Games Reviews

Ghosts ‘n Goblins Resurrection – รีวิว [REVIEW]

โดย G-jang

Ghosts ‘n Goblins Resurrection – รีวิว [REVIEW]

ถ้าจะถามถึงซีรีส์เกมที่ได้ชื่อว่ายากมหายากในปัจจุบันนี้ล่ะก็ ชื่อของซีรีส์ Souls หรือเกมแนว Souls-borne อื่น ๆ คงผุดขึ้นมาในใจหลายคน แต่สำหรับเกมเมอร์ในยุค 80 ทั้งหลายล่ะก็ อาจจะนึกขึ้นมาได้หลายชื่อด้วยกัน และหนึ่งในนั้นก็คงไม่พ้นซีรีส์ Ghosts ‘n Goblins หรือมาไคมูระที่เรารับบทเป็นอัศวินหนุ่มอาร์เธอร์ ผู้ต้องบุกป่าฝ่าดงเหล่าปีศาจไปช่วยเจ้าหญิงที่โดนจับตัวไป และเมื่อใดที่โดนโจมตีเกราะก็จะแตกจนเหลือแค่กางเกงในบ็อกเซอร์ลายหัวใจแน่นอน ซึ่งในคราวนี้เกมภาคล่าสุดก็ได้วางจำหน่ายบน Nintendo Switch ในชื่อว่า Ghosts ‘n Goblins Resurrection แล้ว


เนื้อเรื่อง

ด้วยความที่ตัวเกมเป็นแอ็กชันแพลตฟอร์มในแบบคลาสสิกสุด ๆ จึงไม่มีการเน้นเนื้อเรื่องอะไรเหมือนกับเกมสมัยใหม่ ดังนั้นเนื้อหาของเกมจึงไม่มีอะไรมากนอกจากว่าอาร์เธอร์ต้องสวมเกราะไปช่วยเจ้าหญิงที่โดนปีศาจจับตัวไปเหมือนเดิมเปี๊ยบ และเมื่อช่วยเจ้าหญิงออกมาได้ทุกอย่างก็เป็นอันจบ เว้นแต่ว่าคุณจะบุกฝ่าแต่ละสเตจตั้งแต่ต้นจนจบใหม่อีกรอบเพื่อเก็บทุกอย่างให้ครบและชมฉากจบสมบูรณ์ (ซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรเพิ่มเติมมากนัก) หากคุณเป็นสายเล่นเน้นเนื้อเรื่องล่ะก็ เกมนี้ให้คุณไม่ได้ครับ


เกมเพลย์

สำหรับเกมเพลย์ของภาคนี้ แทบจะเป็นการยกเอารูปแบบการเล่นของภาคคลาสสิกมาใช้เกือบหมดแต่มีปรับปรุงเพิ่มเติมอะไรบางอย่างเข้าไปเล็กน้อย ด้วยความภาค Resurrection ได้แรงบันดาลใจมาจากสองภาคเดิมนั่นคือ Ghosts ‘n Goblins (มาไคมูระ) และ Ghouls ‘n Ghosts (ไดมาไคมูระ) นี่เอง ทำให้อาร์เธอร์สามารถโจมตีได้สี่ทิศคือบนล่างและซ้ายขวา (แต่ไม่สามารถกระโดดสองชั้นได้แบบภาคโจมาไคมูระ) โดยที่อาวุธแต่ละอย่างก็จะมีประโยชน์ใช้สอยต่างกัน และก็แน่นอนว่าถ้าเผลอไปเก็บอันที่ไม่ต้องการขึ้นมาผู้เล่นก็จะงานงอกได้ง่าย ๆ

ส่วนระบบเวทหรือการชาร์จโจมตีด้วยท่าใหญ่นั้น จากเดิมที่จะต้องเก็บเกราะทองเสียก่อนจึงจะใช้ได้ ภาคนี้ปรับเป็นสกิลติดตัวที่ผู้เล่นจะต้องปลดล็อกโดยการนำเอา Umbral Bee ที่ซุกซ่อนตามที่ต่าง ๆ ไปใช้เสมือนเป็นแต้มสกิลแทน ส่วนเกราะทองก็จะทำให้การโจมตีของอาร์เธอร์เพาเวอร์อัปขึ้น ที่สำคัญคือหากโดนโจมตีในภาวะเกราะทองก็จะไม่เหลือแค่กางเกงในบ็อกเซอร์ตัวเดียวเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่จะถอยลงไปเป็นเกราะเหล็กแทน

เวทมีให้ใช้มากมาย

ถึงกระนั้น แม้ว่าจะมีระบบใหม่ ๆ อำนวยความสะดวกมากมายก่ายกองจนอาจชวนให้นึกว่าเกมง่ายลงไปกว่าเดิมในทีแรก แต่แท้จริงแล้วภาคนี้ถือเป็นภาคที่ยากที่สุดของซีรีส์เลยก็ว่าได้ ส่วนตัวผมเองนั้นเคยเล่นภาคก่อน ๆ มาและมั่นใจว่าตัวเองสามารถรับมือกับความยากของเกมได้ระดับหนึ่ง มาถึงจึงเลือกระดับความยาก Legend ที่ดูจะใกล้เคียงกับประสบการณ์แบบคลาสสิกที่สุดเพราะเกราะจะแตกได้เพียงครั้งเดียว หากโดนอีกทีก็ซี้แหงแก๋

ใครเลือก Legend มักเสียใจภายหลัง…

กลับกลายเป็นว่าตัวเกมถูกออกแบบมาให้โหดหินจริง ๆ ด้วยฉากที่มีความยาวค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับภาคก่อน ๆ และศัตรูก็โผล่กันมาแบบว่าตั้งใจเชือดผู้เล่นกันจริงจัง มิหนำซ้ำยังค่อนข้างปรากฏตัวกันแบบสุ่มอีกต่างหาก แถมเช็คพอยต์มีเพียงสามจุดคือต้นฉาก กลางฉากและก่อนบอส ดังนั้นหากคุณไปพลาดตรงจุดใดเข้าก็ต้องมาวิ่งใหม่หมด ชวนเสียกำลังใจและเสียประสาทพอดู สุดท้ายผมต้องยอมกลืนศักดิ์ศรีลงคอแล้วเริ่มเล่นใหม่ที่ความยากระดับ Knight ที่ใจดีขึ้นมาหน่อยเพราะเกราะแตกได้สองทีและเช็คพอยต์ถี่ขึ้น แต่กว่าจะเอาตัวรอดได้แต่ละฉากก็หืดจับไม่เบาเหมือนกัน

 

อย่างที่ผมกล่าวไปก่อนหน้านี้ ว่าภาคนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากมาไคมูระและไดมาไคมูระ ดังนั้นฉากแต่ละฉากจึงเต็มไปด้วยสิ่งที่หลายคนน่าจะคุ้นเคย ไม่ว่าจะอุปสรรคต่าง ๆ การดีไซน์ฉากหรือแม้แต่บอส ดังนั้นถ้าคุณเลือกฉาก 1a คุณก็จะรู้สึกเหมือนได้กลับไปเล่นมาไคมูระอีกครั้ง แต่ถ้าเลือก 1b ก็จะเหมือนได้เล่นไดมาไคมูระนั่นเอง (ส่วนตั้งแต่ฉาก 3 เป็นต้นไปก็จะเป็นการรวมองค์ประกอบของทั้งสองภาคเข้าด้วยกันไปเลย)

เมื่อคุณฝ่าฟันกองทัพผีปีศาจมาได้จนจบ หากต้องการจบสมบูรณ์ล่ะก็ คุณต้องไปเล่นใหม่แต่ต้นตามขนบของซีรีส์มาไคมูระโดยในคราวนี้แต่ละฉากจะมาในรูปแบบของฉาก Shadow ที่ซึ่งรูปแบบศัตรูและบรรดาอุปสรรคต่าง ๆ ที่ดาหน้าเข้ามาทำให้คุณเหลือเพียงโครงกระดูกจะเปลี่ยนไปจากเดิมอีก แถมยังต้องตามหาหีบสมบัติสีดำที่ซุกซ่อนอยู่ตามแต่ละฉากให้ครบ และเก็บ orb ทุกชิ้น จนสุดท้ายคุณก็จะได้พบกับบอสใหญ่สุดของเกมอย่าง Hades (ที่ปรากฏตัวครั้งแรกในภาค PSP) แต่ก่อนจะไปเจอมันคุณก็ต้องฝ่าด่านทั้ง Astaroth และ Lucifer เสียก่อน…

 

ถึงกระนั้น รางวัลหลังจบสมบูรณ์นั้นก็คุ้มค่ากับความทรมานทรกรรมครับ เพราะคุณจะได้ชุดเกราะใหม่อย่าง Cast Armor ที่ไม่มีวันแตกแถมยังใช้เวทต่าง ๆ ได้โดยไม่มีดีเลย์ เอาไว้ให้คุณไปสางแค้นกับเหล่าปีศาจนรกได้อย่างเต็มที่


กราฟิก

แม้ว่าเกมนี้จะใช้ RE Engine ที่ใช้พัฒนา Resident Evil ในภาคหลัง ๆ รวมถึง Devil May Cry 5 ซึ่งบรรดาเกมที่ว่ามานั้นทำกราฟิกออกมาในแบบ photo realistic ก็ตาม แต่ทว่า Ghosts ‘n Goblins Resurrection เลือกใช้รูปแบบกราฟิกในแบบ 2D พิกเซลแต่นำเสนอในสไตล์ภาพวาดสีน้ำ จึงออกมาดูดีและแปลกตาจากเดิม ๆ ไม่เบาเลยล่ะครับ เรียกว่าได้บรรยากาศในแบบดั้งเดิมครบถ้วนแต่ก็สวยงามสมเป็นเกมยุคปัจจุบัน


เพลงประกอบ

ในส่วนของเพลงประกอบนั้น หากคนที่เคยเล่นภาคก่อน ๆ มารับรองว่าติดหูแน่นอน เพราะเกมนี้นำเอา ost เดิมมาใช้แต่เรียบเรียงใหม่ให้ชัดขึ้นและมีคุณภาพเสียงดีขึ้น เชื่อว่าผู้เล่นเก่าทุกคน ไม่ว่าคุณจะเลือกฉาก 1a หรือ 1b ก็ตาม ทันทีที่เพลงประจำฉากดังขึ้นมาคุณจะรู้เลยว่านี่แหละคือมาไคมูระแท้ ๆ


สรุป

Ghosts ‘n Goblins Resurrection ถือเป็นการกลับมาอีกครั้งของซีรีส์มาไคมูระที่สมศักดิ์ศรีทั้งในแง่ความสนุก และความยากชวนเสียสติสมประดี ถือได้ว่าแคปคอมตีโจทย์แตกว่าจุดเด่นของซีรีส์คืออะไร แล้วนำจุดนั้นมาขยายให้เข้มข้นขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า (ซึ่งมันก็ยากไปนะในบางที) ถ้าคุณเป็นแฟนตั้งแต่สมัยก่อน คุณจะไม่ผิดหวัง แต่ถ้าคุณไม่เคยเล่นเลยและชอบท้าทายตัวเอง ก็อยากให้ได้ลองเล่นเกมที่เป็นเสมือนบรรพบุรุษของซีรีส์ Souls เกมนี้กันดูครับ

The Review

80% หากคุณมั่นใจในฝีมือ เราอยากให้ลองเกมนี้

ภาคใหม่นี้ยังคงเต็มไปด้วยเสน่ห์ของซีรีส์ มีสิ่งอำนวยความสะดวกเยอะขึ้น แต่ความยากก็เพิ่มพูนเช่นกัน หากคุณชอบเกมแอ็กชัน นี่คือเกมที่เราอยากให้ลองเล่น

80%

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ข้ามไปยังทูลบาร์