Games News Reviews

Ninja Gaiden 4 – รีวิว [REVIEW]

โดย G-jang

Ninja Gaiden 4 – รีวิว [REVIEW]

*ขอขอบคุณโค้ดรีวิวจาก Xbox Game Studios มา ณ โอกาสนี้ครับ
**รีวิวนี้เล่นบน PlayStation 5

Ninja Gaiden คือแฟรนไชส์ที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องความโหดหินมาตั้งแต่เกมไตรภาคสมัยยุคเครื่องแฟมิคอม และความโหดหินนั้นก็สืบเนื่องมาจนถึงภาค 3D ในยุคของเครื่อง PlayStation 3 และ Xbox 360 ที่ก็ออกมาสามภาคเช่นกัน แต่แล้วเกมแฟรนไชส์นี้ก็จำศีลมาเป็นเวลายาวนานเกินสิบปีโดยที่ไม่มีภาคหลักออกมาใหม่เลย จนกระทั่งในปี 2025 นี้เอง ที่เกมแฟรนไชส์นี้หวนกลับมาด้วยภาค Ninja Gaiden 2 Black ซึ่งเป็นฉบับรีเมก รวมถึงภาคสปินออฟแบบ 2D ดั้งเดิมอย่าง Ninja Gaiden Ragebound

และในรีวิวนี้เราจะมาพูดถึง Ninja Gaiden 4 ภาคหลักอย่างเป็นทางการของแฟรนไชส์นี้ที่หลายคนคิดถึงครับ


เนื้อเรื่อง

สำหรับเซ็ตติ้งของ Ninja Gaiden 4 ในคราวนี้ จะดำเนินเรื่องราวในมหานครโตเกียว ที่แทบจะกลายเป็นดินแดนรกร้างอันเนื่องมาจากซากของมังกรทมิฬที่ลอยค้างเหนือมหานครแห่งนี้ โดยไม่กี่ปีก่อนเหตุการณ์ในเกมได้มีปีศาจกับนักบวชหญิงผู้หนึ่งพยายามปลุกชีพมังกรทมิฬกลับมา แต่ริว ฮายาบุสะนินจาระดับตำนานได้เข้าขัดขวางและกำจัดมังกรทมิฬลงได้

แต่แม้จะตายไป มังกรทมิฬก็ไม่สิ้นฤทธิ์ ซากของมันก่อเกิดเป็นสายฝนต้องสาปที่ตกลงมาไม่หยุด ผืนดินตกอยู่ในสายน้ำต้องสาปพร้อมกับมีบรรดาปีศาจปรากฏขึ้นมามากมาย ผู้คนพยายามดิ้นรนเอาตัวรอดโดยการสร้างตึกให้สูงยิ่งขึ้นไปเพื่อหนีน้ำ แต่ท้ายที่สุดแล้วโตเกียวก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป จากนั้นองค์กรกึ่งทหารอย่าง Divine Dragon Order หรือ DDO เข้ามาทำหน้าที่รักษาความสงบและดูแลเมือง พร้อมกับความร่วมมือจากริว ฮายาบุสะ

ในภาคนี้ตัวเอกหลักของเกมก็คือยาคุโมะ นินจาหนุ่มจากตระกูลอีกา (คาราสึหรือ Raven) ที่เดินทางมายังโตเกียวเพื่อปฏิบัติภารกิจในการสังหารหญิงสาวผู้เป็นนักบวชหญิงแห่งมังกรทมิฬ เพราะในตระกูลของเขานั้นมีคำพยากรณ์กันมาว่าหากจะกำจัดมังกรทมิฬให้สิ้นซาก ก็จำต้องสังหารนักบวชหญิงคนดังกล่าว ซึ่งเธอโดนควบคุมตัวเอาไว้โดย DDO นั่นเอง

เมื่อเป็นเช่นนั้นยาคุโมะก็จำเป็นต้องปะทะกับบรรดาทหารแห่ง DDO อย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่แล้วเมื่อยาคุโมะได้พบกับเธอเข้า นักบวชหญิงผู้มีนามว่าเซโอริก็ได้บอกความจริงบางอย่างกับเขาถึงวิธีการกำจัดมังกรทมิฬให้สิ้นซาก และนั่นทำให้เขาตัดสินใจพาเธอหลบหนีออกมาจากการโดนคุมขังแทน

ถ้าจะให้พูดถึงส่วนของเนื้อเรื่องก็ต้องบอกว่ามันไม่ค่อยมีอะไรมากครับ ยังคงตรงไปตรงมาสไตล์หนังแอ็กชันบู๊ล้างผลาญที่เน้นซัดกันเยอะ ๆ สู้กันแยะ ๆ แบบไม่ค่อยต่างจากภาคก่อน ๆ มีจุดหักมุมเล็กน้อยตามสไตล์ในแบบที่เดาได้ค่อนข้างง่าย มันเลยทำให้เนื้อหาของเกมอาจจะไม่ลึกซึ้งแต่ถ้าคุณอยากได้ความเท่และความสะใจล่ะก็เกมนี้มีให้ทั้งเกมแน่นอนครับ

ในส่วนของตัวละครในเกมนั้น เอาเข้าจริงผมคิดว่าตัวละครหลายตัวในรอบนี้แอบมีบทที่จืดจางเอาเรื่อง ที่เด่นจริง ๆ ก็น่าจะมีแค่ราวสองหรือสามตัว กระทั่งตัวละครขวัญใจของใครหลายคนอย่างนินจาสาวอายาเนะเองก็มีบทบาทที่ผมสงสัยว่ามาทำอะไร เหมือนแค่ใส่มาให้รู้ว่ามีเฉย ๆ มันก็เลยแอบน่าเสียดายเหมือนกัน ยังไม่นับว่าพอเกมจบก็จบแบบไม่มีบทส่งท้ายให้เราได้เห็นความเป็นไปของแต่ละคนหลังสิ้นสุดเหตุการณ์ในเกมครับ


เกมเพลย์

พอพูดถึงเนื้อเรื่องของเกมไปแล้ว ก็ต้องมาพูดถึงเกมเพลย์กันบ้าง สำหรับแฟรนไชส์นี้เกมเพลย์คือหัวใจสำคัญอันยิ่งยวดเลยก็ว่าได้ เนื้อเรื่องนี่เหมือนเป็นของแถม

ระบบต่อสู้

ผมคิดว่าถ้าหากคุณเคยเล่นภาคก่อน ๆ มา (ภาคที่เป็น 3D นะ) คุณก็น่าจะทำความเข้าใจและคุ้นเคยกับระบบได้ง่ายครับ เพราะนี่คือเกมแอ็กชัน hack and slash ความเร็วสูงให้คุณสวมจิตวิญญาณแห่งนินจาได้เต็มที่ ทุกท่วงท่าและทุกมูฟเมนต์คือความขี้โม้และฉูดฉาดบนหน้าจอ ซึ่งภาคนี้เหมือนทีมพัฒนาอย่าง Platinum Games นี่ไปวิเคราะห์ภาคเก่า ๆ แล้วรู้สึกว่ามันยังช้าเกินไป ภาคนี้พี่แกก็เลยเพิ่มความเร็วขึ้นเป็นเท่าตัวครับ ดังนั้นถ้าคุณมือไม่ไว ตาไม่ไว คุณจะเล่นเกมนี้ได้ลำบากแน่ ๆ

สไตล์การเล่นของ Ninja Gaiden 4 นี้ คุณยังคงต้องฝ่าฟันบรรดาศัตรูโดยกดปุ่มโจมตีเบา สลับปุ่มโจมตีหนักเพื่อออกท่าคอมโบที่ต้องการ แต่ก็แน่นอนล่ะครับว่าศัตรูเกมนี้ยังคงไม่ปรานี ไม่รอให้คุณหยุดพักหายใจ พวกมันจะไม่กดบัตรคิวเพื่อรอเข้ามาสู้กับคุณทีละตัว แต่พวกมันจะรุมกระหน่ำฟาดคุณให้ลงไปนอนให้ได้ ด้วยเหตุนี้คุณก็เลยจำเป็นต้องเคลื่อนที่ตลอดเวลา ทั้งหลบ ทั้งวิ่ง ทั้งกระโดด ทั้งไต่กำแพง อะไรต่อมิอะไรในสไตล์นินจาเพื่อชิงความได้เปรียบในทุกการต่อสู้

องค์ประกอบสำคัญหนึ่งของภาคนี้ในแง่ระบบต่อสู้ก็คือหลอดพลังค่า Ki ครับ ซึ่งหลอดนี้สำหรับยาคุโมะแล้วจะเป็นการใช้วิชาบลัดไบนด์ ซึ่งจะเป็นการใช้เลือดเพื่อเปลี่ยนรูปลักษณ์ของอาวุธที่คุณใช้อยู่ และเปลี่ยนท่าโจมตีแต่ละท่าไปเลย ซึ่งอรรถประโยชน์ของท่าโจมตีพวกนี้ก็คือมันจะรุนแรงกว่าการโจมตีปกติครับ นอกจากนี้คุณยังสามารถสลับการโจมตีเพื่อต่อคอมโบให้ยาวขึ้นได้ด้วย แต่สิ่งสำคัญของระบบนี้ก็คือการขัดจังหวะท่าโจมตีของศัตรูรวมถึงบอสนั่นเอง เพราะภาคนี้พวกศัตรูจะมีท่าโจมตีหนักซึ่งเกมจะมีสัญลักษณ์ขึ้นเตือนล่วงหน้า หากว่าคุณโจมตีพวกมันในสภาวะนี้ก็จะทำให้พวกมันชะงักและเปิดโอกาสให้คุณโจมตีต่อเนื่องได้อย่างรุนแรง มันก็เลยมีองค์ประกอบในแง่การบริหารเกจเข้ามาด้วย หากคุณสแปมท่าจนไม่มีให้ใช้ในจังหวะที่ควรใช้ก็จะลำบากครับ

นอกเหนือจากระบบ Ki ที่ว่าไปแล้ว ภาคนี้ยังให้ความสำคัญกับระบบอื่น ๆ ตามสมัยนิยมด้วยครับ อย่างเช่นการแพรี่เอย การหลบหลีกสมบูรณ์แบบเอย หรือการป้องกันสมบูรณ์แบบเอย ทุกระบบที่ว่ามาถ้าคุณกดได้ นอกเหนือจากจะทำให้คุณไม่ได้รับความเสียหายแล้วยังเปิดโอกาสให้คุณโจมตีสวนได้อย่างรุนแรงด้วยเหมือนกัน

ถึงกระนั้นระบบแพรี่ของเกมนี้อาจเรียกได้ว่าค่อนข้างยากครับ เพราะไม่ได้กดโดยการป้องกันในจังหวะที่ศัตรูโจมตีมา (ถ้าทำแบบนั้นจะเป็นป้องกันสมบูรณ์แบบแทน) แต่คุณจะต้องกดโจมตีในจังหวะเดียวกันกับที่ศัตรูโจมตีมาเกมถึงจะนับเป็นการแพรี่ มันก็เลยเป็นท่าสไตล์ high risk, high reward ครับ โดยทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามา แม้คุณจะกดแพรี่ได้ หลบได้ หรือป้องกันได้ เกมก็จะมีจังหวะไม่นานให้คุณกดท่าโจมตีตอบโต้ การต่อสู้มันก็เลยจะคล้าย ๆ การเล่นเกมต่อสู้กลาย ๆ ที่จังหวะคุณจะต้องค่อนข้างเป๊ะ กดมั่วไม่ได้

ตัวของยาคุโมะเองนั้นจะมีอาวุธหลายอย่างให้ใช้งานเมื่อคุณดำเนินเรื่องไปเรื่อย ๆ โดยในทีแรกสุดจะมีแค่เพียงดาบคู่ทาเคมินาคาตะที่สมดุล จากนั้นก็จะเริ่มได้ชิ้นอื่น ๆ มาใช้อย่างเช่นหอกยาโตวเซ็นซึ่งโจมตีได้รวดเร็วที่สุด พลองมากะสึฮิที่กวาดเป็นวงกว้าง หรือแม้แต่กล่องสรรพอาวุธอย่างคาเงะฮิรุโกะซึ่งจะเน้นการโจมตีระยะไกลครับ ซึ่งก็อย่างที่คาดได้นั่นล่ะว่าแต่ละชิ้นจะมีจุดเด่นและประโยชน์ใช้สอยต่างกัน แต่การสลับอาวุธของภาคนี้จะต่างจากภาคก่อนตรงที่คุณสลับได้แบบทันทีเลย ไม่จำเป็นต้องกดหยุดเกมก่อน การเล่นในภาคนี้มันเลยมีความลื่นไหลสูงมาก จนผมรู้สึกว่ามันมีความเป็นเกมของ Platinum Games มากกว่าจะเป็น Ninja Gaiden เสียอีก

พอมาฟากของพระเอกขาประจำแห่งแฟรนไชส์อย่างริว ฮายาบุสะนั้น รอบนี้มีอาวุธชิ้นเดียวนั่นคือดาบมังกรคู่มือทุกภาค โดยทุกแอ็กชันที่ยาคุโมะทำได้ ริวก็ทำได้เหมือนกัน เพียงแค่ว่าเปลี่ยนจากการสลับอาวุธมาเป็นสลับเวทนินจาที่จะใช้แทน ซึ่งก็เป็นพวกเวทที่เคยมีให้ใช้ในภาคก่อน ๆ นั่นล่ะครับ ดังนั้นแม้ในทีแรกจะดูว่าริวนั้นมีเครื่องไม้เครื่องมือในการต่อสู้น้อยกว่า แต่พอลองเล่นเข้าจริง ๆ ผมคิดว่าริวนี่แข็งแกร่งมากกว่ายาคุโมะด้วยซ้ำ

ดังนั้น ถ้าในแง่ของระบบต่อสู้เพียว ๆ นี่ไม่มีอะไรกังขาครับ Ninja Gaiden 4 ยังคงเป็นเกมแอ็กชันที่ระบบลึกซึ้ง เข้าใจง่าย แต่เล่นให้เซียนยาก คุณอาจรู้สึกว่าเล่นแล้วไม่คล่องมือในช่วงแรก ๆ จากบรรดาระบบใหม่ ๆ ที่เพิ่มเข้ามา แต่ถ้าเข้ามือแล้วนี่ระบบต่อสู้จะดูดคุณให้อยู่กับหน้าจอได้ยาว ๆ เลย

อย่างไรก็ตาม หากคุณเคยเล่นภาคก่อน ๆ มา สิ่งแรกที่ผมแนะนำเมื่อเข้าเกมก็คือการเข้า option แล้วไปปรับรูปแบบการบังคับเป็นแบบที่ 3 ครับ เพราะถ้าแบบดั้งเดิมของเกมเลยจะเอาปุ่มป้องกันไปอยู่ปุ่ม R2 แทนที่จะเป็น L1 เหมือนที่ผ่าน ๆ มา ไม่งั้นคุณอาจจะต้องเสียเวลาปรับตัวนานกว่าปกติครับ

การสำรวจ

อันที่จริง Ninja Gaiden 4 ยังคงมีดีไซน์เกมที่คล้ายกับภาคก่อน ๆ (ซึ่งก็มีพื้นฐานมาจากฉบับแฟมิคอม) นั่นคือตัวเกมจะให้คุณเดินหน้าไปเรื่อย ๆ สู้กับศัตรูตามทาง มีฉากแพลตฟอร์มิงให้คุณกระโดด ให้ไต่กำแพง ให้หาทางไปต่อตลอดทั้งเกม ไม่ได้มีพื้นที่เปิดกว้างให้วิ่งสำรวจอิสระ แต่ถามว่ามันมีความลับอะไรซุกซ่อนสำหรับคนที่ชอบซอกแซกทุกซอกมุมรึเปล่า? มีครับ ซึ่งวิธีสังเกตพวกเส้นทางที่มักจะมีอะไรซ่อนอยู่ก็คือการกด R3 ค้างแล้วเกมจะบอกจุดที่ต้องไป ถ้าหากใกล้ ๆ กันนั้นมีจุดที่ไม่ใช่ทางไปต่อล่ะก็ จุดพวกนั้นก็คือจุดที่มีของซ่อนนั่นล่ะครับ

พวกเส้นทางที่ไม่ใช่ทางไปต่อพวกนี้ โดยมากมักจะเป็นจุดให้คุณได้สู้กับศัตรูชุดใหญ่ บ้างก็เป็นไอเท็ม ซึ่งส่วนใหญ่ศัตรูพวกนี้ก็จะไปผูกอยู่กับภารกิจอันเป็นไซด์เควสต์ประจำเกม ที่มักจะมีเงื่อนไขง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน อาทิเช่น ช่วยไปกำจัดศัตรูกลุ่มนี้ให้หน่อย ช่วยหาไอเท็มนี่ให้หน่อย อะไรทำนองนั้น

ถ้าหากจะมีอะไรในภาคนี้ที่ส่วนตัวผมคิดว่าใส่เข้ามาเยอะเกินความจำเป็น ก็ไม่พ้นพวกช่วง on rail ทั้งหลายทั้งปวงในเกมครับ แทบจะทุกฉากเลยที่เกมจะให้คุณเดินทางเป็นเส้นตรงแล้วคอยหลบหลีกสิ่งกีดขวาง ไม่ว่าจะเป็นการสไลด์ไปบนรางรถไฟ การแล่นบนผิวน้ำด้วยเซิฟบอร์ด การบินถลาลมด้วยไกลเดอร์ อะไรพวกนี้คือสิ่งที่จะแทรกเข้ามาเป็นระยะ ๆ ที่หลายครั้งผมรู้สึกว่ามันแอบน่ารำคาญและขัดจังหวะเกมไม่ใช่น้อยเหมือนกัน มันดูเท่นะ แต่พอเยอะเกินไปมันเลยแอบน่าเบื่อแทน

การปรับแต่งตัวละคร

สำหรับ Ninja Gaiden 4 นี้ จะมีระบบปรับแต่งตัวละครในลักษณะของการใช้เงินปลดท่าพื้นฐานของตัวละคร และใช้ค่าประสบการณ์ในการปลดท่าประจำของอาวุธแต่ละชิ้นแทน ดังนั้นถ้าคุณเล่นภาคนี้ช่วงแรกแล้วรู้สึกว่าแอ็กชันตัวละครมันติด ๆ ขัด ๆ ไม่คล่องตัวเท่าที่เคยเล่นมา ก็ไม่ต้องแปลกใจครับ เพราะรอบนี้ท่าพื้นฐานหลายท่าจะถูกล็อกไว้ให้คุณไปซื้อก่อน พวกท่าหากินที่คุ้นเคยอย่างท่าทุ่มกิโยติน หรือไม่ก็การกระโดดแล้วลงพื้นมาชาร์จท่าใหญ่นี่ต้องใช้เงินปลดหมดครับ

จุดหนึ่งที่เพิ่มเข้ามาแบบที่ภาคก่อน ๆ ไม่มีก็คือรอบนี้เกมมีช่องให้เราสวมใส่เครื่องประดับได้แล้วครับ โดยคุณจะมีช่องใส่ทั้งหมด 5 ช่อง แต่เครื่องประดับบางชิ้นก็อาจใช้ 2 ช่องบ้างหรือไม่ก็ 3 ช่องบ้าง มันก็เลยเปิดโอกาสให้คนเล่นปรับแต่งตัวละครตามสไตล์การเล่นของคุณเองได้หลากหลายขึ้นนั่นล่ะครับ โดยพวกของประดับเหล่านี้ก็ส่งผลในการเล่น Trial ต่าง ๆ ด้วยเพื่อช่วยให้ชีวิตสะดวกขึ้น (นิดนึง)

ความท้าทายของเกม

ผมเชื่อว่าใครที่เคยผ่านโหมด Challenge ของภาคก่อน ๆ กันมา ก็น่าจะรู้ซึ้งถึงความเถื่อนกันดีอยู่แล้วว่ากว่าจะผ่านได้แต่ละฉากนี่มันรากเลือดแค่ไหน ซึ่งรอบนี้แม้ว่าทีมพัฒนาจะเปลี่ยนมาเป็น Platinum Games ก็ตาม แต่ความท้าทายก็ไม่ได้น้อยลงครับ เพียงแค่ว่ามันอาจจะมีรูปแบบที่แปลกไปจากเดิมนิดหน่อย

ในตอนที่คุณเล่นโหมดเนื้อเรื่องนั้น บางครั้งหากคุณออกนอกลู่นอกทางก็มีโอกาสจะได้เจอประตูโทริอิที่จะพาคุณไปพบกับ Purgatory ซึ่งจะให้คุณได้เจอการต่อสู้กับศัตรูหลายเวฟที่มาพร้อมเงื่อนไขการลดพลังชีวิตสูงสุดของคุณแลกกับรางวัลที่จะได้รับมากขึ้น พูดง่าย ๆ คือยิ่งยอมลดเยอะรางวัลก็เยอะตามนั่นล่ะครับ หากคุณไม่มั่นใจก็เลือกแบบไม่ลดพลังตัวเอง แต่ถ้าใครไหวก็กดไปเลยลด 75% แล้วไปเผชิญกับนรกเอา ซึ่งเจ้า Purgatory ที่ว่านี่ก็มีเยอะเอาเรื่องทั้งเกม ใครกลัวเกมไม่ท้าทายพอก็ไม่ต้องกลัวครับ ได้ท้าทายจนหัวร้อนแน่ ๆ

หลังจากที่คุณจบเกมไปหนึ่งรอบ ก็เช่นเคยว่าเกมจะปลดโหมด Trial พิเศษออกมาให้อีกซึ่งก็มีทั้งการให้คุณไล่สู้บอสแต่ละตัวของเกม รวมถึงการเคลียร์ฉากภายใต้เงื่อนไขพิเศษ เช่นการกำจัดศัตรูภายในเวลาที่กำหนด หรือบางฉากก็ระบุเงื่อนไขว่าห้ามโดนโจมตีแม้แต่ครั้งเดียวซึ่งชวนให้คุณอยากสาปแช่งบุพการีของทีมงานผู้สร้าง อะไรทำนองนั้น ดังนั้นก็ย้ำอีกทีครับ ว่าไม่ต้องกลัวเกมนี้จะไม่ท้าทาย คุณจะได้เจอความท้าทายจนบางรอบอาจจะคิดว่าไม่ต้องท้าทายกันหนักขนาดนี้ก็ได้มั้งพ่อคุณ


กราฟิกและการนำเสนอ

ด้วยความที่รอบนี้เปลี่ยนทีมพัฒนา ดังนั้นโมเดลตัวละครและดีไซน์ฉากก็จะให้ความรู้สึกที่ต่างไปจากภาคก่อน ๆ ค่อนข้างชัดเจนครับ ผมคิดว่าโมเดลตัวละครนี่ความละเอียดอาจจะน้อยกว่าภาค 2 Black ด้วย และพวกดีไซน์ฉากหลังต่าง ๆ ก็ดูมีความเป็นเกมของ Platinum Games ค่อนข้างสูงอยู่เหมือนกัน

โดยรวมผมคิดว่ากราฟิกของเกมก็อยู่ในระดับที่โอเค ไม่เลวร้าย แต่ผมติดอยู่แค่ว่าโทนสีออกจะมืดทั้งเกม ซึ่งก็เป็นไปตามลอร์ของเกมที่โตเกียวเจอฝนต้องสาปจากซากมังกรทมิฬนั่นล่ะครับ เพียงแค่ว่าพอสีออกโทนมืดทั้งเกมนี่ มันเลยทำให้เวลาเปลี่ยนฉากไปที่ต่าง ๆ ผมรู้สึกว่าบรรยากาศฉากมันดูคล้าย ๆ กันไปหมดเลย ไม่ค่อยรู้สึกถึงความแตกต่างครับ


เสียงประกอบ

ในส่วนของงานเสียงประกอบนี่ ผมคิดว่าพวกเสียงเอฟเฟกต์ในฉากสู้ก็ทำออกมาได้มาตรฐานครับ ทั้งเสียงดาบตอนโจมตี หรืออาวุธอื่นก็ตาม พอได้ยินแล้วรู้สึกถึงความรุนแรงดีใช้ได้ แต่ในส่วนของดนตรีประกอบนี่เท่าที่เล่นมาทั้งเกมผมไม่ได้ยินพวกเพลงประจำซีรีส์ในแบบรีมิกซ์เลย ถือเป็นอะไรที่แอบเสียดายอยู่

แต่ถึงกระนั้นเพลงประจำภาคนี้โดยรวมก็ถือว่าใช้ได้ครับ พอฉากเป็นดิสโก้นี่เพลงก็เป็นเพลงจังหวะเต้นมาเลย พอเป็นฉากพวกวัดร้างก็จะเป็นเพลงสไตล์ญี่ปุ่นโบราณอะไรแบบนั้น

ทั้งนี้ทั้งนั้นเพลงตอนสู้บอสบางตัวเมื่อเข้าเฟสสองแล้วเปลี่ยนกลายเป็นเพลงแบบมีเสียงร้องนี่ มันก็แอบทำให้นึกถึง Metal Gear Rising ได้หน่อย ๆ ครับ


สรุป

Ninja Gaiden 4 นั้นเป็นเกมที่หากคุณเคยเล่นภาคก่อน ๆ มาก็จะยังสัมผัสได้ถึงความคุ้นเคยแต่มันจะมาพร้อมกับรสชาติเฉพาะตัวในแบบของ Platinum Games ที่ทำให้ตัวเกมหลากหลายขึ้น และมันยังคงเป็นเกมแอ็กชันความเร็วสูงที่สนุกและท้าทายในแบบที่หลายคนต้องการ หากว่าคุณคุ้นชินกับระบบการเล่นแล้วจะสนุกจนแทบไม่อยากวางจอยครับ (แต่อย่าไปซีเรียสกับเนื้อเรื่องของเกมนะ)

The Review

85% การกลับมาของยอดนินจาผู้ละทิ้งการลอบเร้น

Ninja Gaiden 4 คือภาคต่ออย่างเป็นทางการที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคย แต่ก็มีองค์ประกอบใหม่ ๆ ในรสชาติของ Platinum Games ดังนั้น หากคุณชื่นชอบแฟรนไชส์นี้เป็นทุนเดิม คุณจะสนุกได้ไม่ยาก และถ้าคุณชื่นชอบเกมแอ็กชันไฮสปีด เกมนี้ก็จะให้ความสนุกสะใจแก่คุณได้เต็มอิ่มเช่นกัน

85%

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ข้ามไปยังทูลบาร์