รีวิว The Outer Worlds 2
* ขอขอบคุณโค้ด PS5 เพื่อการรีวิวจาก Xbox Game Studios มา ณ โอกาสนี้ครับ
ย้อนอ่านรีวิวภาคแรกได้ที่ – The Outer Worlds: Spacer’s Choice Edition [PS5] – รีวิว [REVIEW]
22 ชั่วโมงได้อะไรบ้าง? กับเกม โลกภายนอก ภาค 2 ก็ต้องบอกแบบนี้นะครับว่า เกมนี้มันไม่ใช่เกมยิงแหลก ไม่ใช่เลย แต่มันคือเกม CRPG ของแทร่ สไตล์ตะวันตก เล่นจนจบนึกว่าเล่นฟอลเอาต์นิวเวกัส ตอนใหม่ล่าสุดอยู่ซะอีก แหม่ มันเล่นเหมือนกันอย่างกับแกะ!
เล่นจนจบ…แล้วชอบมั้ย รู้สึกอย่างไร มาเลยครับ เข้ามาใกล้ ๆ ผมจะขอเล่าให้ฟัง
เนื้อเรื่อง
The Outer Worlds 2 ละทิ้งระบบดาว Halcyon (ฮัลซีออน) ของภาคแรก แล้วมาเริ่มกันใหม่ที่ Arcadia (อาร์เคเดีย) ซึ่งเป็นระบบดาวที่มีชุมชนโคโลนีของมนุษย์กระจายตัวกันอยู่บนดาวเคราะห์หลายดวง แตกต่างจากภาคแรกที่ทั้งเกมมีดาวหลักให้ไปได้แค่สองดวง แต่ภาคนี้มีเพื่มขึ้นหลายเท่า! (ขอไม่บอกว่ากี่ดวง เดี๋ยวพวกคุณเล่นแล้วนับจำนวนดาว เดี๋ยวรู้ว่าใกล้จบเกม จะเป็นการสปอยล์กันเสียเปล่า ๆ)
ทีนี้ ในหมู่ดาวดังกล่าว มีกลุ่มที่ทรงอิทธิพลอยู่ด้วยกัน 3 ฝ่าย ได้แก่ Auntie’s Choice หรือ ทางเลือกของอีป้า ซึ่งที่จริงมันคือการควบรวมของสองกองกำลังจากภาคแรกครับนั่นคือ Spacer’s Choice กับ Auntie Cleo’s เข้าด้วยกัน พวกนี้คือไฮเปอร์คอร์ปอเรต นายทุนสามานย์ที่เกาะกินสังคม
อีกกลุ่มคือ Protectorate ที่เป็นการปกครองแบบเผด็จการ เน้นเครื่องจักรและกำลังทหาร กลุ่มสุดท้ายคือ Order of the Ascendant ที่เป็นองค์กรศาสนาเชิงวิทยาศาสตร์ ซึ่งพยายามปกป้องอนาคตผ่านคณิตศาสตร์ขั้นสูง มุ่งแสวงหาทางแก้สมการแห่งจักรวาลไปพร้อมกับการกู่ร้อง “จงเชิดชูการทดสอบสมมติฐาน!”
ตอนเริ่มเรื่อง เกมจะเล่าว่า เราคือคอมมานเดอร์แห่งทีมเฉพาะกิจพิเศษ Earth Directorate Agent ที่ถูกส่งไปสืบสวนอาณานิคมในระบบ Arcadia ผู้เล่นสามารถกำหนดภูมิหลังและรูปแบบการเล่นของตนเองเพื่อกำหนดตัวตน พร้อมตัวเลือกสำหรับอดีต ซึ่งเปิดมาก็เจอทีเด็ดอย่างแรกของเกมนี้แล้ว เพราะแค่เลือกประวัติตัวเองนี่ก็เป็นตัวกำหนดเกมการเล่นที่เหลือทั้งหมดได้เลย
โดยภูมิหลังทั้งหมดมี 6 แบบ คือ อดีตนักโทษ นักพนัน ผู้รักษากฎหมาย ศาสตราจารย์ พวกนอกกฎหมาย และแรงงานไร้ฝีมือ ตัวผมเองเลือกไอ้อันสุดท้าย หรือก็คือ Roustabout ที่ออกแนว ทึ่ม ๆ ตามไรไม่ค่อยทัน หัวไม่ไว ซึ่งหลังจากนั้น ทุกบทสนทนาของผมตลอดทั้งเกมจะเต็มไปด้วย “ความฮา” โบ๊ะบ๊ะ แบบตลกเถิดเทิงนั่นเลยครับ!
เพราะพี่ไม่เคยเข้าใจสถานการณ์อะไรกับเขาเลย รู้แต่ว่าเขาบอกให้มาบุกก็บุกยิง ๆ 5555
สำหรับประเด็นเรื่อง “การเลือก” ทุกอย่างในเกมนี่แหละ มันคือหัวใจ คือแก่นแกน ทั้งหมดที่รวมกันก่อร่างเป็นเกม The Outer Worlds 2 โดยผมขอไปขยายความกันต่อในหัวข้อต่อไปครับ
เกมเพลย์ – จุดแข็งจุดอ่อน
หัวข้อนี้มีหลายประเด็นให้ตีแผ่ ขอเริ่มด้วยลักษณะของฉากในเกมนี้กันก่อน กล่าวคือ ตัวเกมจะเป็น RPG ขนาดใหญ่ แต่ไม่ใช่โอเพนเวิลด์ เขาใช้วิธีเอาแมปขนาดเล็ก ๆ มาต่อกัน เชื่อมกันผ่านการเดินทางด้วยยานอวกาศ ส่วนที่บอกว่าขนาดใหญ่ก็เพราะ มันมีหลายฉากยิบย่อยให้เดินทางเต็มไปหมดเลย เล่นแล้วแอบเหนื่อย
อย่างไรก็ตาม การออกแบบลักษณะนี้นำมาซึ่งข้อด้อยสำคัญในเกมนี้ นั่นคือ 1. เกมนี้ว่ายน้ำไม่ได้ วิ่งเฉี่ยวชายหาดยังตายอ่ะคุณ (เขาบอกว่าของเหลวนั้นเป็นสารพิษ) เข้าใจว่าทำมาเพื่อไม่ให้เราว่ายน้ำตัดเส้นทางเพื่อใช้เป็นทางลัด เพราะเกมนี้ฉากเล็กก็จริง แต่เขาจะเอาพวกแม่น้ำหรือภูเขานี่แหละ มาขวางไม่ให้คุณเดินเป็นเส้นตรงจากจุด A ไป B บางครั้งคุณต้องเลี้ยวอ้อมเป็นงูวนไปวนมาทั่วแมปอ่ะครับ กว่าจะเคลียร์ได้หนึ่งเควสต์
แต่เขายังใจดีนะ เพราะถ้าพื้นที่ไหนคุณไปแล้ว มันจะเปิดเป็นฟาสต์แทรเวลให้อัตโนมัติ แค่ครั้งแรกเท่านั้นแหละ ที่คุณต้องเดินไปเอง
2. การออกแบบฉากนอกอาคารในเกมนี้ยังไม่ “เนี้ยบ” พอครับ บั๊กเยอะอยู่ ทั้งเกมแครช, ติดฉากแล้วออกไม่ได้ต้องโหลดใหม่ ฯลฯ ผมเจอเยอะมาก แบบเยอะมากกว่าปกติ คิดว่าเขาต้องเร่งแก้ไขกันอีกเยอะเลยนะ ช่วงก่อนถึงวันวางจำหน่ายเนี่ย (ผู้รีวิวได้เล่นเกมก่อนวันขายครับ)
ประเด็นต่อมา คือเรื่องของ “ตัวเลือก” ที่มีมากมายในเกม …เรียกว่า แทบทุกย่างก้าวของคุณเลยดีกว่า ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องเลือกครับ แล้วผลของทางเลือกแต่ละอย่างแสบสันซ่านทรวง ถ้าเลือกผิดบางครั้งเล่นเอาผมเองนอนไม่หลับเลยก็มี เครียดกับความชิบหายของ NPC จากน้ำมือของตัวเอง
แต่ที่ถือว่าของดีของเด็ดคือระบบ perk ที่มีทั้งหมดราว 92 ประเภท! โคตรเยอะ โดยคุณต้องเลือกอัปสกิลเลเวลก่อน ให้ตัวเลขความสามารถด้านนั้นมากพอจะไปเลือก perk จากนั้นค่อยเอาแต้มไปเลือก perk หรือก็คือพรสววรค์พิเศษกับผู้เล่น เช่น ยิงทะลวงได้แบบไม่สนเกราะ, Psychopath ไอ้โรคจิตที่มาพร้อมสิทธิพิเศษสำหรับผู้เล่นที่เลือกที่จะฆ่า NPC ทุกตัวที่พบ แต่ก็จะได้โบนัสดาเมจเวลาเจอแฟคชันที่เป็นศัตรูกัน เป็นต้น
“เลือก” ต่อมาคือ ตัวเลือกในบทสนทนา และการเลือกที่จะทำเควสต์ในแบบต่าง ๆ จะลุยแต่เควสต์หลักอย่างเดียวเลยมั้ย, จะแคร์พวกเควสต์รองบ้างหรือไม่ หรือเวลาทำเควสต์เนื้อเรื่องยาว ๆ ที่มันจะมีทางแยกให้เลือกทำ คุณเลือกทางไหน ฯลฯ เหล่านี้ล้วนพาไปสู่ผลลัพท์แตกต่างกัน…”อย่างสิ้นเชิง”
มันไม่เหมือนเกมอื่น ๆ นะครับ ที่มีทางออกแบบประนีประนอม หรือเลือก ๆ ไปเหอะ สุดท้ายก็ให้ผลไม่ต่างกันมาก..อะไรแบบนั้นจะ “ไม่มีในเกมนี้” เพราะทุกทางแยก มันนำไปสู่ความเป็นความตายครับ ผมไม่ได้ขู่นะ นี่เรื่องจริง แล้วผลของมันอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของฉากโลกในเกม, ตัวละคร หรือเควสต์ที่เหลืออยู่ทั้งหมดเลยทีเดียว
ดังนั้นคิดให้ดีทุกครั้งก่อนตัดสินใจกันนะครับ…ถือว่าผมแจ้งแล้วนะ!
ประเด็นถัดมาคือบรรดามุกตลกในเกมที่บรรจุอยู่ในทุก ๆ การพูดคุยที่บอกเลยว่าเยอะมาก เยอะแบบ..นี่คือหนังตลกอ่ะคุณ แทบไม่มีตอนไหนไม่หยอดมุก ขนาดหน้าสิ่วหน้าขวาน จะตายห่านกันยกลำอยู่แล้ว ยังมีหน้าปล่อยมุกอ่ะแก หรือบรรดาชื่อของสถานที่ อาทิ ร้านนี้ชื่อ “รอตั้งชื่อช้อป” เนี่ย อะไรแบบเนี้ย
ความฮายังไม่จบแค่นั้น ไอเดียตลก ๆ ดังกล่าวของทีมพัฒนานำไปสู่การออกแบบระบบ flaws หรือก็คือ ข้อบกพร่อง ของผู้เล่นที่เกมมันจับได้ว่าทำอะไรซ้ำบ่อย ๆ ในเกม มันจะขึ้นตัวเลือกมาให้ที่หน้าจอ ยกตัวอย่างเช่น หากคุณไม่ค่อยชุบผู้ติดตามของคุณ เวลาพวกนั้นโดนยิงร่วง เกมโผล่มาเลยครับ “ไม่ค่อยช่วยเพื่อนเลยน้า เอางี้มั้ย ต่อไปนี้ถ้าเพื่อนของคุณล้ม คุณจะหมดสิทธิชุบเขาในการปะทะครั้งนั้นไปเลย แต่เพื่อนอีกคนจะได้พลังเพิ่มขึ้นเท่าตัว” คุณเลือกรับ flaws นี้ได้ถ้าคุณต้องการ
หรืออีกอัน อันนี้ผมเจอกับตัวเอง “เราพบว่าคุณกดรัว ๆ สกิปแทบทุกบทสนทนาเลยนี่หว่า เอางี้มั้ย ต่อไปนี้ คุณจะมีเวลาจำกัดในการเลือกตอบ ถ้าเวลาหมดเราจะเลือกให้คุณเอง แต่ตลอดเกม คุณจะได้ค่า EXP เพิ่มขึ้นจากกิจกรรมต่าง ๆ 15%”
เนี่ยครับ ไอ้ flaws นี่ก็เหมือน perk แบบคนมีปมด้อย มีตำหนิ อ่ะ เจ๋งดีใช่มั้ยล่ะ!
สำหรับประเด็นเรื่องผู้ติดตาม ในเกมมีทั้งหมด 6 ราย นั่นคือ เอเจนต์ Niles ลูกน้องดั้งเดิมของเรา, หุ่นยนต์ผู้ช่วย Val, มือสังหาร Marisol, อดีตสาวกลัทธิจอมกระหายเลือด Aza, อดีตแพทย์ทหาร Inez และ Tristan อดีตตุลาการแห่ง Protectorate โดยทั้งหมดนี้ บอกเลยว่าสร้างมาเพื่อเนื้อเรื่องครับ เพราะเนื้อเรื่องเควสต์ส่วนตัวของแต่ละคนเขียนบทมาดีมาก แต่ถ้าพูดถึงเรื่องช่วยสู้นั้น แทบไม่มีประโยชน์กันเลยครับ พลังโจมตีต่อให้อัปยังไงก็อ่อนด้อย สุดท้ายเป็นเรานั่นแหละที่ต้องสู้เองยิงเองทุกสถานการณ์
สองประเด็นสุดท้ายที่ผมมองว่าเป็นจุดอ่อนในส่วนของเกมเพลย์ก็คือ ไอเท็มตามพื้นต้องเล็งหยิบให้แม่น ซึ่งน่ารำคาญมาก ๆ กดหยิบมั่ว ๆ ไม่ได้เลย ทำให้คุณนอกจากต้องเล็งยิงศัตรูแล้วยังต้องมาเล็งหยิบของอีก เหนื่อยหน่ายสุด ๆ และอีกอันก็คือ เกมนี้จบแล้วจบเลย เล่นต่อไม่ได้นะ เพราะเรื่องราวมันจะขมวดปมจนจบหมด เราออกมาวิ่งเล่นในโลกเกมอีกไม่ได้แล้ว ดังนั้น ตอนที่เกมเตือนให้เซฟแยกก่อนจะเข้าสู่ฉากไฟนอลก็เซฟเกมแยกสลอตไว้ซะหน่อย เผื่อจะได้กลับไปเคลียร์เควสต์รองได้อยู่
การแสดงผล, ภาพ, เสียง, ระบบวิทยุ
ทางด้านบรรยากาศเชิงศิลป์ในเกมนี้ มันเหมือนส่วนผสมของเกมอย่างการ์เดียนออฟเดอะกาแล็กซี + Planescape tides of numenera และ Murderbot ซีรีส์ทางแอปเปิลทีวี เพราะภาพลักษณ์ใน The Outer Worlds 2 จะให้สีสันที่ฉูดฉาด เน้นเวอร์วังอลังการ (ไม่เน้นสมจริงแบบเกม Starfield) เพื่อให้เหมาะกับธีมที่เน้นความฮาเป็นที่ตั้ง ซึ่งผมก็มองว่าสไตล์มันเข้ากันดี
ในส่วนของมุมกล้อง เกมนี้เลือกปรับได้ 3 ระดับการมอง (แบบเดียวกับ Fallout 76 เป๊ะ ๆ) นั่นคือ มุมมองแรกเริ่มแบบ FPS, มุมมองข้ามไหล่แบบ mass effect และสุดท้ายคือแบบ TPS เห็นตัวละครเต็มตัว โดยใน PS5 เปลี่ยนลักษณะภาพดังกล่าวได้ด้วยการกดค้างที่แป้นทัชสกรีน
นอกจากนี้ สิ่งที่ผมชอบมากในภาคสองก็คือ ระบบวิทยุแบบใหม่ ที่ตอนคุณเล่นก็จะมีสถานีวิทยุต่าง ๆ กันไปและคุณสามารถเลือกฟังมุมมองที่แตกต่างกันของแต่ละกองกำลังได้ด้วย แถมโฆษณาชวนเชื่อของแต่ละฝ่ายก็อย่างขำอ่ะ เกมนี้สถานการ์ในเกมก็ว่าตลกแล้ว แถมวิทยุก็เล่าแต่เรื่องตลกให้ฟังอีก แหม เอาฮากันให้สุด ๆ ไปเลย
สรุป
สรุปแล้วก็คือ The Outer Worlds 2 มันคือเกมแบบภาคแรกที่ทุนเยอะขึ้น ละเอียดขึ้น และใหญ่โตขึ้นมาก…แบบมากกกก ทุกอย่างซับซ้อนวกวน นึกว่าจะจบ ๆ ก็ไม่จบ เล่นกันได้แบบยาว ๆ เกมนี้เล่นนานกว่าภาคแรกเยอะมากนะครับ ยิ่งถ้าคุณเป็นสายเก็บทุกเม็ด เคลียร์ทุกเควสต์ ผมว่าน่าจะเล่นได้ราว 40 ชั่วโมงเลยทีเดียว
ส่วนตัวเกม มันคือ RPG ตะวันตกแบบดั้งเดิมแท้ ๆ เลยครับ โดย “จังหวะ” ของเกมให้อารมณ์แบบ ฟอลเอาต์ หรือ The Elder Scrolls ยุคแรก ๆ เป็นอย่างมาก ระบบการยิงปืน การใช้อาวุธ Melee ผมมองว่าเป็นแค่องค์ประกอบอย่างหนึ่งในเกมเท่านั้น ไม่สำคัญเท่าเนื้อเรื่องและการมอบ “ตัวเลือก” ให้กับผู้เล่นในการกำหนดชะตาชีวิตของคุณเอง
ส่วนเรื่องจุดด้อยทั้งหลายในเกม ผมมองว่า มันก็เป็นตัวขวางไม่ให้เกมนี้ไปไกลระดับ 9 ระดับ 10 แค่นั้น แต่ The Outer Worlds 2 ก็ไม่ใช่เกมระดับต่อกว่า 7 ในสายตาผมนะ เพราะจุดแข็งเกมนี้มีดีพอตัว ทั้งบรรดามุกตลก, ทางเลือกที่มีความหมาย, องค์ประกอบด้านการพัฒนา Perk, การออกแบบงานศิลป์และขนาดของเกม ฯลฯ สรุปคะแนนจึงออกมาให้เห็นตามด้านล่างนี้ สวัสดีครับ
















