*ขอขอบคุณโค้ดรีวิวจาก PLAION มา ณ โอกาสนี้ครับ
**รีวิวนี้เล่นบน PlayStation 5
สำหรับ System Shock นั้น เดิมทีเป็นเกมที่วางจำหน่ายบน PC ในปีค.ศ.1994 ซึ่งนำเสนอในรูปแบบเกมมุมมองบุคคลที่ 1 ซึ่งผสมผสานการสำรวจ, การยิงต่อสู้ และการเอาชีวิตรอดในสถานีอวกาศเข้าไว้ด้วยกัน จนได้รับคำชื่นชมไปมากมายในสมัยนั้น โดยในเดือนพฤษภาคมปีค.ศ.2023 ที่ผ่านมา ทีมงาน Nightdive Studios ได้นำเอาเกมมาทำการรีเมกใหม่บน PC ให้ได้เล่นกันไปแล้ว ซึ่งเราก็เคยลงรีวิวไปแล้วเช่นกันโดยนาย Reviewer Ocelot ครับ (อ่านได้ที่นี่)
ในคราวนี้ ตัวเกมก็ได้ฤกษ์ปล่อยให้เล่นกันบนคอนโซลเสียทีหลังจากหนึ่งปีผ่านไป และผมก็จะมาบอกเล่าความรู้สึกให้ทุกท่านได้อ่านกันครับ
เนื้อเรื่อง
สำหรับ System Shock นั้น ดำเนินเรื่องในโลกอนาคตอันห่างไกลโดยที่เราจะรับบทเป็นแฮกเกอร์ไร้นามรายหนึ่ง (ซึ่งในเวอร์ชันคอนโซลจะเพิ่มเติมให้เลือกเพศหญิงได้เข้ามา) ผู้ที่พยายามจะเจาะระบบของสถานีอวกาศซิตาเดล (Citadel Station) ที่บริษัทไทรออปติมัม (TriOptimum Corporation) เป็นเจ้าของ ทว่ายังไม่ทันไรตัวเราก็โดนจับได้ และถูกบริษัทพามายังสถานีซิตาเดล
ผู้ที่ควบคุมกองกำลังซึ่งจับเรามาก็คือเอ็ดเวิร์ด ดิเอโก (Edward Diego) ที่เป็นหนึ่งในผู้บริหาร และยื่นข้อเสนอให้ตัวเอกว่าจะต้องทำการเจาะระบบของโชดัน (SHODAN) ซึ่งเป็นเอไอที่ควบคุมสถานีอวกาศแห่งนี้ แล้วจะได้สิ่งตอบแทนคืออิสระปราศจากข้อหาใด ๆ พร้อมอุปกรณ์ติดตั้งของแท้จากบริษัท เพียงแค่ปลดระบบศีลธรรมของโชดันและมอบการควบคุมทั้งหมดให้แก่ดิเอโก เมื่อเราทำตามคำสั่งเสร็จสิ้นก็โดนทำให้สลบไป จนเมื่อฟื้นขึ้นมาอีกทีในสถานีอวกาศ เราก็พบว่าที่นี่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ แถมบรรดาหุ่นรับใช้ก็ต่างพร้อมสังหารใครก็ตามที่พบเจอ การหนีตายเอาตัวรอดจึงได้เริ่มขึ้น
โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าพล็อตสไตล์นี้ก็อาจจะถือได้ว่าเป็นอะไรที่น่าจะแปลกใหม่และไม่ค่อยมีใครทำกันในยุคนั้นครับ (อย่างน้อยก็สำหรับวิดีโอเกม) เพียงแค่ว่าถ้าใช้มาตรฐานปัจจุบันล่ะก็พล็อตสไตล์นี้คุณอาจจะเห็นมาจนชิน กับการที่ระบบเอไอบ้าคลั่งขึ้นมาจนเป็นอันตรายต่อชีวิตของมนุษย์ ผมคิดว่าถ้าคุณเคยเล่นภาคต้นฉบับก็อาจจะยังประทับใจได้จากการได้รำลึกความหลัง แต่ถ้าคุณเป็นเกมเมอร์ยุคนี้ก็อาจจะรู้สึกเฉย ๆ กับตัวพล็อตโดยรวมครับ
ทั้งนี้ทั้งนั้น เกมสามารถสร้างบรรยากาศอึดอัดและไม่มีอะไรที่น่าไว้วางใจได้ตลอดเวลา ส่วนหนึ่งต้องยกประโยชน์ให้กับโชดันที่ถือเป็นตัวร้ายหลักของเกมเลยครับ คำพูดคำจาของโชดันนี่เสียดสีแดกดันและหยามเราแทบจะตลอดเวลาที่มีโอกาส แต่การพูดด้วยน้ำเสียงสไตล์สังเคราะห์ เนิบ ๆ แบบไร้อารมณ์มันก็ช่วยให้เกิดความรู้สึกแบบขั้วตรงข้ามที่เข้ากันได้แบบประหลาด ยังไม่นับว่าบางทีเสียงก็จะมีขาด ๆ หาย ๆ ไม่ปะติดปะต่อด้วยนะ คือมันไม่ทำให้รู้สึกกลัวหรืออะไรแต่มันก็ชวนสร้างบรรยากาศแอบน่าอึดอัดได้ดีครับ ในส่วนของบรรยากาศนี่คือทำออกมาได้ดีเลย
เกมเพลย์
ทีนี้มาว่ากันในส่วนของระบบการเล่นบ้าง System Shock ฉบับรีเมกนี้ เรียกได้ว่าซื่อตรงต่อต้นฉบับมากครับ ซึ่งในหลายครั้งผมคิดว่าออกจะซื่อตรงมากเกินไปด้วยซ้ำ
ผมก็จะขอแจกแจงในส่วนเกมเพลย์โดยแยกเป็นการสำรวจและการต่อสู้นะครับ ทั้งนี้ขอแจ้งก่อนว่าเกมนี้จะแยกย่อยระดับความยากในแต่ละหมวดออกเป็น Combat, Mission, Cyber และ Puzzle ที่คุณเลือกปรับแต่ละอย่างได้ตามใจชอบ ตั้งแต่ระดับ 1 (ง่ายสุด) ไปถึง 3 (ยากสุด) ซึ่งในรีวิวนี้ ผมเล่นแบบ 2 ทั้งหมดครับ
การสำรวจ
System Shock นี้อาจเรียกได้ว่าเป็นเกมที่ “ไม่จูงมือคนเล่น” เลยแม้แต่น้อยครับ ดีไซน์เกมนั้นออกแบบมาในแบบคลาสสิกแท้ ๆ คือจะไม่มีการบอกใบ้ ไม่มีขึ้นเป้าหมายว่าต้องทำอะไรบนหน้าจอ ไม่มีปักหมุดบอกทางไปใด ๆ หากคุณต้องการจะผ่านไปจุดอื่น หรือจะ progress เกมต่อ คุณต้องสังเกต คุณต้องอ่านบันทึก ต้องฟังไฟล์เสียง การจะหารหัสเปิดประตูทีนึง คุณก็อาจต้องมานั่งไล่อ่านไล่ฟังไฟล์ที่มีว่ามีคำใบ้รหัสซุกซ่อนอยู่จุดไหนบ้าง กระทั่งพวกไอเท็มสำคัญที่ต้องนำไปใช้ก็ไม่มีอะไรบอกหรือเตือนครับว่ามันสำคัญ ดังนั้นถ้าคุณเผลอไปกดวางทิ้งไว้ที่ไหนแล้วจำไม่ได้ มหกรรมการวิ่งหูตาแหกเพื่อควานหาไอเท็มก็จะเริ่มขึ้น
ถามว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น? ก็เพราะว่าเกมนี้เน้นการบริหารจัดการทรัพยากรสูงมาก ตลอดทั้งเกมนี้จะไม่มีกล่องไอเท็มสี่มิติที่ให้คุณทิ้งของที่ยังไม่ต้องการใช้ไว้ได้ แล้วค่อยไปเปิดหยิบเอาเมื่อต้องการใช้งานที่อื่น หากคุณจะใช้อะไรก็ต้องเก็บไว้กับตัว ดังนั้นปัญหาเรื่องช่องเก็บไม่พอจนต้องเลือกทิ้งอะไรไปนี่เจอได้ทั้งเกมแน่นอนครับ บางทีเก็บปืนใหม่มาได้ก็ต้องตัดใจทิ้งปืนเก่า แต่พอเล่น ๆ ไปดันได้แต่กระสุนปืนเก่าที่ทิ้งไปก็เป็นอะไรที่คุณเจอแน่ ๆ เหมือนกัน
สิ่งสำคัญอีกอย่างคือเกมนี้พวกของที่เป็น junk หรือของใช้การอะไรไม่ได้ให้เก็บตามทางนี่เยอะแยะมาก ประโยชน์อย่างเดียวของพวกมันก็คือการย่อยมันเป็นขยะเพื่อนำไปใส่เครื่องรีไซเคิลแล้วแลกเป็นเงินมาไว้ใช้ซื้อไอเท็มฟื้นพลัง, กระสุนหรือไม่ก็อัปเกรดปืน แต่ก็อีกนั่นแหละไอเท็มบางชิ้นถ้าคุณใส่เครื่องรีไซเคิลเลยจะได้เงินมากกว่าย่อยเป็นขยะ แต่ก็เปลืองช่องไอเท็มมากกว่า สถานการณ์แบบที่แบกอะไรก็ไม่รู้ไว้เต็มตัวเพื่อหวังว่าจะได้เจอเครื่องรีไซเคิลนี่คือสิ่งที่ต้องทำใจให้ชินเวลาเล่นครับ
อีกจุดที่ต้องพูดถึงคือการดีไซน์ฉากครับ ในเกมนี้คุณจะได้ตระเวนไปในสถานีอวกาศที่แบ่งออกเป็นแต่ละชั้น ซึ่งตามความรู้สึกผม ผมคิดว่ามันไม่ใช่การสถานที่ที่คนจะมาใช้ชีวิตหรือทำงานกันได้น่ะครับ ทุกอย่างมันสร้างออกมาสไตล์เขาวงกต วกไปวนมา เดิน ๆ ไปแล้วจำไม่เคยได้ว่าตอนนี้เราอยู่ไหน ขนาดว่าเปิดแผนที่ไปเดินไปก็ยังจำทางไม่ค่อยจะได้ประจำ เมื่อบวกกับการที่เกมไม่บอกใบ้ ไม่ช่วยเหลืออะไรเลย พอคุณเล่นติดแล้วไปไหนไม่ได้สักทีนี่มันก็อดไม่ได้ที่จะหงุดหงิดรำคาญใจขึ้นมา
ทั้งนี้ทั้งนั้น ในส่วนของพัสเซิลก็พอมีอะไรให้เล่นขำ ๆ อยู่เหมือนกัน ซึ่งก็จะเป็นพัสเซิลสไตล์การหมุนแผงวงจรให้ไฟเดินไปยังจุดที่กำหนดเพื่อเปิดประตูครับ แต่ช่วงหลังพอเจอเยอะ ๆ เข้าก็แอบรู้สึกว่ามันเสียเวลาเหมือนกัน
การต่อสู้
ทีนี้มาว่ากันด้วยระบบต่อสู้ของเกมนี้กันบ้าง เกมนี้ต่อสู้ในแบบมุมมองบุคคลที่หนึ่ง ซึ่งอาวุธก็จะมีแบ่งเป็นอาวุธประชิดกับอาวุธปืนครับ พวกอาวุธบ้าน ๆ อย่างท่อเหล็กหรือประแจพวกนี้จะใช้งานได้โดยไม่เสียอะไร คือหวดได้ก็หวดไปเลย (เว้นแต่คุณได้ดาบเลเซอร์มาก็จะต้องใช้พลังงาน) ส่วนพวกอาวุธปืนก็อย่างที่รู้ ๆ กันคือจะต้องใช้กระสุนเฉพาะของแต่ละกระบอกนั่นเอง และเกมก็จะมีอาวุธสำรองที่เป็นพวกระเบิดให้ใช้ ก็เรียกได้ว่าครบถ้วนตามมาตรฐานของเกมยิงมุมมองบุคคลที่หนึ่งครับ
ทีนี้ ปัญหาของระบบต่อสู้นี่ผมคิดว่ามันคือความโบราณของเกมนี่ล่ะครับ ในเชิงของอาวุธประชิดนั้นเราทำได้แค่กดตีเบา หรือกดค้างตีหนัก ไม่มีการยกอาวุธมาป้องกันเพื่อลดแดเมจอะไรแบบนั้น พอในส่วนของอาวุธปืน มันก็ให้ความรู้สึกว่าค่อนข้างขลุกขลัก การเล็งการยิงไม่ได้รู้สึกว่ามันคล่องตัวหรือทันใจ แต่พอเป็นศัตรูยิงเรานี่อย่างไวแถมโดนแทบทุกดอก มิหนำซ้ำศัตรูเกมนี้ยังมีลักษณะ Bullet Sponge ทุกตัวเลยครับ คือไม่ว่าคุณจะยิงส่วนไหนของมัน มันก็จะไม่ค่อยมีปฏิกิริยาตอบสนอง แต่ละตัวไม่ได้มีอาการบาดเจ็บอะไรให้เห็น โดนยิงก็ยังยืนนิ่งไม่ก็เข้าหาเราดุ่ม ๆ ได้แบบเทอร์มิเนเตอร์ประจำ ยิ่งพวกตัวที่เป็นบอสนี่แอบนรกมาก เพราะกระสุนก็แทบจะไม่พอเป็นทุนเดิมอยู่แล้วยังต้องงัดมาถล่มมันให้ได้อีก
ในทางกลับกัน ตัวเรานี่บางมากประหนึ่งเป็นกระดาษทิชชูเปียกน้ำน่ะครับ ถ้าหาที่หลบหรือหาของกำบังไม่ทันก็เตรียมคอนทินิวได้เลย แล้วที่สำคัญคือในหลายจุดนี่เกมชอบใส่ศัตรูมาทีละเยอะเอาเรื่องเหมือนกลัวคนเล่นจะผ่านง่าย ๆ สถานการณ์ชวนหงุดหงิดรำคาญใจประเภทว่าเดินต่อได้สองสามห้องแล้วตาย ต้องเสียเวลามาวิ่งใหม่นี่คืออะไรที่มันไม่สนุกจริง ๆ ครับ
อย่างไรก็ตาม ผมเข้าใจนะว่าทำไมเกมนี้ถึงได้ชื่อว่าเป็นต้นแบบของเกมอย่าง BioShock รวมถึงอีกหลาย ๆ เกม สิ่งที่ชัดเจนมากก็คือระบบ Restoration Bay หรือห้องคืนชีพนี่ล่ะครับ คือในแต่ละชั้นของสถานีจะมีห้องที่เปรียบเหมือนเป็นห้องชุบชีวิตให้เรา หากว่าเราพลาดตายไป ก็จะมาเกิดใหม่ที่ห้องนี้ได้ตลอดโดยไม่เสีย progress อะไรไป จัดการศัตรูตัวไหนไปแล้วก็จะถือว่าจัดการไป หากจะเสียก็แค่เสียเวลาเท่านั้น แต่ปัญหาก็อย่างที่บอกไปคือตัวเรามันบางมาก ของเติมพลังก็ใช่จะมีเยอะ หลายครั้งก็เลยจะเกิดสถานการณ์แบบที่ต้องวิ่งจากจุดคืนชีพเพื่อกลับไปจุดเดิม พอสำรวจต่อได้นิดหน่อยก็ลงไปนอนอีกแล้ว
นอกเหนือไปจากการต่อสู้ในโลกความเป็นจริงแล้ว เกมนี้ยังมีการต่อสู้ในโลกไซเบอร์อีกทางหนึ่ง ซึ่งจะนำเสนอในลักษณะของเกมชูตติ้งยานยิงในสภาพแวดล้อมไซเบอร์ในแบบยุค 90s จัด ๆ ที่ทุกสิ่งอย่างเหลี่ยมไปหมด โดยส่วนใหญ่วัตถุประสงค์ของการเล่นในโลกไซเบอร์นี้ก็เพื่อทำลายเป้าหมายและเปิดประตูในโลกความเป็นจริงครับ ซึ่ง…มันไม่ง่ายนะ องค์ประกอบทั้งหมดของเกมถูกออกแบบมาให้ยากทุกจุด ไม่เว้นแม้แต่ในจุดนี้ เพราะว่าถ้าคุณพลาดตายในโลกไซเบอร์ คุณก็จะเสียพลังชีวิตในโลกความเป็นจริงด้วยเหมือนกัน มันเลยไม่มีส่วนไหนที่จะรู้สึกเล่นแบบสบาย ๆ ได้ เกมบังคับให้คุณต้องโฟกัสกับมันในทุกแง่มุมตลอดเวลาที่เล่นครับ
กราฟิกและการนำเสนอ
แม้ว่า System Shock ในภาคนี้จะเป็นการรีเมก แต่ก็อย่างที่บอกไปว่าทำออกมาได้ซื่อตรงต่อต้นฉบับ เพราะว่าเท็กซ์เจอร์กราฟิกต่าง ๆ ในเกมนั้น ทีมงาน “ตั้งใจ” ทำให้มันดูเหลี่ยม ๆ ออกมาเป็นพิกเซลแบบชัดเจนครับ สารภาพตามตรงว่าทีแรกสุดผมนึกว่าต้องรอแพตช์อัปเดตแก้ไขกราฟิก หรือไม่ก็มีตัวเลือกกราฟิกให้ปรับ แต่ไม่ว่ากดดูตรงไหนก็ไม่มีจนมารู้ว่าทีมงานตั้งใจแบบนี้นี่ล่ะครับ มันก็เป็นอะไรที่แปลกดีและรู้สึกขัดตาในช่วงแรก แต่พอเล่นไปสักพักก็จะเริ่มชินไปเอง
อีกประการหนึ่งที่ต้องพูดถึงก็คือเกมนำเสนอความรุนแรงออกมาได้ชัดเจนและไม่มีกั๊กดี ศพเละ ๆ และอวัยวะภายในนี่เกลื่อนทั้งเกมเลย
งานเสียง
ในส่วนของเสียงเพลงประกอบนี่ ผมคิดว่าไม่ค่อยมีเพลงที่มันติดหูหรือจดจำได้มากนัก เพราะส่วนใหญ่เกมจะเน้นไปที่พวกเสียงสำหรับสร้างบรรยากาศวังเวงและโดดเดี่ยวมากกว่า จังหวะที่เดิน ๆ อยู่พอได้ยินเสียงพวกหุ่นหรือพวกไซบอร์กทีนึงก็ต้องหันซ้ายหันขวาทีนึงว่าพวกมันอยู่ตรงไหน แม้แต่จุดที่เคยผ่านไปแล้วก็ยังทำให้คนเล่นต้องตื่นตัวตลอดเวลา เสียงในเกมนี้คือสิ่งที่ทำให้รู้สึกได้ว่าไม่มีจุดไหนที่เป็นจุดปลอดภัยจริง ๆ เลยครับ
สรุป
System Shock ฉบับรีเมกนี้ เป็นผลงานที่เรียกได้ว่าไม่เป็นมิตรกับคนเล่นครับ ตัวเกมออกแบบมาอย่างคลาสสิกแท้ ๆ (หรือจะเรียกว่าโบราณก็ใช่) หากคุณไม่เคยเล่นมาก่อนเลย คุณอาจต้องนั่งงมหาทางไปเป็นชั่วโมง และตายซ้ำตายซากจากศัตรูที่ยืนแอ่นอกรับลูกปืนแบบหน้าด้าน ๆ แต่หากคุณเคยเล่นต้นฉบับก็อาจบวกคะแนนพิศวาสให้จากการได้รำลึกความหลังครับ แต่ว่าโดยส่วนตัวผมผมคิดว่ามันเป็นการเล่นเกมที่ออกแนวการบำเพ็ญเพียรมากกว่าจะสนุกครับเพราะต้องใช้ความอดทนมากกว่าที่คิดเอาไว้เยอะพอควรเลย