำแพงหนีทะเลเพลิง ก็ตามมาตรฐานเกมแนวนี้ครับ ไม่ได้โดดเด่นและก็ไม่แย่ แต่ผมแอบรู้สึกว่าในหลาย ๆ ฉาก หลาย ๆ setpiece มันทำให้ผมนึกถึง Prince of Persia: The Lost Crown ซึ่งยิ่งทำให้ผมมองเกมนี้จางลงไปอีก เพราะลูกเล่นของ Joe ในการปฏิสัมพันธ์กับด่านไม่ได้มีมากมาย ส่วนใหญ่ก็จะเน้นการแดช การใช้สลิงดึงตัว การใช้ผ้าขึงให้ลมพัดไปตามกระแสแล้วก็หลบหนามไปมามากกว่า

ท่ามกลางทะเลน้ำจืด บอสไฟต์เลยเป็นสิ่งที่ผมคาดหวังอย่างมาก แต่คงต้องโทษตัวผมเองที่อาจจะคาดหวังมากเกินไป การสู้บอสทุกตัวเป็นไปแบบเนือย ๆ เน้นการหลบแล้วหาจังหวะเข้าตี จะมีบางตัวที่ลูกเล่นเยอะหน่อย เช่น บางตัวมาแท็กทีมเป็นคู่ บางตัวต้องตีคริสตัลเพื่อเปิดช่องให้เราโจมตีมันได้ แต่ในภาพรวมแล้ว แม้แต่ตัวบอสใหญ่เองก็ไม่สามารถแทรกผ่านเข้าไปในกลีบสมองความทรงจำของผม มิติตัวร้ายแบบแบนราบให้ฆ่าแล้วก็จบ ๆ ไป ถึงหลังจบเกมจะมีปลดโหมด Boss Rush แต่ผมก็ไม่รู้สึกว่าจะต้องไปยุ่งเกี่ยวอะไรอีกแล้ว

อย่างที่จั่วหัวไว้ ถ้าอยากได้เกมที่ตอบสนองแฟนตาซีชิโนบิ มีอุปกรณ์คาถานินจา มีงานอาร์ตสไตล์สวย ๆ Shinobi: Art of Vengeance จะให้สิ่งนั้น แต่ไม่ให้อะไรมากไปกว่านั้น เกมมีลักษณะเพลย์เซฟสูงทั้งในแง่เนื้อเรื่อง การสำรวจ กระทั่งบอสไฟต์

ถึง Joe Musashi จะออกจากเงามืด แต่โลกมันเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว

The Review

70% คาดหวังแฟนตาซีชิโนบิ ก็ได้อย่างนั้น แต่ไม่มากไปกว่านั้น

70%

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ข้ามไปยังทูลบาร์