News Reviews

Dragon Age: The Veilguard – รีวิว [REVIEW]

by Reviewer Ocelot

Dragon Age: The Veilguard – รีวิว [REVIEW]

Dragon Age: The Veilguard – รีวิว [REVIEW]

*ขอขอบคุณทาง Electronic Arts สำหรับโค้ดเพื่อการรีวิวครับ

**รีวิวนี้เล่นบนเครื่อง PC

ดูคลิปรีวิวแบบวิดีโอได้ที่นี่

https://www.youtube.com/watch?v=tVyj-bhZWpM

Dragon Age: The Veilguard เป็นสิ่งที่แฟน ๆ ซีรีส์ตั้งตารอมากที่สุดในปี 2024 หลังจากห่างหายไปนาน ตัวผมที่ได้รับหน้าที่รีวิวเกมนี้ก็รู้สึกว่าจักรวาลของ Dragon age น่าสนใจและเป็นที่หลงรักของคนจำนวนมาก รวมถึงผมด้วย

ถึงแบบนั้นในรีวิวนี้ผมจะไม่ขอเคลมความเป็นแฟน Dragon Age เพราะผมไม่ได้ตามสื่ออื่น ๆ อย่างนิยาย หรือเกมมืออถือ ผมจะรีวิวด้วยมุมมองของเกมเมอร์ที่มีความรู้ Dragon Age นิดหน่อย

และความรู้สึกในภาพรวมของผมคือ Dragon Age: The Veilguard เป็นเกมที่น่าเบื่อได้อย่างมหัศจรรย์มาก ๆ ผมจะไล่เรียงไปเลยว่าในแต่ละช่วงที่เล่นผมเจออะไรบ้าง

ช่วงแรกก็อย่างที่หลายคนน่าจะรู้คือการปูพื้นว่าเราจะได้สู้กับเทพโบราณ 2 ตน จากนั้นเกมก็จะมีการแนะนำระบบต่อสู้ ซึ่งผมก็ถือว่าเป็นจุดที่โดดเด่นในตอนแรก เพราะมันดึงเมคะนิดหลายอย่างมาจากเกมแอ็กชัน ทั้งกลิ้งหลบ แพร์รี มีการฟื้นตัวไว ทำให้ศัตรูเสียหลัก มีท่าไม้ตาย มีท่าเผด็จศึก และอีกมากมาย ซึ่งล้วนแล้วแต่ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ด้วยความที่เกมมันมีแอนิเมชันลื่นไหลมาก ทำให้ผมค่อนข้างโอเคกับช่วงแรก

ในทางกลับกัน ผมรู้สึกแปลก ๆ กับตัวเลือกบทสนทนาของเกม ส่วนใหญ่มันจะมาเป็น 3 ข้อ นิ้วโป้งคือตอบแบบคนดี หน้ากากจจะตอบแบบมีอารมณ์ประชดประชันนิดหน่อย ส่วนอันล่าสุดจะเป็นการตอบแบบโผงผาง แต่ไม่ว่าผมจะเลือกอะไร บทสนทนาดูจะไม่ได้ส่งผลกระทบจริงจังต่อเนื้อเรื่องทั้งนั้น ส่วนใหญ่มันก็จะเป็นแค่การออกความเห็น และหลายครั้งมันบิดคำพูดเราให้ดูยังไงก็ต้องเป็นคนดี

เกมเริ่มดูน่าสนใจขึ้นตอนที่ตัวร้ายส่งมังกรมา แล้วเราต้องเลือกว่าจะช่วยปกป้องเมืองไหนของเพื่อนเรา 2 คน คือ เนฟ และ ลูคานิส ผมเลือกช่วยเนฟ ทำให้ลูคานิสตกอยู่ในสถานะ Hardend หรือก็คือการตั้งแง่กับเรา ทำให้ลูคานิสจะไม่ใช้สกิลซัพพอร์ตอย่างการฮีลเราได้ ซึ่งผมคิดว่ามันดูเข้าท่าดี

แต่เชื่อมั้ยครับ หลังจากเหตุการณ์และช่วงสุดท้าย ผมไม่เจอทางเลือกการตัดสินใจที่หนัก ๆ อีกเลย สถานะ Hardend ที่เกมแนะนำมา สงวนไว้กับแค่ตัวละคร 2 ตัว ผมเลยงงว่าถ้าทำได้แค่นั้น จะแนะนำระบบนี้มาแบบจริงจังทำไม

แต่นั่นยังไม่ส่วนที่เลวร้ายที่สุด

กลื่นความพินาศมันโชยมา หลังจากทำภารกิจหลักแล้วล้มเหลว ทีมก็มีการประชุมกันแล้วได้ข้อสรุปว่า สมาชิกแต่ละคนมีเรื่องกังวลใจส่วนตัว แล้วเรา (ตัวเอก) จะต้องไปช่วยแก้ไขปมของแต่ละคน พูดง่าย ๆ ว่าไล่เราไปทำเควสต์รองของคนในทีมนั่นแหละ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ป่วย แต่ก็ยอมทำตามที่แนะนำไป

ช่วงกลางเกม

ผมบอกได้เลยว่าหลังผ่าน 10 ชั่วโมงไปจนถึง 40 ชั่วโมงกว่า มันเป็นการเล่นเกมที่บั่นทอนจิตวิญญาณของเกมเมอร์มาก ไล่ไปตั้งแต่การสำรวจที่แทบไม่มีอะไรน่าสนใจทั้งที่มีโลกกว้างใหญ่ พัสเซิลไล่ตีหัวสิวที่หลักการแก้ของมันก็คือไล่ตีไปเรื่อย ๆ จนทางมันเปิดเอง ตามหลอกหลอนไปจนจบเกม

เรื่องไซด์เควสต์ไม่ต้องพูดถึง มันจะมาเป็นเส้นตรงแบบ A ไป B สู้บอสที่ C แต่ที่ผมคิดว่าน่าเกลียดเลยก็คือเควสต์ของคนในทีมที่จะโยนเราเข้าไปในแผนที่ปิด ให้เรากดมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งของ รอคนในทีมมันพ่น ๆ อะไรไปเรื่อย แล้วก็จบ ถ้าจะทำแบบนี้สู้ทำเป็นฉากคัตซีนมาเลยดีกว่า

ส่วนระบบต่อสู้ที่ดูเหมือนจะเป็นแต้มต่อตอนแรก ก็ดูน่าเบื่อขึ้นเรื่อย ๆ สาเหตุหลักก็คือระบบเพื่อนร่วมทีมที่ถูกออกแบบมาเหมือนเป็นลูกสมุนเรามากกว่า และเกมยังลดทอนความซับซ้อนของกลยุทธ์คือทำให้เพื่อนเราเป็นอมตะ พอจะเรียกใช้สกิลแล้วอยู่ไกล มันวาร์ปมาใช้สกิลให้เลย…

ทำให้สุดท้ายสิ่งที่เกิดขึ้นมันก็คือการวนลูปแบบสแปมท่า กลิ้งหลบ แพร์รีนิดหน่อย ใช้ท่าไม้ตาย แล้วก็รอคูลดาวน์หมุน จากนั้นค่อยใช้สกิลใหม่ แย่ยิ่งกว่านั้นคือเกมนี้ขาดความหลากหลายของศัตรูมาก โดยเฉพาะมังกรที่เหมือนไปรีสกินมา ท่าโจมตีมาแพทเทิร์นเดียวกันเป๊ะ ๆ บางตัวให้ท่าพิเศษเสริมไปหน่อย ทั้งที่การต่อสู้กับมังกรควรจะเป็นไฮไลต์ของ Dragon Age

มาว่ากันถึงงานเขียนกันบ้าง โดยเฉพาะบทสนทนาเกมนี้ ถ้าพูดแบบแฟร์ ๆ มันไม่ได้แย่ทั้งหมด แต่ก็ส่วนใหญ่ก็แย่ หลายครั้งมันจะทำให้คุณรู้สึกว่า กูนั่งดูอะไรอยู่วะ มันไม่ให้อารมณ์แบบคนที่มีวุฒิภาวะเท่ากันเขาคุยกัน มันจะเหมือนเด็กทะเลาะกันแล้วเราเข้าไปช่วยแก้ปัญหา

ยกตัวอย่างเลยดีกว่าจะได้เห็นภาพ มันจะมีฉากที่เอ็มริกกับทาชมันทะเลาะกัน คร่าว ๆ คือทาชมันไม่ชอบพวกศพ ส่วนเอ็มริกมันก็ไม่ชอบที่ทาชเรียกมันว่าไอ้เมจผี ไอ้คนเล่นกับศพ วิธีแก้ปัญหาก็คือการแนะนำว่า พวกเธอก็เรียนรู้ซึ่งกันและกันสิ เอ็มริกก็เรียนรู้เรื่องมังกรจากทาช ส่วนทาชก็เรียนรู้เรื่องเวทสายมืดจากเอ็มริกไง แล้วปัญหาจบตรงนั้นเลย สองคนเข้าใจกัน ได้เหรอวะ มันเหมือนผมไม่ได้เล่น Dragon Age น่ะ มันเหมือนผมกำลังเล่น Life Coach Simulator อยู่

แล้วอีกฉากนึงคือเอ็มริกมันจะไปตั้งแคมป์กับฮาร์ดดิง 2 วัน แล้วฮาร์ดดิงมันก็ไม่พอใจว่า ทำไมเอ็มริกต้องแบกหนังสือหรือเอาเสื้อผ้าไปเยอะขนาดนั้น แค่พอเริ่มต้นมาแบบนี้ผมก็งงแล้วนะ ไปตั้งแคมป์ทำไมมันจะเอาไปไม่ได้ มันเป็นปัญหายังไง แล้วแน่นอนครับก็เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องเข้ามาไกล่เกลี่ย

คำแนะนำก็คืออ่ะพวกแกสองคนใครอยากทำอะไรก็ทำไง ปัญหาจบ… แล้วคุณคิดดูนะ นี่เป็นเกมที่กรอกหูคุณบ่อยมากว่า เรากำลังต่อสู้กับเทพ นี่มันเป็นวาระเร่งด่วนของโลก ภัยคุกคามครั้งใหญ่ที่สุด ตัดภาพมาแม่งคุยกันว่าจะไปตั้งแคมป์กัน จากแต่เดิมไอ้เทพสองตัวเนี้ยมันก็ดูไม่ได้น่ากลัวอะไรขนาดนั้นอยู่แล้ว แล้วมาเจอการนำเสนอแบบนี้อีก มันทำเซนส์ของภัยคุกคามดิ่งเหวจนไม่ต้องตั้งมาหรอกไอ้ทีมเวลการ์ดเนี่ย ผมว่าส่งครูบาหมูเด้งโกโกวาไปปราบก็ได้

อีกสักตัวอย่างแล้วกัน มันจะมีเควสต์สำคัญที่ส่งผลต่อฉากจบของเรื่อง เราก็จะต้องไปคุยกับมิธทัลที่เคยเป็นเพื่อนรักของโซลาสขอให้มาช่วย เกมมันจะให้คุณเลือกสองอย่างว่าจะสู้ หรือจะใช้เหตุผลโน้มน้าว ถ้าเลือกใช้เหตุผลมันจะมีช่วงนึงที่มิธทัลมันจะบอกเราว่าถ้าแกอยากพิสูจน์ว่าแกคู่ควร แกต้องทำได้ดีกว่านี้ คำตอบที่เราควรให้คือบอกเหตุผลที่เข้าท่าไปใช่มะ แต่ไอ้นี่ไม่ครับ แม่งตอบว่าก็กูคู่ควรไง คือมันทื่อจนถ้าเป็นมิธทัล ผมแปลงร่างเป็นมังกรตบมันแล้ว

คุณพอจะเห็นภาพรวมกันรึยัง มันขัดแย้งกับสิ่งที่แวร์ริกมันบอกเราในตอนต้น ๆ ของเกมว่าการเป็นผู้นำมันต้องเจอกับการตัดสินใจที่ยาก แต่ตัวเลือกที่เราได้เจอมันแทบจะไม่มีอะไรแบบนั้นเลย ทุกอย่างง่าย ทุกอย่างนุ่มฟู ทุกบทสนทนาที่คุณเลือกมันไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรจริงจังทั้งนั้น ผมน่ะเกลียด DA2 ก่อนหน้าเนี้ยผมจัดให้มันอยู่เทียร์ต่ำสุดของทุกภาค แต่ DA2 มันก็ยังมีเควสบางเควสที่ทำผมอึ้งได้

อย่างเควสแม่ของฮอว์กที่มันจะมีความจิต มีความดาร์กอยู่ในนั้น หรือการที่คนในทีมเราต้องขัดแย้งจนบางครั้งมันไปถึงจุดที่มันอยู่ฝั่งเดียวกันไม่ได้ เทียบกับ Dragon Age: The Veilguard ที่เกมมีตัวละครที่คอนเสปน่าสนใจอย่างนักฆ่าที่มีปิศาจในตัว จอมเวทที่เล่นกับศพ วัตถุดิบมันไม่น่าจะทำให้เกมนี้น่าเบื่อได้ แต่ Dragon Age: The Veilguard ทำได้ครับ

ช่วงกลางเกมผมสรุปแบบนี้ พัสเซิลห่วย งานออกแบบไซด์เควสต์แย่ งานเขียนส่วนใหญ่ไม่เมกเซนส์ ระบบต่อสู้ที่ซ้ำซากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งหมดมันเลยประกอบร่างกันกลายเป็นประสบการณ์เล่นเกมที่ผมถึงกับต้องถามตัวเองว่า เราจะปล่อยให้สิ่งนี้มันบุลลี่เซลล์สมองของเราต่อไปจริง ๆ เหรอ

ถ้าคุณถามว่าแล้วผมจะทนเล่นไซด์เควสต์ของพวกคนในทีมไปทำไม ก็เพราะจุดขาย Dragon Age มันคือเรื่องราวของเราที่ไปมีปฏิสัมพันธ์กับคนที่มาร่วมผจญกับเรา มันเป็นแบบนั้นมาตลอดครับ แต่สิ่งที่ Dragon Age: The Veilguard เป็นมันเหมือนเขาคิดเส้นเรื่องหลักมา แล้วไอ้พวกเรื่องราวของคนในทีมเหมือนเอามาต่อ ๆ ปะ ๆ ทีหลัง จนน่าจะเหลือแค่โซลาสที่เป็นเหมือนผู้สืบสันดานคนเดียวที่บอกว่าสิ่งนี้คือ Dragon Age แต่จะยังไงก็ตาม ผมก็กลั้นใจเล่นต่อ ไหน ๆ มันก็เสียไปแล้ว 40 ชั่วโมงแล้ว

ปรากฏว่าพอเข้าช่วงเควสต์สุดท้ายที่เป็นเควสต์ต่อเนื่อง เกมมันพอจะแก้ตัวได้ครับ เราเริ่มเห็นความสูญเสีย ตัวละครในทีมตาย ตัวเลือกของเราเริ่มมีน้ำหนัก เพราะช่วงนี้มันจะไปเหมือนตอนท้ายของ Mass Effect 2 ที่เราต้องเลือกให้คนในทีมไปทำภารกิจส่วนต่าง ๆ แล้วค่าความสัมพันธ์ของเรากับคนในทีมและแฟ็กชันต่าง ๆ จะมามีบทตอนนี้

ถึงมันจะนำเสนอแบบโต้ง ๆ เลยประมาณว่าภารกิจมันต้องใช้คนที่มีประสบการณ์สู้กับศัตรูตัวใหญ่ ๆ หรือบลา ๆ ๆ คือมันก็ไม่ได้ดีเลิศเลออะไรขนาดนั้น แต่มันดีกว่าช่วงแรกและช่วงกลางเกมแน่นอน นี่คือสิ่งที่เป็นเนื้อเป็นหนังที่พี่ควรจะเอามาขายให้มันทั้งเกม การนำเสนอที่ดูมีความอีปิกเหมือนเป็นภาพยนตร์ น้ำหนักจากตัวเลือกของเราเอง พยุงจนไปถึงฉากจบซึ่งมันก็เถียงกันได้ว่าจบดี จบไม่ดี นั่นก็อีกเรื่องนึง แต่ที่ผมจะบอกก็คือมันยังแลนด์ดิงได้แบบคนไม่ตายเยอะ

แล้วนีก็คือประสบการณ์ตลอดทั้งเกมของผม

เรื่องนั้น…

ถ้าไม่มีพูดเรื่องทาชก็คงไม่ครบใช่มั้ย จุดยืนผมนะ ผมไม่มีปัญหาเลยถ้าเกมจะใส่แนวคิดทางสังคมหรือการเมืองเข้ามา เพราะว่าสิ่งเหล่านี้มันอยู่ในสื่อบันเทิงแบบแทบจะเลี่ยงไม่ได้มานานมากแล้ว สงครามก็ใช่ การทำลายสิ่งแวดล้อมก็ใช่

ถ้าจะมีปัญหา ปัญหาของมันคือการที่มันนำเสนอประเด็นเพศสภาพได้ทื่อ ไม่มีชั้นเชิง ไปจนถึงขั้นย้อนแย้งในตัวเอง

จะมี 2 ฉากใช่มั้ยที่คนพูดถึงกันเยอะ คือฉากที่คุยกันบนโต๊ะอาหาร คือไอ้ฉากเนี้ยมันก็ไม่เชิงไม่มีที่มาที่ไปซะทีเดียวนะ เพราะถ้ามตามเควสต์ไลน์ ทาชมันได้ไอเดียการใช้คำว่า They มาจากเรื่องเล่าของพวก Shadow Dragons ที่มันเล่าว่ามีคนใช้สรรพนามว่า They เรียกตัวเอง ก็คือไม่ใช่ทั้งชายและหญิง แล้วทาชมันชอบคอนเสปนี้ มันเลยวางแผนจะเอาไปบอกแม่

แต่ตอนชวนมานั่งโต๊ะประเด็นคือแม่มึงยังไม่รู้ไง… เขาก็ต้องถามก่อนเพราะมึงเล่นโยนคอนเสปใส่หน้าเขา แล้วอยู่ดี ๆ มันก็เกิดการเหวี่ยงวีนขึ้นมาว่าทำไมไม่มีความสุขกับสิ่งที่ลูกเป็น มันเลยเป็นฉากที่มันดูเป็นการ Come Out ที่ประหลาด

แต่ฉากที่หนักกว่าคือวิดพื้นครับ อันนี้ไม่สามารถแก้ตัวให้ได้เลย ที่อิซาเบลลาเผลอใช้คำว่า She กับ ทาช แล้วทำโทษตัวด้วยการลงไปดันพื้น ถึงจะมีคำอธิบายว่าทาชก็ไม่ได้สั่งให้อิซาเบลลาทำ แต่ก็ไม่ได้มีการห้าม สุดท้ายเมสเสจหลักของฉากนี้มันก็เป็นไปตามที่อิซาเบลลาพูดก็คือการเรียกสรรพนามผิดเหมือนเป็นการไม่ให้เกียรติเพื่อนแบบนึง

และหนักกว่านั้นด้วยเพราะมันมีการอธิบายตามหลังว่าที่ต้องลงไปดันพื้นเพราะมันเป็นธรรมเนียมที่ทำให้คนคนนึงต้องคิดใคร่ครวญความผิดของตัวเองมากกว่าจะแค่พูดว่าขอโทษ การเรียกสรรพนามผิดมันเลยเป็นเรื่องที่มีน้ำหนักถึงขั้นเป็นความผิดทางสังคมแบบนึง

แต่ที่มันย้อนแย้งมากก็คือ คุณจำไอ้ฉากที่ทาชมันทะเลาะกับเอมริกได้มั้ย ที่ทาชมันเรียกเอมริกว่าประมาณว่าไอ้จอมเวทความตาย ไอ้คนเล่นกับศพ แล้วเอ็มริกก็บอก เฮ้ย กูก็มีชื่อนะ ก็เรียกชื่อดิ แล้วทาชก็ย้อนว่า อ้าว ก็นายเป็นจอมความตายไม่ใช่เหรอ ซึ่งมันย้อนแย้งมาก คือตัวละครที่เซนซิทีฟกับการเรียกชื่อเรียกสรรพนามตัวเอง กลับไม่รู้สึกถึงปัญหาเวลาไปเรียกสรรพนามคนอื่นที่เขาก็บอกว่าเขาไม่ชอบ

มันเลยทำให้คนเล่นสับสนว่าตกลงพี่ต้องการคนเท่ากัน หรือต้องการความเคารพอยู่ฝ่ายเดียว

นี่ก็เป็นหนึ่งในความห่วยของการเขียนบท ถ้าทีม DEI หรือทีมอะไรก็แล้วแต่ที่ดูเรื่องความถูกต้องทางการเมืองของ Bioware มีอยู่จริง แล้วมีความรู้ แล้วแม่นเรื่องพวกนี้ จะไม่มีการปล่อยสิ่งนี้ออกมา

สรุป

ผมย้ำอีกรอบนะครับ Dragon Age: The Veilguard ไม่ได้พังเพราะมันใส่ประเด็นแนวคิดทางสังคมอะไรเข้ามา ช่องดัง ๆ อย่าง SkillUp สื่ออย่าง Forbes หรือ Angry Joe เอง เขาก็ไม่ได้เอาเรื่องนอนไบนารีมาชูว่านี่คือสิ่งที่ทำให้เกมพัง สิ่งที่ทำให้เกมพังคือมันตื้นเขินไปแทบทุกมิติทั้งการเขียน เกมเพลย์ การสำรวจพัสเซิล ความเป็น RPG อย่างที่ผมเล่าไป

ถ้าจะมีอะไรที่เป็นข้อดีของเกมก็คือ ช่วงเควสต์สุดท้ายค่อนข้างสนุก มีการนำเสนอแบบภาพยนตร์ ฉากในเกมหลายฉากอลังการ การเก็บงาน Performance ที่ดี เอ้อ แล้วก็ผมของตัวละครสวยจริง

เพราะฉะนั้น DAV ผมให้ 5.5 คะแนนครับ ความจริงอยากจะให้ 6 นะ แต่ผมว่าทุกคนน่าจะเข้าใจว่าการรีวิวเกมมันต่างจากการรีวิวหนัง รีวิวซีรีส์ เกมหลายเกมสมัยนี้ใช้เวลาเยอะมาก แล้วเรา TGW ก่อนจะปล่อยคลิปรีวิวจะดีจะชั่วเราต้องจบก่อนรอบนึง บางเกมมันต้องไประดับ 30-40 ชั่วโมง มันถึงจะฉายแสง

แต่ถ้าเกมไหนที่ยาว ๆ แล้วผมรู้สึกว่าผมต้องพยายามฝืนตัวเองให้เล่น แล้วตอนจบมันไม่สามารถพิสูจน์ความคุ้มค่ากับเวลาที่ผมเสียไป ก็ต้องหักอีก 0.5 คะแนนครับ

จุดเด่น

  • การนำเสนอที่มีความซินีมาติกแบบภาพยนตร์
  • การเก็บงาน Performance ที่ดี
  • ระบบต่อสู้ที่ดูเข้าท่า (ช่วงแรก)

จุดด้อย

  • การสำรวจ พัสเซิล และการต่อสู้ที่ซ้ำซากโดยเฉพาะช่วงกลางเกมเป็นต้นไป
  • ตัวเลือกบทสนทนาที่ซอฟต์ ไม่ให้ Agency เราในการกำหนดความเป็นตัวเราเท่าไร
  • ไซด์เควสต์แทบทั้งหมดเป็นเส้นตรง ไปจนถึงขั้นแค่ให้ไปกดมีอินเตอร์แอ็กชันกับสิ่งของเฉย ๆ
  • งานเขียนบทที่ไม่เหมือนผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะเท่ากันคุยกัน
  • แทบไม่มีตัวเลือกที่มีน้ำหนักหรือซีเรียสมากพอ

The Review

55% 10 ปี ที่ควรจะรอต่อไป...

55%

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ข้ามไปยังทูลบาร์