*ขอขอบคุณ Bandai Namco Entertainment Asia สำหรับโค้ดรีวิวมา ณ โอกาสนี้ครับ
**ขณะนี้เกมวางจำหน่ายบนแพลตฟอร์ม PlayStation 5 เท่านั้น
สำหรับ Final Fantasy VII Rebirth นี้ ถือได้ว่าเป็นภาคที่ 2 ของมหากาพย์ไตรภาครีเมก Final Fantasy VII ที่หลายคนตั้งตารอคอย และหลังจากที่ภาคแรกได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลามไปแล้วภาค Rebirth นี้ก็จะมาดำเนินเรื่องราวต่อเนื่องจาก Final Fantasy VII Remake กันเลยแบบทันที ส่วนผมเล่นแล้วรู้สึกอย่างไรก็จะมาเล่าให้ฟังกันที่นี่หลังจบรอบแรกไปด้วยเวลา 114 ชั่วโมงครับ
เนื้อเรื่อง
ใน Final Fantasy VII Rebirth นี้ ยังเป็นการเดินทางของกลุ่มเพื่อนที่นำโดยตัวเอกอย่างคลาวด์ (Cloud) ที่จับพลัดจับผลูต้องออกเดินทางร่วมกันเพื่อไล่ล่าเซฟิรอธ (Sephiroth) และได้หลบหนีออกมาจากมหานครแห่งพลังงานมาโคอย่างมิดการ์ (Midgar) ที่รอบนี้ทุกคนจะได้ออกเดินทางตระเวนไปยังที่ต่าง ๆ และเผชิญกับโลกกว้างในแบบที่หากใครเคยเล่นผลงานต้นฉบับมาก็คงพอจะเดากันได้ลาง ๆ ว่าจากนี้ไปกลุ่มของคลาวด์จะต้องไปไหนกันต่อบ้าง
สำหรับเนื้อเรื่องในรอบนี้ผมอยากจะแบ่งออกเป็นสองข้อครับนั่นคือการปรับปรุงตัวเนื้อหาหลัก และส่วนต่าง ๆ ที่เสริมเข้ามาขยายรายละเอียดให้กับโลกในเกมรวมถึงเป็นการปรับให้เข้ากับคำว่ารีเมกด้วย
เนื้อหาหลัก
สำหรับเนื้อหาหลักในคราวนี้ ก็จะเดินเรื่องไปในลักษณะที่ใกล้เคียงกับตัวเกมต้นฉบับมากในลักษณะที่เกือบจะ 100% เลยก็ว่าได้ ตั้งแต่เมืองที่ได้ไป เหตุการณ์หลัก ๆ ที่เกิดขึ้น ณ ที่แห่งนั้น รวมถึงเหล่าตัวละครสำคัญที่ผู้เล่นจะได้พบเจอ เรียกได้ว่าพอถึงช่วงนี้แล้วคุณคาดว่าเออ เดี๋ยวควรจะได้เจอคนนี้นะ หรือมันจะเกิดเหตุการณ์นี้นะ คุณก็จะได้เจอตามนั้นล่ะครับ เพียงแค่ว่าลำดับเหตุการณ์บางอย่าง หรือสถานที่บางจุดก็อาจจะมีการสลับปรับเปลี่ยนไปบ้าง (คงเก็บไว้ภาคหน้า)
แต่โดยรวมแล้ว ต้องถือว่าประทับใจมากสำหรับผมครับ เพราะตอนเล่นไปผมพอจำได้หมดว่าจุดนี้มันเกิดอะไรขึ้น และจะมีเหตุการณ์อะไรที่ดำเนินไปบ้าง หลายจุดที่มันเป็นแค่สถานที่เล็ก ๆ ให้แวะข้างทางในต้นฉบับ พอมารอบนี้ทีมงานก็เสริมเพิ่มเข้าไปจนทุกสถานที่มันมีความสำคัญในการเดินทางหมด บรรดาตัวละครแต่ละคนก็มีเอกลักษณ์และมีบุคลิกลักษณะของตนที่ชัดเจนมากขึ้น มีมิติกันมากขึ้น ซึ่งจุดนี้คงต้องยกประโยชน์ให้การแสดงสีหน้าท่าทางและเสียงพากย์ในปัจจุบันด้วย เพราะผมเข้าใจว่าต้นฉบับก็อาจจะอยากทำแบบนี้อยู่แล้ว ติดแค่ว่าประสิทธิภาพเครื่องในสมัยนั้นยังทำได้ไม่ถึง
จุดที่ผมชอบมากในรอบนี้ก็คือปฏิสัมพันธ์ของตัวละครในทีมเราทุกคนครับ การพูดคุยโต้ตอบระหว่างกันนั้นเป็นไปอย่างธรรมชาติและลื่นไหล ส่วนบรรดาไซด์เควสต์ต่าง ๆ ก็จะยิ่งทำให้เราเข้าใจความคิดและนิสัยของแต่ละคนกันมากขึ้น แม้แต่ยูฟี่ (Yuffie) เองที่ในต้นฉบับคุณอาจไม่ได้เธอเข้าปาร์ตี้เลยยันจบเกม พอรอบนี้เกมบังคับให้เธอเข้าปาร์ตี้แล้ว บทบาทของเธอก็เลยเยอะขึ้นกว่าเดิมมาก จากเดิมที่พอหมดเนื้อเรื่องในส่วนของเธอแล้วก็แทบจะไม่มีปฏิสัมพันธ์ใด ๆ กับเนื้อหาหลักเลย รอบนี้ทุกคนก็เลยจะมีเหตุผลในการเดินทางของตัวเองกันหมด ไม่มีตัวละครไหนที่รู้สึกเหมือนว่าแค่ติดสอยห้อยตามมาเฉย ๆ ครับ
เรื่องราวที่เสริมเข้ามา
จุดนี้อาจจะเป็นอีกหนึ่งจุดที่เซอร์ไพรส์ใครหลาย ๆ คนที่ได้ลองเล่น Rebirth ครับ เพราะก็อย่างที่รู้ ๆ กันว่านับตั้งแต่ที่เกมต้นฉบับวางจำหน่ายไปนั้น โลกของ Final Fantasy VII ได้รับการขยายออกไปอีกมากมาย ทั้งเกมภาคเสริม ทั้งภาพยนตร์ หรือสื่อต่าง ๆ เช่นนิยายเอยอะไรเอย บ้างก็เป็นเรื่องราวก่อนเหตุการณ์ในเกมต้นฉบับ แต่ด้วยการเล่าเรื่องย้อนต้นในภายหลังแบบนี้ มันเลยทำให้เกิดการลักลั่นกันขึ้นมาเล็ก ๆ เพราะว่าตัวละครที่ควรจะมีบทบาทในเรื่องหลักก็ดันไม่มีบทเลย (เพราะเกมมันออกทีหลัง)
นั่นเลยทำให้ Rebirth พยายามแก้ไขในจุดนี้ โดยใส่ตัวละครที่คุณได้เคยพบเจอในภาคอื่น หรือจากสื่ออื่น ๆ ลงมาในเกมแล้วให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเรื่องหลักไปเลย ดังนั้นถ้าหากว่าคุณเป็นคนที่เล่นอะไร ๆ ของ Final Fantasy VII มาเยอะ หรือติดตามเรื่องราวและสื่อบันเทิงของโลกแห่งนี้มาแยะ คุณจะรู้สึกชอบการนำเสนอของเกมภาคนี้มาก เพราะทีมงานอัดแฟนเซอร์วิสเข้ามาแบบไม่หยุดไม่หย่อนเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะช่วงท้าย ๆ เกมครับ
แต่เอาล่ะ แม้ว่าโดยส่วนตัวผมจะชอบการนำเสนอเรื่องราวของภาคนี้ (จริง ๆ ก็ชอบมาตั้งกะ Remake) ก็ตาม ภาคนี้ก็ยังคงมีพล็อตพอยต์หลัก ๆ ที่นำเสนอมาตั้งแต่ภาคก่อนแล้วหลายคนอาจจะไม่ชอบครับ เรียกง่าย ๆ ว่าถ้าภาคที่แล้วพล็อตหลักที่เสริมเข้ามาคือสิบ ภาคนี้อัดไปร้อยเลย ดังนั้นถ้าคุณไม่ชอบในส่วนของพล็อตใหม่ที่เพิ่มเข้ามาเพราะรู้สึกว่ามันทำให้หลายอย่างซับซ้อนโดยไม่จำเป็น คุณก็อาจจะไม่ชอบเนื้อหาภาคนี้ไปเลยเพราะช่วงท้าย ๆ เกมนี่ทีมงานอัดเนื้อหาในส่วนที่ว่าเข้ามาแบบไม่หยุดไม่หย่อน จนกระทั่งจบเกมแล้วผมเชื่อว่าหลายคน (รวมถึงผมด้วย) จะเกิดคำถามมากกว่าที่จะได้คำตอบในหลาย ๆ ส่วน
ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมก็ยังเชื่อมั่นว่าหลาย ๆ ส่วนที่ยังค้างคาใจก็จะได้รับการบอกเล่าและมีบทสรุปที่น่าพอใจในภาคสุดท้ายของไตรภาคนั่นล่ะครับ ที่แน่ ๆ คือผมมั่นใจว่าการจบแบบนี้ก็จะทำให้คนคุยกันและถกเถียงเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นไปอีกนานจนกว่าภาคใหม่จะออกครับ
เกมเพลย์
ในส่วนของระบบการเล่นหลัก ๆ นั้นก็เป็นการต่อยอดมาจากภาค Remake พร้อมด้วยเพิ่มเติมและปรับปรุงอะไรหลาย ๆ อย่างเข้าไป ซึ่งผมจะขอแบ่งออกเป็นในส่วนของระบบต่อสู้ รูปแบบการปรับแต่งตัวละคร แล้วก็การสำรวจโลกในเกมครับ
ระบบต่อสู้
ภาค Rebirth นี้ยังคงมีคอนเซปต์ของระบบต่อสู้เป็นแอ็กชันอาร์พีจี และไม่ได้เป็นเทิร์นเบสผลัดกันตีผลัดกันใส่คำสั่งเหมือนภาคต้นฉบับ ซึ่งก็สืบทอดมาจากภาค Remake นั่นเอง แต่กระนั้นเกมก็ไม่ได้เป็นแอ็กชันความไวสูงเต็มรูปแบบเหมือนอย่างเช่นพวกซีรีส์ Devil May Cry หรืออะไรแบบนั้น เพราะว่าก็ยังคงต้องอาศัยการเลือกคำสั่งให้แต่ละคนใช้ท่าใช้สกิลในจังหวะที่เหมาะสมและในสถานการณ์ที่ควรอยู่ดี
หลายคนที่เคยเล่น Remake มาก็น่าจะคุ้นเคยกับระบบ ATB ของเกมนี้อยู่แล้ว เพราะว่านอกเหนือจากการโจมตีและหลบปลีกตามปกตินั้น สิ่งที่จะทำให้คุณชนะการต่อสู้ได้ก็คือการใช้ค่า ATB เพื่อร่ายเวทหรือไม่ก็ใช้สกิลนั่นเอง และทุกความเคลื่อนไหวก็จะส่งผลเป็นการเพิ่มเกจ ATB ที่ว่านี้ มากบ้างน้อยบ้าง ผู้เล่นเลยไม่สามารถสแปมท่ามั่วซั่วได้ เพราะถ้าเกิดจังหวะที่ต้องชุบหรือต้องฮีลขึ้นมาแต่ ATB ไม่พอใช้ก็จะซวยเอา
จุดที่โดดเด่นมาตั้งแต่ภาค Remake และยังคงได้รับการนำมาใช้ใน Rebirth ก็คือเมคานิกของแต่ละตัวละครที่จะต่างกันครับ แม้ว่ารูปแบบการบังคับพื้นฐานจะเหมือนกันคือการโจมตีธรรมดา การป้องกัน การกลิ้งหลบ ฯลฯ แต่การเล่นของแต่ละคนนั้นจะมีวิธีการเล่นที่คุณต้องตระหนักเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการต่อสู้นั่นเอง การสลับไปบังคับตัวละครแต่ละคนจึงไม่เหมือนกันเลย
ทีนี้สิ่งที่เกมเพิ่มเข้ามาแล้วช่วยเติมความหลากหลายให้กับการเล่นรวมถึงการจัดปาร์ตี้ของเราก็คือสิ่งที่เรียกว่า Synergy Skill และ Synergy Ability นี่ล่ะครับ พูดง่าย ๆ คือมันเป็นท่าคู่ระหว่างตัวละครในทีมที่กรณีของสกิลก็อาจเป็นได้ทั้งการโจมตี การป้องกัน หรือสนับสนุน แต่พอเป็นอบิลิตี้แล้วก็มักจะก่อให้เกิดผลลัพธ์พิเศษบางอย่างขึ้น เช่นทำให้ใช้ท่าลิมิตท่าใหม่ได้ หรือทำให้ยิงเวทได้ไม่เสีย MP ชั่วครู่ ฯลฯ ทั้งหมดทั้งมวลนี้มันเลยทำให้การจัดปาร์ตี้ที่ลงตัวและรับมือกับแต่ละสถานการณ์นั้นยิ่งสนุกมาก เพราะคุณอาจพบกับบิลด์แปลก ๆ ที่ไม่เคยคิดมาก่อนได้เหมือนกัน
โดยรวมแล้ว ผมคิดว่าการต่อสู้ในภาคนี้ไม่ยากจนเกินไป หากว่าคุณจะเล่นแค่เอาจบ แค่เสพเนื้อเรื่องล่ะก็จะไม่มีอะไรที่เกินกำลังหรือตึงมือคุณมากครับ แต่ถ้าคุณเป็นสายเก็บถ้วย เป็นสายเก็บความสมบูรณ์แบบล่ะก็ โหมดแชลเลนจ์ต่าง ๆ ของเกมนี้นี่เข้าขั้นนรกเรียกพี่เลย เพราะมันจะบีบให้คุณต้องทำความเข้าใจเมคานิกเกมทุกอย่าง ต้องปั้นบิลด์ให้เจ๋ง ถ้ากดตีมั่ว ๆ แบบไม่หลบ ไม่กัน ใช้สกิลไม่ถูกจังหวะ ปาร์ตี้คุณก็จะลงไปนอนโดยพร้อมเพรียงกัน
การปรับแต่งตัวละคร
Final Fantasy VII Rebirth นั้น เป็นเกมที่ออกแบบมาโดยเน้นการปั้นบิลด์และการปรับแต่งตัวละครเยอะมาก โดยสะท้อนอยู่กับการติดตั้งมาทีเรียของแต่ละตัวละครครับ ด้วยความที่มาทีเรียในเกมนี้ที่จะช่วยให้ตัวละครใช้เวทหรือใช้สกิลพิเศษได้มากมาย ผู้เล่นจึงมีโอกาสในการปรับแต่งสกิลและปรับความสามารถของตัวละครได้มหาศาลมาก เมื่อบวกกับตัวเลือกในการคัดคนเข้าปาร์ตี้เพื่อต่อสู้ รวมถึงบรรดาท่า Synergy ต่าง ๆ อีกด้วยแล้ว มันเลยทำให้การปรับแต่งตัวละครยิ่งมากเป็นทวีคูณ
สิ่งที่ยกยอดมาอีกอย่างจาก Remake ก็คือระบบอาวุธนี่ล่ะครับ เพราะเกมนี้ยังคงคล้ายเดิมในแง่ที่ว่า แม้จะเป็นอาวุธชิ้นต้น ๆ ในเกมแต่คุณก็ยังสามารถนำไปใช้ท้ายเกมได้ เพราะเมื่อคุณอัปเกรดเลเวลอาวุธแล้วจะเป็นการอัปเกรดโดยรวมให้กับทุกชิ้น มันเลยทำให้คุณหยิบอาวุธที่เหมาะกับบิลด์ของคุณมาใช้ได้ง่ายขึ้นเพราะทุกชิ้นจะอยู่เทียร์เดียวกันเสมอ
พอระบบมาทีเรียกับระบบอาวุธเป็นเช่นนี้ คุณก็ยังนำไปผสมผสานกับเครื่องประดับที่ให้ผลลัพธ์ต่าง ๆ มากมายได้อีก ดังนั้นคุณอาจอยากให้ใครสักคนเริ่มสู้โดยมีเกจ ATB เต็มสองหลอดเลยก็ได้ หรือจะให้ใครยิงเวทเปรี้ยงเดียวศัตรูชะงักเพราะหลอด stagger เต็มทันทีพร้อมกับที่เกจ ATB กลับมาเต็ม ก็ทำได้เหมือนกัน จะให้แอริธดูดลิมิตเกจแล้วผ่องถ่ายให้ตัวละครอื่นก็มีวิธีให้ลอง
ดังนั้น โดยรวมแล้วระบบการปรับแต่งตัวละครของเกมนี้นั้นลึกซึ้งมาก หากใครเป็นสายที่ชอบปั้นบิลด์ชอบหาแนวทางการเล่นใหม่ ๆ น่าจะถูกใจได้ไม่ยากครับ ถ้าจะมีข้อติอย่างหนึ่งก็คือผมอยากให้เกมนี้มี QoL เป็นการเซฟเซ็ตมาทีเรียเอาไว้ให้ใส่ได้ง่าย ๆ หน่อย ไม่งั้นพอจะปรับอะไรทีนึงก็ต้องมานั่งใส่ทีละลูกนี่ล่ะครับ
การสำรวจโลกในเกม
ผมคิดว่าใครที่เคยเล่นภาคต้นฉบับมาก็น่าจะรู้กันว่าพอออกจากมิดการ์มาแล้ว เกมก็จะส่งผู้เล่นเข้าสู่ฉากแผนที่โลกให้เดินไปมาสำรวจได้ตามสไตล์เกมอาร์พีจีคลาสสิก พอมาเป็นฉบับ Rebirth นี้ ทีมงานก็เลยทำให้ผู้เล่นได้สำรวจฉากในแต่ละพื้นที่กันแบบโอเพนเวิลด์ครับ ซึ่งสำหรับผมแล้วผมคิดว่าเกมนี้ออกแบบฉากโอเพนเวิลด์มาได้ค่อนข้างโอเคอยู่ เพราะในแต่ละจุดแต่ละที่จะมีกิจกรรม มีอะไร ๆ ให้ไปสำรวจให้ไปเจอเสมอ ซึ่งก็จะเป็นสไตล์ที่หลายคนคุ้นเคยจากเกมโอเพนเวิลด์เกมอื่น ๆ ครับ เช่นการสำรวจหอคอยเพื่อเปิดจุดน่าสนใจอื่น ๆ, การต่อสู้กับมอนสเตอร์ที่เก่ง, มินิเกม ฯลฯ โดยที่ทุกจุดนั้นใส่ลงมาโดยที่มีรางวัลตอบแทนให้สำหรับคนที่เล่นผ่านเสมอ ไม่ได้ใส่ลงมาเปล่า ๆ ทุกเมืองจากต้นฉบับที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นก็ถูกปรับให้มันเด่นยิ่งขึ้นกว่าเดิม และมีอะไร ๆ ให้ทำมากยิ่งกว่าเดิมเหมือนกัน
หากจะมีองค์ประกอบหนึ่งจากต้นฉบับที่ภาคนี้นำเอามาปรับได้ลงตัว ก็คือระบบช็อคโคโบนี่ล่ะครับ จากเดิมนั้นผู้เล่นจะต้องมานั่งผสมช็อคโคโบที่ฟาร์มเพื่อให้ได้เป็นสีต่าง ๆ กันที่จะก่อให้เกิดความสามารถในการสำรวจที่ต่างกัน เช่น วิ่งน้ำตื้นได้บ้าง ไต่ภูเขาได้บ้าง ฯลฯ อะไรพวกนั้น พอมารอบนี้เกมเลยกำหนดให้แต่ละพื้นที่มีช็อคโคโบสายพันธุ์เฉพาะที่เราขี่ได้ไปเลย แล้วไปเพิ่มกิมมิคในฉากเอาให้เราใช้ช็อคโคโบสำรวจ เช่นไต่ภูเขาบ้าง กางปีกร่อนบ้างแล้วแต่สถานการณ์ มันเลยเป็นความรู้สึกที่คุ้นเคยมากแต่ก็สดใหม่ครับ (แต่บางแมปก็ดีไซน์ออกมาได้ชวนงงเอาเรื่องอยู่นะ)
ในส่วนของมินิเกมนั้น ภาคนี้ใส่ลงมาเยอะมากครับ กะคร่าว ๆ ผมคิดว่าน่าจะมีถึง 10 ปลาย ๆ หรือไม่ก็ 20 มินิเกมเลย ซึ่งแต่ละอย่างนั้นเล่นได้สนุกเพลิน ๆ แต่บทจะยากก็ชวนหัวร้อนไม่เบาอยู่ แล้วก็เช่นกันครับ หากคุณเป็นเกมเมอร์สายชอบเก็บความสมบูรณ์ก็จะเหนื่อยกับมินิเกมไปพักใหญ่ ๆ เหมือนกันครับ
กราฟิก
สำหรับการรีวิวในครั้งนี้ ผมเล่นที่โหมดเน้นกราฟิก ซึ่งสิ่งที่ได้ก็ไม่ผิดหวังครับ โลกเปิดนั้นสวยงามใช้ได้ เอฟเฟกต์ฉูดฉากตระการตา การนำเสนอสถานที่ต่าง ๆ ที่เคยจดจำได้จากภาคต้นฉบับนั้นทำออกมาได้สวยงามและหรูหรากว่าเดิมมาก ๆ แม้ว่าบางจุดมันจะเปลี่ยนไป แต่หลายอย่างมันให้ความรู้สึกไม่ต่างจากเดิมที่เคยเล่นและจดจำได้จากต้นฉบับครับ แต่ถึงอย่างนั้นพวกพื้นผิวในบางจุดบางตอนก็มีที่แอบเท็กซ์เจอร์เบลอให้เห็นอยู่บ้างนะ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
เพลงประกอบและเสียงพากย์
ในส่วนของเพลงประกอบนั้น ผมคิดว่าทีมงานทำออกมาได้ดี เพลงที่ผู้เล่นจดจำได้จากต้นฉบับ เพลงที่ใครชื่นชอบก็ใส่ลงมาหมดและใส่ลงมาได้จังหวะตามที่มันควรจะเป็นด้วย แน่นอนว่าหลาย ๆ เพลงคือการเรียบเรียงเพลงเดิมใหม่ ไม่ได้ยกของเก่ามาใช้ทั้งดุ้น แต่มันก็เป็นการเรียบเรียงใหม่ที่ยังทำให้คุ้นเคยแต่ก็มีส่วนที่ฟังแล้วรู้สึกได้ว่าต่างไปจากเดิมครับ
สำหรับเสียงพากย์ของแต่ละคนก็ทำออกมาได้ดีครับ เข้ากับบุคลิกและบทสนทนาก็ไหลลื่นเป็นธรรมชาติ ไม่มีจุดที่รู้สึกมันแปลกหรือแปร่งแต่อย่างใด
สรุป
Final Fantasy VII Rebirth เป็นการนำเอาเนื้อหาส่วนที่สองของต้นฉบับมาทำใหม่ได้อย่างยอดเยี่ยม คอนเทนต์ในเกมนั้นมากมาย และระบบสู้ที่ลึกซึ้งและสนุก (รวมถึงโหดหินสำหรับคนที่อยากท้าทายตัวเอง) กระนั้นแนวทางการดำเนินเรื่องก็อาจไม่ถูกใจแฟน ๆ บางส่วนของเกมต้นฉบับ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่านี่เป็น Final Fantasy ภาคที่ครบถ้วนมากที่สุดภาคหนึ่งเลยก็ว่าได้ และเราก็จะรอคอยว่าบทสรุปของการรีเมกครั้งนี้จะเป็นอย่างไรต่อไปครับ