*รีวิวนี้เล่นบน PlayStation 5 ด้วยโหมด Performance
เดอะ คัลลิสโต โปรโตคอล (The Callisto Protocol) คือเกมแอ็กชันสยองขวัญไซไฟที่หลายคนตั้งความหวังเอาไว้ค่อนข้างสูง เพราะด้วยชื่อของผู้สร้างอย่างเกล็น สโคฟิลด์ (Glen Schofield) ที่เป็นผู้ร่วมให้กำเนิดซีรีส์สยองขวัญไซไฟในดวงใจหลาย ๆ คนอย่างเดดสเปซ (Dead Space) นี่เอง จึงทำให้ผู้คนจับตามองว่าเกมนี้อาจจะเป็นผู้สืบทอดของเดดสเปซก็เป็นได้ และในวันนี้ตัวเกมก็ได้วางจำหน่ายแล้ว ซึ่งผมที่ได้เล่นจนจบระดับ Maximum Security ไปนั้นก็จะมาบอกเล่าความรู้สึกให้ได้อ่านกันครับ
เนื้อเรื่อง
ในเกมนี้เราจะรับบทเป็นเจค็อบ ลี (Jacob Lee) ชายผู้ประกอบอาชีพในการขนส่งสินค้าให้กับยูไนเต็ด จูปิเตอร์ คอมปานี (Unitied Jupiter Company หรือ UJC) ร่วมกับคู่หูแม็กซ์ แบร์โรว์ (Max Barrow) ซึ่งในวันหนึ่งที่พวกเขาจะทำหน้าที่ขนส่งสินค้าไปยังเรือนจำแบล็กไอร์ออน (Black Iron Prison) ที่ตั้งอยู่บนคัลลิสโต (Callisto) อันเป็นดวงจันทร์บริวารของดาวพฤหัสบดี ยานของพวกเขาก็ถูกลักลอบขึ้นมาโดยกลุ่มเอาเตอร์เวย์ (Outer Way) ที่เป็นกลุ่มก่อการร้าย จนผลลัพธ์คือยานของเจค็อบและแม็กซ์ต้องตกลงมาบนพื้นผิวของคัลลิสโต และแม้ว่าเจค็อบจะรอดมาได้ แต่เขาก็ถูกควบคุมตัวไปเป็นนักโทษในเรือนจำโดยไร้การไต่สวน ซึ่งไม่นานหลังจากนั้นเขาก็พบว่าทั้งเรือนจำเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อโรคลึกลับที่ทำให้ผู้คนกลายเป็นอสุรกาย การดิ้นรนเอาชีวิตรอดของเขาจึงเริ่มขึ้น
ถ้าว่ากันด้วยเรื่องเซ็ตติ้งของเนื้อหาเพียว ๆ มันเป็นอะไรที่เราสามารถคาดเดาได้หรือไม่ก็เคยเห็นมาแล้วจากเรื่องอื่น ๆ นั่นล่ะครับ เรือนจำที่จับเอานักโทษมาทดลอง การค้นพบเชื้ออะไรบางอย่างอันเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง และกลุ่มก้อนองค์กรผู้อยู่เบื้องหลัง ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เป็นสูตรสำเร็จที่น่าจะคุ้นเคยกันดี แต่ว่ากันตามตรง ผมรู้สึกว่าเนื้อหาหลายช่วงมันยืดเกินจำเป็นเหมือนกัน กว่าจะเข้าเนื้อหาหลัก ๆ ได้ก็น่าจะประมาณกลางเกมไปแล้วนั่นล่ะครับ แถมยังจบแบบหวังทำภาคต่ออีกต่างหาก
อันที่จริง ผมคิดว่าถ้าโลกนี้ไม่เคยมีแฟรนไชส์ที่ชื่อเดดสเปซมาก่อน (ซึ่งก็เป็นเกมที่เกล็นร่วมสร้างอย่างที่บอกไป) เดอะ คัลลิสโต โปรโตคอลน่าจะเป็น IP ที่โดดเด่นของวงการได้อยู่ แต่เท่าที่เป็น ณ ตอนนี้ หลายองค์ประกอบในแง่ของเนื้อเรื่องนี่มันก็แทบจะทับซ้อนกับเดดสเปซภาคแรกเลยครับ มันเลยทำให้ตอนช่วงเปิดเผยเนื้อหาหลักมันรู้สึกไม่สดใหม่ไปอย่างน่าเสียดาย
เกมเพลย์
อย่างที่ผมเกริ่นไปก่อนหน้านี้ว่าหลายคนรวมถึงผมด้วยต่างก็คิดกันว่าเกมนี้จะเป็นผู้สืบทอดทางจิตวิญญาณของเดดสเปซ แต่พอได้เล่นจริงก็ได้ข้อสรุปว่ามันไม่ได้เหมือนเลย เพราะในขณะที่เดดสเปซเน้นการใช้อาวุธปืนต่าง ๆ นานายิงตัดแขนตัดขาของศัตรู เกมนี้จะเน้นการเข้าไปหวดระยะประชิดเยอะมาก น่าจะเรียกได้ว่า 90% ของเกมเลยก็ว่าได้ที่คุณจะต้องเข้าใกล้ระดับถึงเนื้อถึงตัวกับศัตรู แต่กระนั้นอาวุธปืนก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นอยู่ในบางสถานการณ์ครับ เพราะบางช่วงที่ศัตรูแห่กันมาทั้งหมู่บ้านนี่ให้เอาไม้กระบองหวดอย่างเดียวก็ไม่ค่อยจะไหวเพราะเจค็อบก็ไม่ได้เคลื่อนไหวคล่องตัวประหนึ่งเป็นเกมมุโซขนาดนั้น
ระบบเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของเกมนี้ก็คือการหลบ ซึ่งก็เป็นอะไรที่ชวนปวดหัวไม่เบาเหมือนกัน เพราะถ้าคุณเป็นคนที่เล่นเกมแอ็กชันมาเยอะ เล่นเกมที่ต้องอาศัยจังหวะอาศัยความเป๊ะบ่อย ๆ มาเล่นเกมนี้คุณจะต้องปรับตัวเยอะเอาเรื่องเลย นั่นเพราะแทนที่คุณจะมีปุ่มหลบเฉพาะ เกมนี้คุณต้องหลบโดยดันอนาล็อกค้างไว้ทางซ้ายหรือทางขวา แล้วเจค็อบจะหลบการโจมตีเองโดยอัตโนมัติ แล้วหากศัตรูฟาดต่อเนื่อง คุณก็ต้องกดหลบต่อเนื่องโดยดันอนาล็อกไปในทิศทางตรงข้ามสลับกันไป เช่น ซ้าย ขวา ซ้าย หรือไม่ก็ขวา ซ้าย ขวา นั่นล่ะครับ ผลก็คือจังหวะของเกมมันจะเป็นไปในลักษณะเหมือนเกมเทิร์นเบสกลาย ๆ ในแง่ที่ว่าคุณควรรอให้ศัตรูตบจนหมดชุดก่อน แล้วค่อยฟาดสวน ถ้าฟาดในตอนที่ศัตรูยังตีอยู่เราก็จะรับแดเมจไป
คือระบบที่ว่านี่อ่านแล้วมันก็เข้าท่าอยู่ล่ะครับ แต่พอเวลาเล่นจริงผมกลับพบว่ามีปัญหาค่อนข้างเยอะ นั่นก็เพราะระบบนี้เหมือนออกแบบมาสำหรับการสู้แบบ 1 ต่อ 1 กับศัตรู แต่ถ้าเจอกับศัตรูมากกว่า 1 ตัวเมื่อไรสถานการณ์มันจะค่อนข้างเละตุ้มเป๊ะทันที แถมเกมนี้มันก็ชอบใส่โมเมนต์แบบที่ศัตรูมาเพิ่มในจังหวะที่ไม่ได้คาดคิดด้วย หวด ๆ ตัวนึงอยู่อีกตัวก็แฮ่มา คือผมเข้าใจว่าทีมงานอาจต้องการสร้างความตึงเครียดของสถานการณ์ แต่มันไม่ได้ผลนักครับ เพราะมันได้แต่สร้างความหงุดหงิดรำคาญใจซะมากกว่า ยังไม่นับว่าเวลาคุณเจอมินิบอสหรือบอสใหญ่ของเกมนี่คุณต้องหลบรัว ๆ เลยด้วยนะ เพราะเกมนี้ออกแบบบอสมาให้ฟาดคุณทีเดียวตาย ไม่ว่าจะมีพลังชีวิตเหลือแค่ไหนก็ตาม (ที่สำคัญคือเอาไม้ฟาดบอสก็ไม่ได้ด้วย ต้องปืนยิงเท่านั้น)
อีกเรื่องหนึ่งก็คือจังหวะการเคลื่อนไหวของเจค็อบนั้นช้ามาก ช้าไปทุกอิริยาบถ วิ่งก็ช้าราวกับว่าตัวเองมีน้ำหนักสองร้อยกิโลกรัม (แต่พอโดนตบนี่ตัวยุ่ยง่ายเหมือนเป็นทิชชูเปียกน้ำ) เพราะงั้นการที่จะพยายามจะวิ่งทิ้งระยะเพื่อหาตำแหน่งได้เปรียบนี่เป็นไปได้ยากมาก ไม่ว่าคุณจะวิ่งยังไงศัตรูก็ตามทันตลอด มันเลยเหมือนว่าเกมบังคับให้คุณต้องประชิดศัตรูตลอดเวลาไม่สามารถทิ้งระยะเพื่อพักหายใจได้ และแน่นอนว่าหลายครั้งที่พอเรายิงศัตรูเสียจังหวะก็อยากจะวิ่งประชิดเพื่อไปฟาดซ้ำ แต่กลายเป็นว่าฟาดไม่ทันเพราะเจค็อบดันวิ่งไม่ออกอีกด้วยครับ
ไอ้ความช้าที่ว่านี่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การวิ่งหรือการโจมตี แต่ยังรวมถึงองค์ประกอบอื่น ๆ แวดล้อมด้วย การจะเปลี่ยนปืนทีเจค็อบก็ต้องถอดโครงปืนเก่าแล้วใส่โครงใหม่ การจะเติมพลังทีก็ต้องนั่งย่อแล้วหยิบเข็มฉีดยาออกมาปักคอในทุกครั้ง แน่นอนว่าถ้าจังหวะพัวพันนี่คุณไม่มีทางเติมพลังได้เลยเพราะศัตรูมันไม่รอให้เราเติมครับ ของเติมพลังจึงมีประโยชน์แค่ช่วงที่คุณไม่เจอศัตรูแค่นั้นเอง ต่างกับเดดสเปซหรือเกมอื่น ๆ ในแนวเดียวกันที่คุณสามารถกดใช้ได้ทันทีเพื่อเอาตัวรอดในจังหวะคับขันได้
ระบบการเล่นอื่น ๆ อย่างกริป (GRP) ที่สามารถจับสิ่งของในระยะไกลได้ มันก็คือระบบเดียวกับคิเนซิส (Kinesis) ในเดดสเปซเลยนั่นล่ะครับ ถ้าจะมีอะไรที่ต่างหน่อยก็ตรงที่ว่าเกมนี้สามารถจับศัตรูที่ยังไม่ตายได้เลย แล้วเอาไปโยนใส่พวก environmental hazard ได้เพื่อกำจัดมันอย่างรวดเร็ว แต่การใช้งานมันก็ค่อนข้างจำกัดจำเขี่ยไปอีก เพราะคุณใช้ได้แค่ไม่กี่ครั้งแบตก็จะหมดอย่างไว เว้นแต่จะไปอัปเกรด (ซึ่งก็เอาเงินไปอัปเกรดปืนหรือไม้กระบองจะดีกว่า)
โดยรวมในแง่เกมเพลย์นี่ผมรู้สึกว่าทีมงานตัดสินใจกันไม่ได้ว่าตัวเกมอยากจะเน้นอะไรครับ อยากจะเน้นระบบ melee ต่อสู้ประชิดแต่การเคลื่อนไหวก็เชื่องช้างึก ๆ งัก ๆ ไม่คล่องตัว แถมยังมีจังหวะที่เจอศัตรูมาเป็นตำบลบ่อย ๆ แต่พอพูดถึงระบบยิงปืนก็ติด ๆ ขัด ๆ อีก ด้วยจำนวนกระสุนที่ให้มาน้อย แถมการสลับปืนก็วุ่นวายเพราะเจค็อบจะต้องถอดโครงปืนเก่าแล้วสลับโครงปืนใหม่ ไม่สามารถที่จะหยิบมาใช้ยิงได้เลย คือการจะเปลี่ยนปืนทีต้องบวกเวลาที่เจค็อบทำพิธีกรรมพวกนี้ก่อนจะหยิบมายิงได้ครับ และระหว่างนั้นหน้าคุณอาจจะแหกเพราะโดนมือลูบผ่านอย่างนิ่มนวลไปก่อนแล้ว
อ้อ อีกจุดหนึ่งที่ทำออกมาได้แย่มาก ๆ คือระบบเช็กพอยต์ครับ ด้วยความที่เกมนี้ไม่มีแผนที่ และเดินเรื่องค่อนข้างเป็นเส้นตรง แต่ว่าระหว่างทางก็จะมีทางแยกให้ไปเดินเก็บของบ้าง ทีนี้สมมติว่าคุณเดินไปจุดที่น่าจะเป็นทางผ่านจนเกมออโต้เซฟแล้ว คุณอยากย้อนไปยังจุดที่เดินเลยมาเพื่อเก็บของ เมื่อคุณเก็บเสร็จแล้วไปทำเนื้อเรื่องต่อแล้วดันพลาดตายขึ้นมา เกมจะมาเริ่มตรงเช็กพอยต์แรกของคุณ แปลว่าไอ้ที่คุณเก็บมานั่นคุณต้องไปวิ่งเก็บใหม่ครับ ถ้าดันพลาดอีก ก็ไปวิ่งเก็บอีกรอบนึง ยิ่งถ้าคุณเล่นระดับความยากสูงล่ะก็คุณจะเจอจังหวะน่าปวดหัวแบบนี้บ่อย ๆ ทั้งเกมเลย
กราฟิกและการนำเสนอ
ในส่วนของกราฟิกนั้น ต้องชมก่อนเลยว่าทำออกมาดีและสวยงามเลยล่ะครับ ทั้งบรรยากาศเอยอะไรเอยดูเหมาะสมกับสิ่งที่เกมต้องการจะเป็น ทั้งความเลอะเทอะเหนอะหนะ และความแหยะของสสารต่าง ๆ ที่มันปกคลุมสถานที่ ยิ่งพวกความแหวะและความรุนแรงต่าง ๆ ที่โปรโมตมาตลอดก่อนเกมออกก็ถือว่าทำได้สมราคาคุย ยิ่งพวกฉากตายของตัวละครที่เราเล่นอย่างเจค็อบนี่คือหลายครั้งทำเอาผมสงสัยเหมือนกันว่าทีมสร้างมีสวัสดิการไปพบจิตแพทย์กันบ้างรึเปล่า เพราะดูจะเน้นเป็นพิเศษเหลือเกิน
อย่างไรก็ตาม แม้จะทำมู้ดออกมาดีแค่ไหน หรือพยายามจะสร้างบรรยากาศยังไง ผมก็ไม่รู้สึกว่าเกมนี้มันน่ากลัวเลยครับ ตลอดทั้งเกมนี่เต็มไปด้วยจัมป์สแกร์ตุ้งแช่ ซึ่งหลายรอบมันไม่ได้ทำให้สะดุ้งหรืออะไรเลยนะ แต่ทำให้รู้สึกว่า “อีกแล้วเหรอวะ” แค่นั้นจริง ๆ กระทั่งฉากคัตซีนตุ้งแช่ก็ทำได้ไม่ถึงขั้นครับ พอทั้งเกมเจออะไรแบบนี้บ่อยครั้งมันเลยเป็นความน่ารำคาญเข้ามาแทน ยิ่งฉากที่บังคับให้ต้องลอบเร้นนี่คือผมเข้าใจจุดประสงค์ของทีมงานอยู่ล่ะ ว่าต้องการสร้างความตึงเครียดในการเล่น แต่สำหรับผมแล้วช่วงนั้นเป็นช่วงที่อืดอาดที่สุดแล้วในเกมเพราะทุกอย่างมันช้ามาก จากเดิมที่ช้าอยู่แล้ว ที่สำคัญคือพอเราสามารถลอบฆ่าศัตรูได้ มันเลยไม่ได้กดดันอะไรเลยเพราะแต่ละช่วงก็คิดว่าจะต้องเชือดตัวไหนยังไงก่อนให้หมดแค่นั้นเองครับ
เสียงประกอบ
ในแง่ของงานเสียงนี่ผมว่าตัวเกมทำออกมาได้ดีอยู่ เพลงประกอบทำออกมาได้เข้ากับบรรยากาศวังเวงและชวนหลอน ยิ่งพวกเสียงก๊อง ๆ แก๊ง ๆ ตามฉากมันก็ช่วยปั่นบรรยากาศได้โอเค เพราะบางจังหวะเสียงที่ว่าคือพวกศัตรูที่มันจะโผล่ออกมาตุ้งแช่ตามช่องลมมั่ง จากพื้นมั่งคล้าย ๆ เวลาที่พวกเนโครมอร์ฟโผล่ในเดดสเปซครับ โดยรวมในแง่ของงานเสียงนี่ผมคิดว่าไม่มีอะไรตำหนิครับ เสียงพากย์ต่าง ๆ ของตัวละครก็ทำออกมาดี ซึ่งจุดนี้ก็คงต้องยกประโยชน์ให้การแสดงของนักแสดงแต่ละคนที่มารับหน้าที่โมชันแคปเจอร์ให้กับตัวละครในเกมครับ
สรุป
The Callisto Protocol เป็นเกมที่โดยส่วนตัวค่อนข้างน่าผิดหวังสำหรับผม ด้วยระบบเกมที่ให้ความรู้สึกครึ่ง ๆ กลาง ๆ จะเป็นแอ็กชันเพียวก็ไม่ใช่ จะเป็นชูตเตอร์ก็ไม่เชิง และระบบการเล่นติดขัดหลายอย่างเกินไป จนรู้สึกว่าถ้าทีมงานลดความใส่ใจเรื่องความแหวะและความรุนแรง แล้วเอาเวลาไปพัฒนาระบบการเล่นให้ลงตัวกว่านี้ก็คงจะออกมาสวยกว่านี้อีกเยอะครับ