*รีวิวนี้เล่นบน PlayStation 5
**ขอขอบคุณ Sony Interactive Entertainment สำหรับโค้ดรีวิวมา ณ โอกาสนี้ครับ
Lost Soul Aside นี้ เป็นเกมที่เรียกได้ว่าตอนเปิดตัวในปี 2016 บนช่อง YouTube ของผู้สร้างชื่อ Yang Bing นั้นก็สร้างเสียงฮือฮาเป็นอย่างมากเลยก็ว่าได้ ด้วยคอนเซปต์ของเกมที่ดูโฉบเฉี่ยว สวยงาม แอ็กชันรวดเร็วฉับไว ก็เลยทำให้หลายคนตั้งตารอ แต่เกมก็ไม่ได้มีอัปเดตมากนักตลอดช่วงที่ผ่านมา ผู้คนก็แทบจะลืมชื่อของเกมนี้ไปแล้วด้วยซ้ำ แต่ในที่สุดเกมก็ได้วางจำหน่ายในปี 2025 นี้นี่เองครับ ส่วนจะเป็นอย่างไรนั้นผมจะมาเล่าให้ฟังกัน
เนื้อเรื่อง
Lost Soul Aside บอกเล่าเรื่องราวในโลกแฟนตาซีที่ซึ่งตัวเอก Kaser และน้องสาว Louisa เป็นสมาชิกขององค์กร GLIMMER ซึ่งต่อต้านการปกครองของจักรวรรดิ และในระหว่างปฏิบัติภารกิจเพื่อปลุกให้ผู้คนลุกฮือขึ้นมาต่อต้านการกดขี่นั้น ได้เกิดเหตุการณ์ที่เหล่า Voidrax ซึ่งเป็นตัวตนอันลึกลับได้ปรากฏตัวเข้ารุกรานโจมตีเมืองแบบไม่เลือกหน้า และดูดกลืนวิญญาณของผู้คนไปมากมาย ในระหว่างความวุ่นวายนี้เองที่ Kaser พลัดหลงกับ Louisa และได้พบกับ Voidrax รูปร่างมังกรชื่อ Arena ที่ถูกจองจำอยู่ใต้เมือง ทั้งสองจึงร่วมมือกันและต้องเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้เพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติจากเหล่า Voidrax ที่อาละวาด
ถ้าจะให้พูดเกี่ยวกับเรื่องราวของเกมนั้น ผมคิดว่ามันก็เป็นเนื้อหาในสไตล์การผจญภัยตามขนบที่พบเห็นได้ในหลายเรื่องหลายเกมครับ ตัวเอกที่เป็นสามัญชนลุกขึ้นมาต่อต้านการกดขี่ แต่เหตุการณ์นำพาให้ต้องเข้าไปพัวพันกับสิ่งที่ใหญ่โตเกินคาดคิดเอาไว้ แล้วก็กลายมาเป็นวีรบุรุษของผู้คน ฯลฯ ซึ่งอันที่จริงมันก็พอจะให้ความบันเทิงได้อยู่ แค่ว่าเกมไม่ได้มีจุดพลิกผันชวนช็อกอะไร และเกมจะเดินเรื่องไปแบบเรื่อย ๆ เรียบ ๆ ครับ
ผมคิดว่าจุดด้อยในแง่เนื้อหาที่เห็นได้ค่อนข้างชัดเจนคือบรรดาตัวละครสมทบที่ดูจะไม่ค่อยมีบทบาทมากนักทั้งที่คาแรคเตอร์แต่ละคนดูน่าจะสามารถต่อยอดได้อยู่ ภูมิหลังของแต่ละคนที่ปูเอาไว้ในเกมก็ไม่ได้มีการขยายเนื้อหา ไม่ได้มีการกล่าวเสริมต่อ ซึ่งเป็นอะไรที่น่าเสียดายมากเหมือนกัน
ผมได้มีโอกาสย้อนกลับไปดูตัวอย่างแรกสุดของเกมในปี 2016 อยู่ แล้วก็พบว่าเนื้อหาและเรื่องราวมันค่อนข้างต่างจากคอนเซปต์แรกสุดไปพอสมควรเหมือนกัน ไม่แน่ใจว่าในระหว่างการพัฒนานั้นมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอะไรไปจากเดิมเยอะแค่ไหน แต่หลาย ๆ จุดของเนื้อหามันก็ชวนให้แอบคิดได้เหมือนกันว่ามีการแก้บทค่อนข้างเยอะ เพราะมันมีหลายจุดที่ปูมาเหมือนจะสำคัญแต่ก็ไม่ถูกกล่าวถึงอีก หรือพวกฉากแสดงความผูกพันระหว่างตัวละครที่ใส่มาแต่ก็ดันไม่มีการสานต่ออะไรแบบนั้น
สิ่งหนึ่งที่ค่อนข้างชัดเจนในแง่เนื้อหาก็คือตัวเกมได้แรงบันดาลใจมาจากหลายที่ครับ องค์ประกอบของเรื่องราวก็เลยจะมีลักษณะเหมือนเป็นการหยิบเอาหลายสิ่งหลายอย่างมาผสม ๆ กัน โดยเฉพาะไฟนอลแฟนตาซีที่ผมเชื่อว่าถ้าใครเล่นมาก็น่าจะต้องร้องอ๋อในหลายจุด ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แม้ว่าเนื้อหาโดยรวมของเกมจะไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่แต่มันก็พอจะให้ความบันเทิงได้อยู่ตั้งแต่ต้นจนจบระดับหนึ่งครับ แค่ว่าน่าเสียดายที่พอเกมมันหยิบเอาอะไรจากหลายเกมมา มันเลยดูเหมือนเป็นงานก็อปแทนที่จะเป็นงานออริจินัลน่ะครับ
เกมเพลย์
ระบบต่อสู้
สำหรับระบบการเล่นของ Lost Soul Aside นี้ต้องเรียกว่าแก่นของเกมก็คือ hack and slash ครับ เกมเป็นแอ็กชันที่โฉบเฉี่ยว ว่องไว และเอฟเฟกต์ในตอนสู้นั้นตระการตามาก แสงสีฟุ้งไปทั่วฉาก โดยที่ทั้งเกมตัวคุณจะมีอาวุธให้เลือกสลับไปมาได้ 4 ประเภท คือดาบ ดาบใหญ่ ดาบสองปลาย และเคียวยักษ์ โดยที่ท่าการโจมตีและประโยชน์ใช้สอยก็จะต่างกันไป
เกมนี้จะมีปุ่มโจมตีปกติกับปุ่มโจมตีพิเศษที่จะให้ผลต่างกันไปตามแต่ละอาวุธที่ใช้ และคุณสามารถใช้พลังของ Arena ได้ด้วยการกดปุ่ม L2 ค้างไว้แล้วเลือกใช้ท่าโดยกดปุ่มตามที่เซ็ตมาโดยที่เกมนี้จะไม่มีเกจ MP ครับ แต่เกจการใช้พลังของ Arena จะเพิ่มตามแดเมจที่คุณโจมตีศัตรู ดังนั้นจะวิ่งหนีไปมาเพื่อรอคูลดาวน์ไม่ได้ เกมจะบีบให้คุณต้องเข้าประชิดเพื่อสู้เสมอ
ผมว่าความแปลกอย่างหนึ่งก็คือเกมนี้ดันเลือกใส่เกจ Stamina เข้ามาด้วย ซึ่งการแดชหลบหรือการป้องกัน รวมถึงแอ็กชันโจมตีพิเศษบางอย่างก็จะใช้เกจนี้ บางครั้งมันเลยทำให้เกมดูแอบครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไปหน่อยเหมือนกัน คือจะเป็นแอ็กชันรวดเร็วแต่ก็ต้องมาบริหาร stamina คล้ายเกมโซลส์นิดหน่อย ซึ่งที่ผมเล่นมาคิดว่าเกจ stamina นี่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้เป็นปัญหามากนักเพราะเกจมันฟื้นเร็ว แต่ที่ใส่มาเพราะคงไม่อยากให้คนเล่นกดสแปมปุ่มแดชหลบนั่นล่ะครับ
พื้นฐานในการต่อสู้ของเกมนั้นคุณจะต้องโจมตีต่อเนื่องและผสานท่าต่าง ๆ ของอาวุธตามสถานการณ์ หากแดชถูกจังหวะก็จะเป็นการหลบสมบูรณ์แบบที่ไม่เสียเกจ และท่าโจมตีศัตรูที่มีวงกลมสีฟ้าขึ้นหากคุณป้องกันถูกจังหวะก็จะทำให้ศัตรูเสียจังหวะ และเมื่อโจมตีจนเกจ posture ของศัตรูหมดลงมันก็จะมึนงงเปิดโอกาสให้คุณซัดชุดใหญ่ได้ หากเป็นศัตรูรูปร่างคนนั้น คุณก็สามารถงัดพวกมันลอยแล้วตามไปโจมตีต่อเนื่องได้ด้วย หากคุณสลับอาวุธคล่อง ๆ ก็จะสามารถเล่นงานมันจนหมดหลอดได้เลยเหมือนกัน
มาถึงตรงนี้แล้ว หลายคนน่าจะคิดว่ามันฟังดูเหมือนขยำระบบหลาย ๆ เกมมารวมกัน คุณเข้าใจถูกแล้วครับ เกมนี้ใส่ระบบหลายอย่างของหลายเกมเข้าไว้ด้วยกัน แต่เกมที่ดูจะเป็นต้นแบบและแกนหลักเลยก็คงไม่พ้น Final Fantasy XVI นี่ล่ะครับแต่ผสานความรวดเร็วในแบบ Devil May Cry เข้าไปแถมด้วยมุกที่บอสสาดกระสุนเต็มจอแบบ Nier จนออกมาเป็น Lost Soul Aside
ในแง่การต่อสู้นั้น ส่วนตัวผมคิดว่าระบบการเล่นสนุกใช้ได้นะครับ เกมมันลื่นไหลต่อเนื่องและสามารถผสมสกิลเพื่อรับมือศัตรูได้หลากหลายพอควร และพวกบอสก็มีการโจมตีที่ค่อนข้างหลากหลายใช้ได้สู้สนุกอยู่ แค่ว่าจุดที่ผมแอบรำคาญก็คงไม่พ้นพวกท่าโจมตีเป็นแอเรียของพวกมันที่หลายครั้งมันทำให้มองเห็นอะไรได้ยากอยู่ ยังไม่นับว่าช่วงหลัง ๆ นี่บอสหลายตัวแอบถึกเกินความจำเป็น แถมบางทียังมีกิมมิคประเภทที่ถ้าเราทำบางอย่างไม่ทันก็โอเวอร์เลยทันทีอีกด้วยนะ
ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมคิดว่าปัญหาอย่างหนึ่งของเกมนี้ก็คือตอนต่อสู้นี่มันไม่มีอิมแพกต์ครับ เวลาเราฟันหรือโจมตีศัตรูนี่ไม่ได้รับรู้ถึงความหนักและความแรงเลย แม้แต่ศัตรูที่โดนดาบหวดเต็ม ๆ ก็ไม่ออกอาการบาดเจ็บ ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองกันอย่างที่ควรจะเป็น เหมือนเอาแท่งฟองน้ำมาฟาดกันแทนที่จะเป็นดาบเหล็ก มันเลยทำให้แม้เอฟเฟกต์จะฉูดฉาดแต่มันดันขาดพลังไปเลย
ระบบพัฒนาตัวละคร
สำหรับระบบพัฒนาตัวละครของเกมนี้จะเน้นที่การเก็บแต้มสกิลแล้วใช้มาอัปท่าโจมตีหรืออัปค่าสถานะของตัว Kaser เองซึ่งก็จะผูกอยู่กับประเภทของอาวุธครับ ดังนั้นสายสกิลของเกมก็จะมีทั้งหมดสี่สายนั่นคือดาบ ดาบใหญ่ ดาบสองปลายและเคียวยักษ์ ซึ่งของอย่างเช่นจำนวนโพชันที่พกได้เพิ่มขึ้น เพิ่มช่องใส่ของประดับ หรือช่องใส่พลังพิเศษของ Arena เพิ่มขึ้น แม้กระทั่งการเพิ่มค่าพลังโจมตีก็จะอยู่กระจัดกระจายกันไปตามแต่ละสายนั่นล่ะครับ ถ้าอยากจะได้อะไรครบ ๆ ก็ต้องไปอัปให้หมดตามธรรมเนียม
สิ่งที่จะมาช่วยให้ผู้เล่นได้ปรับแต่งค่าสถานะเพิ่มเติมนอกจากสกิลก็ไม่พ้นการเลือกอาวุธที่จะใช้ รวมถึงการติดพาร์ตเสริมให้กับอาวุธของคุณ ซึ่งแต่ละพาร์ตก็จะให้ค่าพลังที่ต่างกัน แต่จุดเด่นของเกมนี้คือคุณเลือกได้ว่าจะเอาพาร์ตไหนไปแปะตรงไหนของอาวุธครับ ดังนั้นคุณจะครีเอตสร้างดาบที่หรูดูแพงของคุณเอง หรือจะทำดาบที่ดูตลกบ้าบอแบบไหนก็สุดแท้แต่คุณเลย
ถ้าจะพูดไปแล้ว ผมคิดว่าระบบพัฒนาตัวละครเกมนี้มันมีความ RPG แบบบาง ๆ ที่ไม่ค่อยเอื้อให้ปรับแต่งอะไรมากนักเพราะตัวเกมก็ยังคงเป็น hack and slash อยู่ดีครับ
การสำรวจ
ตัวเกม Lost Soul Aside ถูกออกแบบมาในลักษณะที่เป็นเส้นตรงทั้งเกมครับ เส้นทางที่จะต้องไปต่อนั้นค่อนข้างเห็นได้ชัดเจนและอาจจะมีบางจุดบางตอนที่คุณจะได้ลองวิ่งหาไอเท็ม หาอะไรที่ซ่อนอยู่บ้าง แต่รูปแบบหลักของเกมก็ยังคงเน้นการผ่านแบบฉากต่อฉากอยู่ดี แทบไม่มีอะไรให้คุณต้องไปวิ่งหานู่นเอานี่มาใช้ หรือประเภทที่ว่าจุดนี้คุณยังผ่านไม่ได้เพราะขาดไอเท็ม หรือขาดสกิลที่จำเป็นแล้วต้องกลับมาทีหลังอะไรทำนองนั้น เพราะเมื่อคุณผ่าน Chapter ไหนไปก็ย้อนกลับฉากเก่าไม่ได้แล้ว เว้นแต่จะจบไปก่อนหนึ่งรอบ
ทั้งนี้องค์ประกอบหนึ่งที่ผมคิดว่าเกมทำออกมาได้ยังไม่ดี ก็คงไม่พ้นพวกการออกแบบแพลตฟอร์มิงต่าง ๆ ครับ ตลอดทั้งเกมคุณจะเจอหลายจุดในทุกฉากที่คุณจะต้องกระโดด ต้องแดช ต้องห้อยโหนข้ามสิ่งกีดขวางเพื่อไปต่อ เพียงแค่ว่าระบบกระโดดของเกมนี้มันกะเกณฑ์ค่อนข้างยาก บางทีก็เดาไม่ได้ว่าจะโดดเลยหรือโดดไม่ถึง ดังนั้นโมเมนต์ประเภทตกเหวแล้วต้องโดดใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่านี่เจอกันทุกคนแน่นอน
ความน่าเสียดายประการหนึ่งก็คือเกมนี้แทบไม่มีเมือง ไม่มีชุมชนอะไรให้ไปเดินเล่นดูชีวิตผู้คนในเมืองเลยครับ สิ่งที่เรียกเป็นเมืองได้ก็มีแค่เมืองท่าต้นเกมที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นฮับหลังจบแต่ละฉากแล้วก็ไม่มีอะไรให้ค้นหา สถานที่อื่นแม้จะมี NPC แต่ก็ไม่ได้มีอะไรให้คุยหรือสำรวจ ยิ่งถ้าอยากได้พวกไซด์เควสต์เอยอะไรเอยพวกนั้น เกมนี้ไม่มีเลยครับ มีแค่วิ่งตรงไปยังจุดหมายหลักเพียว ๆ ตลอดทั้งเกม
อีกอย่างหนึ่งก็คือเกมนี้ชอบใส่พวกฉาก set piece เข้ามาเยอะมากครับ พวกประเภทต้องวิ่ง ต้องสไลด์ ไปตามทางพร้อมกับหลบหลีกสิ่งกีดขวางนี่พบได้ทุก chapter เลย ไม่รู้จะใส่มาทำไมเยอะแยะเหมือนกัน
กราฟิกและการนำเสนอ
ในส่วนของกราฟิก ผมคิดว่าพวกโมเดลตัวละครมันก็ออกมาดูโอเคระดับหนึ่งแต่คุณภาพก็ยังไม่ได้สูงมากถ้าเทียบกับหลายเกมในท้องตลาด พวกวัตถุประกอบฉากบางจุดยังมีเท็กซ์เจอร์เบลอให้เห็นอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นผมคิดว่างานออกแบบศิลป์ของแต่ละสถานที่ในแต่ละฉากก็ทำออกมาดูดีอยู่เหมือนกัน ติดแค่ว่ามันไปวิ่งสำรวจไม่ได้เลยนี่ล่ะครับ
เอฟเฟกต์ของเกมนี่ไม่ต้องพูดถึง เวลาเราหรือศัตรูใช้ท่ากันแต่ละทีนี่ฉูดฉาดละลานตามาก จนบางครั้งแอบทำให้สู้ยากเพราะตาลายเหมือนกัน แต่ถ้าคุณชอบแอ็กชันที่ตัวละครพุ่งกันไปมาทิ้งเงาเป็นว่าเล่นก็น่าจะชอบเอฟเฟกต์ของ Lost Soul Aside ครับ
เอาล่ะมาว่ากันถึงจุดที่ยังต้องปรับปรุงกันบ้าง สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตได้ก็คือเกมนี้น่าจะไม่มีการใช้โมชันแคปเจอร์จับสีหน้าท่าทางตัวละครครับ คิดว่าทีมงานน่าจะใช้วิธีปรับท่ากันด้วยมือล้วน ๆ ดังนั้นพวกฉากคัตซีนตัวละครเลยจะเคลื่อนไหวกันแข็ง ๆ เน้นยืนนิ่ง ๆ คุยกันหน้านิ่ง ๆ เวลาตัวละครสัมผัสกับวัตถุอะไรต่าง ๆ เช่นพวกคันโยกนี่มือจะลอยชัดเจนเลย แม้แต่ฉากตอน Kaser ขับเรือก็เป็นการขับโดยมือไม่จับพังงาเรือเลยครับ แบบเรือแล่นออกไปโดยที่ Kaser ยืนเก๊กนิ่ง ๆ ซะอย่างนั้น
งานเสียงของเกม
ในส่วนของเสียงพากย์ ผมคิดว่าอยู่ในระดับที่พอผ่านครับ เสียง Kaser นี่แอบคิดว่าเข้มเกินหน้าตาไปหน่อยแถมพวกซีนอารมณ์นี่ก็ฟังดูเหมือนคนติดเก๊กน่ะครับ (แต่หน้าตาก็เก๊กอะนะ) ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ส่วนตัวผมชอบเสียงพากย์ของ Arena อยู่ ยิ่งบทสนทนาระหว่างสองคนนี้ก็แอบกวนส้นและชวนให้หัวเราะหึ ๆ ได้หลายครั้งอยู่
อย่างไรก็ตาม ผมว่างานเสียงเอฟเฟกต์นี่คือจุดที่ต้องปรับปรุงเลย เสียงเอฟเฟกต์ตอนสู้นี่คือสิ่งหนึ่งที่ทำให้เกมมันไม่ทรงพลังครับ เวลาโจมตีศัตรูนี่เสียงเอฟเฟกต์มันดันเป็นเสียงแปะ ๆ ตลอดเวลาเลยทำให้อารมณ์ร่วมหายไปเยอะอยู่สวนทางกับเอฟเฟกต์บนหน้าจอมาก
สำหรับเพลงประกอบนั้น ก็อยู่ในระดับที่พอโอเคครับ แต่ทั้งเกมไม่ได้มีเพลงไหนที่ฟังแล้วติดหูสำหรับผมนะ ถึงอย่างนั้นเพลงตอนจบนี่ก็ถือว่าดีใช้ได้อยู่
สรุป
Lost Soul Aside นี่ผมคิดว่าเป็นเกมที่เล่นได้สนุกอยู่ จะเรียกว่าระบบต่อสู้นี่แบกเกมเลยก็ได้ ส่วนองค์ประกอบอื่น ๆ อยู่ในระดับที่ยังต้องปรับปรุงอีกพอสมควร ผมแนะนำว่าให้ลองโหลดเดโมมาเล่นแล้วตัดสินใจกันดูนะครับว่าชอบหรือไม่ชอบ เพราะถ้าคุณชอบระบบต่อสู้ก็จะเพลินไปกับมันได้ครับ แต่ผมว่าก็ค่อนข้างชัดเจนว่าเกมน่าจะประสบปัญหาระหว่างพัฒนามากอยู่เกมเลยยังดูขาด ๆ เกิน ๆ ไปมากเหมือนกัน สุดท้ายเลยกลายเป็นเหมือนว่าเกมนี้ทำวิญญาณตัวเองหล่นหายไปตอนไหนก็ไม่ทราบได้





















