Lies of P: Overture – รีวิว [REVIEW]
บทโหมโรงอันมืดมนและทรงเสน่ห์
*ขอขอบคุณโค้ดสำหรับการรีวิวจาก Neowiz มา ณ ที่นี้
แม้จะไม่มีความพยายามปิดบังความเป็นทายาททางอ้อมของเกมตระกูล Souls แต่ด้วยพลังแห่งการนำนิทานพื้นบ้านที่รู้จักกันทั่วโลกมาตีความใหม่ และใส่สารที่ชี้ชวนให้ผู้เล่นตั้งคำถามระดับปรัชญามากมายทั้งความเป็นมนุษย์ ความเป็นหุ่นยนตร์ ไปจนถึงกาารโกหก ทำให้ Lies of P เป็นผลงานที่สามารถยืนได้อย่างโดดเด่นและมีรสชาติเป็นของตัวเอง
หลังจากกวาดคำชมทั้งในแง่เนื้อเรื่อง งานออกแบบ และการสร้างโลกจนประสบความสำเร็จไปในปี 2023 ไม่น่าแปลกใจเลยที่แฟน ๆ หลายคนจะตั้งตารอการกลับมาผจญภัยในบทใหม่ของน้อง P อีกครั้ง แต่ก่อนที่เราจะสัมผัสกับภาคต่อแบบเต็ม ๆ สตูดิโอ Round 8 ก็ส่ง DLC ส่วนเสริม Overture มาดับกระหายกันก่อน และผมต้องบอกว่านี่คือบทโหมโรงก่อนหายนะที่สมการรอคอย
ด้วยความที่การสร้างโลกและเรื่องราวแวดล้อมจากตัวเกมหลักมันมั่นคงมาก สิ่งที่ทีมงานทำก็คือการต่อยอดมันให้โดดเด่นยิ่งกว่าเดิม คุณจะพบว่า Overture เป็นสวรรค์ของคนสายลอร์ ใครที่อยากรู้เรื่องราวของเหล่านักเล่นแร่แปรธาตุ เหตุการณ์ก่อนเกิดหายนะภัย และที่สำคัญคือตัวตนในอดีตของ Carlo, Romeo ที่เชื่อมโยงกับสตอล์กเกอร์ในตำนานคือ Lea คุณจะได้เสพสิ่งนี้อย่างเต็มอิ่ม มีเอกสาร มีการบันทึกเสียง และคัตซีนที่จะกลายเป็นจิ๊กซอว์มาต่อส่วนที่คุณยังสงสัยจากตัวเกมหลัก

แน่นอนว่าลอร์ไม่ได้มาแค่ในรูปแบบของเอกสารเท่านั้น แต่มันยังมาในรูปแบบของงานออกแบบฉาก Overture จะพาคุณไปฝ่าภัยอันตรายในสวนสัตว์และสวนสนุก Krat ดำดิ่งลงสู่ห้องทดลองใต้ดินที่เต็มไปด้วยความลับดำมืด ไปจนถึงหมู่บ้านใกล้ทะเลที่ที่ความตายได้มาเยือนชายฝั่ง Overture จึงมีทั้งความตื่นตาในสถานที่แปลกใหม่ ขณะเดียวกันก็ถูกจัดวางร้อยเรียงให้สอดคล้องขยายโลกของเกมนี้ออกไปอีก

เนื้อเรื่องที่เป็นเรื่องราวเล็ก ๆ แยกออกมาจากเส้นเรื่องหลัก เช่น เรื่องของเสียงขุดเจาะในเหมืองลึกลับที่ดังมานานจนคนคิดว่ามันคือเสียงปิศาจ แต่พอเราได้ไปค้นพบความจริงข้างหลังของชั้นหินก็พบกับความจริงที่น่าสะเทือนใจ พูดได้ว่ามีทั้งรางวัลในแง่สุนทรียะ แล้วก็มีไอเทมให้ด้วย
ในส่วนเสริมยังมีเควสต่าง ๆ พร้อมทางลับหลายจุดที่จะนำคุณไปเจอกับศัตรูและบอสบางตัว เป็นจุดที่ถ้าคุณพลาดสำรวจแล้วเล่นจนจบ DLC บางอย่างก็ไม่สามารถย้อนกลับไปทำใหม่ได้อีกเลย เพราะฉะนั้นก่อนจะไปเผชิญหน้ากับศึกสุดท้ายเกมจะขึ้นคำเตือนให้ประมาณว่าถ้าไปไกลกว่านี้จะย้อนกลับไม่ได้แล้ว หากอยากทำอะไรให้ครบ 100% จริง ๆ ก็คิดให้ดี

อีกส่วนที่ผมรู้สึกว่าทีมงานเลือกใส่เข้ามาได้พอเหมาะเลยก็คือพวกการนำเสนอแบบภาพยนตร์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่ค่อยจะได้เจอในเกมตระกูลโซลส์เท่าไร ผมไม่ได้หมายถึงการตัดเข้าฉากคัตซีนแล้วปล่อยให้บอสมันโชว์ของก่อนจะสู้ แต่ผมกำลังหมายถึงการเล่นมุมกล้องในบางสถานการณ์ เช่น เรากำลังจะผ่านทางแล้วประตูดันระเบิดมีบอสโผล่ออกมา มุมกล้องเปลี่ยนมาซูมให้เห็นตัวบอสที่ยืนมอง P อยู่ มันเป็นภาษาทางภาพยนตร์ที่สื่อว่าเรากำลังจะเจอศัตรูที่ตึงมือ
หรือการเขียนสคริปต์บทให้ตัวละครที่ร่วมเดินทางกับเราชั่วคราวมีการออกแอ็กชันบางอย่างเมื่อเดินไปถึงจุดที่กำหนด ทั้งหมดนี้มันคือการวางบทเอาไว้แล้ว และมันให้อารมณ์ร่วมยิ่งกว่าการตัดเข้าฉากคัตซีน เพราะเรายังบังคับตัวละครได้ เราไม่ได้ถูกผลักออกจากโหมดเล่นเกมมาเป็นโหมดนั่งดูคัตซีน ความดื่มดด่ำ (Immersive) มันเลยชัดกว่า
ผมคิดว่าทีมงานตัดสินใจถูกแล้วที่จะเลือกนำเสนอในแนวทางนี้บ้าง เพราะเราไม่ได้บังคับตัวละครที่เป็นตัวแทนของผู้เล่นอย่างเต็มที่เหมือนพวกผู้มัวหมอง เราบังคับ P ที่ถูกกำหนดบทบาทมาระดับนึง มีตัวตนชัดเจน การเล่าเรื่องให้มันมีกลิ่นความเป็นภาพยนตร์บ้างก็ทำให้เรื่องราวดูมีชีวิตชีวามากขึ้น

ยากแต่ไม่แย่?
เกมนี้/ส่วนเสริมนี้ยากรึเปล่า? เป็นคำถามปักหมุดสำหรับเกมตระกูลโซลส์ตลอดมาและจะตลอดไป ความจริงต้องถามว่ายากมากหรือยากน้อย เพราะยังไงมันก็ยากอยู่แล้ว Lies of P เกมหลักผมถือว่าเป็นเกมที่มีความยากค่อนไปทางยากมาก โดยเฉพาะถ้าใครคิดจะเล่นเกมนี้แบบอาศัยการ Perfect Guard เหมือน Sekiro อย่างเดียว บวกกับการที่ศัตรูเกมนี้ตีแรงมาก บอสบางตัวที่ออกคอมโบจน Malenia จาก Elden Ring เห็นแล้วอยากเอาแขนเทียมไปชั่งกิโลขาย
ถ้าคุณคิดว่าเกมหลักมันโหดแล้ว Overture ข่าวดีและข่าวร้ายสำหรับใครหลายคนก็คือ มันยากได้ยิ่งกว่านั้นครับ ยากถึงขนาดที่ทางทีมพัฒนาต้องออกมาบอกว่าหนักมือไปหน่อย แล้วก็ทำการอัปเดตเพื่อปรับสมดุลแล้ว

ถึงจะเซ็งเล็กน้อยที่ผมเล่นยังไม่ทันจบก่อนเกมจะอัปเดต แต่ประสบการณ์ชั่วโมงแรก ๆ ของ Overture ก็คือเกมมีความยากที่แอบเลยเส้นไปนิดนึง พวกบอสน่ะไม่เท่าไรเพราะเตรียมใจกันมาแล้ว และหลายตัวเราก็สามารถเรียกเพื่อนมาช่วยได้ แต่การโดนหมาเหล็กข้างทางแทะสองสามทีตายคืออะไร (ยังไม่นับว่าผมมาเล่น DLC นี้ด้วยบิลด์หลังจบเกมมารอบนึง พลังชีวิตก็ไม่ใช่น้อย ๆ )
ที่สำคัญก็คือเกมยังใช้วิธีการให้ผู้เล่นค่อย ๆ เคลียร์พื้นที่แล้วเปิดทางลัด แต่ต้องบอกเลยว่ากว่าจะไปถึงจุดเปิดทางลัดแต่ละที่แทบร้องขอชีวิต หลายเส้นทางมีการวางศัตรูที่คล้ายมินิบอสเอาไว้ ทั้งอึด ถึก แรง จนหลายคนต้องขนอาวุธปากับเสบียงมาถลุงเกือบหมด

หลังจากอัปเดตครั้งใหญ่ เป็นช่วงที่ผมเข้าท้ายเกมพอดี รู้สึกได้เลยว่ามอนสเตอร์ตีเบาลงเยอะพอสมควร ถ้าเกมยังไม่อัปเดตแล้วมาฉากท้ายเกมขนาดนี้ต้องตายเป็นน้ำแล้ว แต่ก็ไม่ได้ง่ายขนาดจะการันตีว่ารอบเดียวผ่านทุกเส้นทาง เขาแค่ปรับให้ความยากมันไม่โดดจากเกมหลักเกินไป โดยเฉพาะถ้าคุณมาเล่นครั้งแรก
จุดแก้ไขที่ผมคิดว่าควรจะทำตั้งนานแล้วก็คือการเข้าเล่น DLC นี้ ตอนแรกเราจะต้องเล่นไปจนถึงเหตุการณ์ที่โรมแรม Krat โดนบุกโจมตี ซึ่งเป็นช่วงท้าย ๆ ของเกมหลัก คุณถึงจะสามารถใช้ไอเทมกับ Stargazer รุ่นพิเศษข้ามเวลาไปเล่น DLC ได้ แต่หลังจากมีอัปเดตใหม่ ถ้าคุณเล่นเกมหลักรอบที่ 2 คุณแค่เล่นไปจนถึงบทที่ 5 ก็เข้าเล่น Overture ได้เลย ส่วนนี้จะตัดความวุ่นวายที่ไม่จำเป็นออกไป เพราะก่อนอัปเดตมีคนจำนวนมากเล่นเกมจบไปรอบนึงแล้ว แต่จะต้องมาวนซ้ำในรอบ New Game+ ไปจนถึงบทที่ 9 ซึ่งใช้เวลานานมาก แม้ว่าคุณจะรู้เส้นทางและเคยสู้บอสมาหมดแล้ว

พอพูดถึงบอส ก็ขอเข้าเรื่อองนี้เลยแล้วกัน ผมเล่น Overture แบบโซโล่ตลอด และในฐานะแฟนเกม Souls ผมบอกได้เลยว่าบอสเกือบทุกตัวในส่วนเสริมนี้ยากสะใจ ยากฝ่าไฟแดง โดยเฉพาะบอสตัวสุดท้ายที่สมศักดิ์ศรีจริง ๆ ถึงแบบนั้นผมก็สนุกในการสู้แล้วก็ตายซ้ำไปมามาก
เพราะอะไร?
เพราะทุกครั้งที่ตายผมจะมีความรู้สึกว่ากูพลาดเอง จังหวะนี้ช้าไป จังหวะนั้นโลภไป และนี่คือศิลปะในการออกแบบบอสไฟต์ที่ละเอียดอ่อนในเกมตระกูลนี้ มันต้องทำให้ผู้เล่นรู้สึกว่าความผิดเกิดจากตัวเองและสามารถแก้ไขให้ดีขึ้นได้ในรอบต่อ ๆ ไป มันคือการคิดคอมแบตพัสเซิลที่ทำให้ผู้เล่นเข้าใกล้ชัยชนะไปทีละน้อย และโชคดีมากที่ใน Overture ไม่มีบอสสันดานเสียอย่าง Promised Consort Radhn ที่ใส่ความยากเทียมเข้าไปเยอะจนโดนปรับอย่างหนักในตอนหลัง

ของดีที่มีให้เก็บ
Overture ยังมาพร้อมอาวุธใหม่ ๆ มากมาย หลายอย่างก็เปลี่ยนรูปแบบการเล่นไปเล่นอย่างธนู Royal Horn Bow อาวุธที่ได้จากการแลก Ergo ของบอสอย่างกรงเล็บ Death’s Talons ก็มีท่าต่อคอมโบรวดเร็วรุนแรง ไปจนถึงอาวุธระดับโชว์พลังเวอร์ ๆ เหมือนหลุดมาจากอนิเมะ Monad’s Rose Sword ที่เราได้เห็นพิษสงของมันในตัวอย่าง
ส่วนจะใช้ได้ดีแค่ไหน ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจและฝีมือ ส่วนตัวผมใช้ Death’s Talons ก็จะรู้สึกลำบากในทางแคปเพราะมันมีการโจมตีค่อนข้างกว้าง แต่ถ้าใช้สู้กับบอสในที่โล่งก็ถือว่ามันใช้ได้
ของดีอีกอย่างคืองานดนตรีครับ ถ้าคุณชอบเก็บแผ่นเสียงมาเปิดในตัวเกมหลัก Overture ก็ยังมีงานดนตรีระดับหูเคลือบทองเหมือนเดิม เหมือนทีมงานเขามีความใส่ใจด้านนี้มาก ผมเก็บแผ่นเสียงไหนมาเปิดฟังมันก็เพราะทุกเพลง ถ้าคุณติดใจงานดนตรีของ Expedition 33 แต่อยากจะลองฟังจากเกมอื่นบ้าง ผมแนะนำ Overture สำหรับปีนี้อีกเกม

บทสรุปแห่งโหมโรง
Neowiz เป็นอีกค่ายสัญชาติเกาหลีใต้ที่พิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งว่าพวกเขาคืออีกหนึ่งผู้เล่นตัวจริงบนสนามของเกม AAA ใน Overture คุณจะได้สัมผัสกับโลกของ Lies of P ที่ขยายทั้งความกว้างใหญ่และลงลึกถึงลอร์ที่มาต่าง ๆ เกมไม่ได้ใช้แค่เอกสารในการเล่าเรื่องราว แต่ยังทุ่มเต็มที่ให้กับงานออกแบบฉากและองค์ประกอบอย่างการเล่นมุมกล้องที่ดูเป็นภาพยนตร์ในบางจังหวะ
จุดที่ต้องติก็คือระกับความยากของบรรดาศัตรูรายทางที่โหดเหี้ยมเหลือเกินทั้งการโจมตีและความดุ รวมถึงการเข้าเล่น DLC นี้ที่อาศัยความพยายามพอตัว แต่ในตอนที่รีวิวนี้ปล่อยออกมา เกมก็มีการอัปเดตจนหลายอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว ทั้งการเข้าเล่น DLC การปรับจูนความยากของศัตรูตามฉาก
ถ้าให้พูดแบบสรุป นี่เป็น DLC ที่คุ้มค่าการรอคอยของแฟน ๆ น้อง P นอกจากมีลักษณะครบสมบูรณ์ในตัวมันเองแล้ว มันก็ยังขยายเรื่องราวของมันไปถึงตัวเกมหลัก เชื้อเชิญให้อยากไปเล่นจนจบอีกรอบ ถ้าคุณเล่นตัวเกมหลักจบและรู้สึกว่าโดนเส้น ก็ไม่มีเหตุผลที่จะพลาด DLC นี้

อ่านจบแล้วครับ รีวิวดีมากครับ