Games Reviews

Resident Evil Village – รีวิว [REVIEW]

โดย G-jang

Resident Evil Village – รีวิว [REVIEW]

*ขอขอบคุณโค้ดรีวิวจาก Capcom Asia / Sicom Amusement มา ณ โอกาสนี้นะครับ

ถ้าพูดถึงชื่อ Resident Evil ขึ้นมา เชื่อว่าหลายคนน่าจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว เพราะนี่คือซีรีส์เกมสยองขวัญเอาตัวรอดที่มีประวัติยาวนานตั้งแต่สมัย PS1 จากเดิมที่ต่อสู้กับซอมบี้สุดคลาสสิก ไต่ระดับไปสู้กับปรสิตที่ราวกับหลุดมาจากเรื่อง Parasyte แถมดีกรีความเล่นใหญ่ก็มากขึ้นเรื่อย ๆ จนคนเล่นเองเริ่มมีบ่น ทำให้สุดท้ายซีรีส์วกกลับมาที่การสร้างบรรยากาศอึดอัดกดดันใน RE7 ที่เปลี่ยนแนวไปเป็นเกมแบบ FPS แทน และนั่นก็ต่อยอดออกมาเป็น RE Village (ที่เล่นสไตล์ให้เห็นเป็นเลข VIII ในภาคนี้)


เนื้อเรื่อง

เนื้อหาในคราวนี้ต่อเนื่องมาจากตอนจบของภาค 7 เป็นเวลา 3 ปี หลังจากที่อีธาน วินเทอร์สและมีอา วินเทอร์สรอดชีวิตออกมาจากบ้านเบเกอร์ในลุยเซียนา ทั้งสองก็ได้ย้ายมาลงหลักปักฐานใหม่ในยุโรปพร้อมกับมีลูกสาวน่ารักวัย 6 เดือนคนนึงที่ชื่อโรสแมรี แต่แล้วในคืนหนึ่งบ้านของทั้งสองก็โดนหน่วยรบพิเศษบุกถล่มแถมมีอายังโดนยิงซะพรุนทั่วร่าง ส่วนผู้นำของหน่วยรบพิเศษก็ไม่ใช่ใครที่ไหน หากแต่เป็นคริส เรดฟิลด์จอมต่อยหินที่หลายคนคุ้นเคยกันดี จากนั้นเรื่องราวก็ได้เริ่มต้นขึ้น

ณ หมู่บ้านที่ไม่คุ้นเคยคือจุดเริ่มต้นของภาคนี้

ถ้าจะให้กล่าวถึงเนื้อหาของเกมในคราวนี้ก็คงกล่าวได้ว่าทีมงานได้พยายามใส่ความลึกลับซับซ้อนและหักมุมเข้ามาอยู่เรื่อย ๆ ตลอดทั้งเกม ไม่ว่าจะประเด็นเรื่องที่ว่าทำไมใครต่อใครถึงอยากช่วงชิงเด็กทารกวัย 6 เดือนกันนัก หรือตัวของอีธานเองนั้นมีความพิเศษอะไรที่ทำให้หลายคนในเรื่องกล่าวถึง และเพราะอะไรคริสถึงได้สังหารมีอาอย่างเลือดเย็นต่อหน้าอีธาน ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวหลัก ๆ ที่คุณจะได้พบในเกม ซึ่งก็ชวนติดตามและให้ความบันเทิงได้อยู่ตลอดเกม ถ้าจะมีอะไรที่น่าเสียดายหน่อยก็คือบางครั้งการเฉลยเหตุผลนั้นทำออกมาแบบง่าย ๆ เกินไปหน่อย แม้แต่ความเข้าใจผิดก็เคลียร์กันจบในหนึ่งคัตซีน (ซึ่งก็แอบสงสัยว่า ถ้าคุยกันให้ชัดแต่แรกก็ไม่ต้องลำบากลำบนปานนี้รึเปล่า?) ในส่วนของที่มาที่ไปบางอย่าง รวมถึงคำอธิบายความสามารถของบรรดาเจ้าตระกูลทั้ง 4 ต่างก็บอกเล่าในรูปแบบของเอกสารที่ต้องไปตามอ่านตามเก็บในเกมแทน ซึ่งก็เป็นอะไรที่แอบเสียดายเพราะบางประเด็นน่าจะสามารถบอกเล่าในรูปแบบของคัตซีนได้อยู่เหมือนกัน

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เรื่องราวของเกมก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ชวนให้ผมอดหลับอดนอนเพื่อขอเล่นต่ออีกนิด ก่อนจะไปใช้กรรมในเช้าวันรุ่งขึ้นครับ


เกมเพลย์

ระบบการเล่นของเกมนี้ยังคงคอนเซปต์ของการบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อเอาตัวรอดจากฝูงอสุรกายกระหายเลือดไว้เหมือนเคย และยังคงมุมมองเกมแบบ FPS ที่ต่อยอดมาจาก RE7 ก่อนหน้าโดยตรง ดังนั้นไม่ว่าคุณจะเผชิญหน้ากับอะไรก็ตามสิ่งนั้น ๆ มันจะโผล่มาแฮ่ใส่คุณในแบบเต็มตาเต็มจอเสมอ ๆ แต่หากจะมีสิ่งที่พัฒนาไปจากภาคก่อน ก็คือองค์ประกอบบางส่วนจาก RE4 อย่างร้านค้าของดยุกที่จะให้คุณได้จับจ่ายใช้สอยเพื่อซื้อเสบียงหรือกระสุนรวมถึงปืนใหม่ และยังสามารถอัปเกรดปืนได้ละม้าย RE4 จนไม่แปลกใจว่าทำไมถึงมีข่าวลือว่าแคปคอมกำลังพัฒนาภาครีเมคอยู่

ปืนประเภทเดียวกันก็ยังมีหลายกระบอกให้เลือกใช้งาน

แน่นอนว่าแหล่งทำมาหาได้เพื่อนำเงินเล (Lei) มาจับจ่ายใช้สอยก็ไม่พ้นการเสาะแสวงหาสมบัติสารพัดสารพันที่ซุกซ่อนอยู่ตามฉากหรือได้จากศพศัตรูที่กำจัดไปแล้วนำไปขายต่อให้กับดยุก และก็อีกนั่นแหละที่ว่าสมบัติเหล่านั้นบางชิ้นสามารถนำมาผสมรวมกันได้เพื่อเพิ่มมูลค่าให้มากยิ่งขึ้นไปอีก แม้กระทั่งช่องเก็บของเองก็อ้างอิงมาจากระบบของ RE4 เช่นกัน

แต่สิ่งที่เพิ่มมาจาก RE4 ก็คือคุณสามารถไปไล่ล่าสัตว์ตามหมู่บ้านหรือห้วยหนองคลองบึงต่าง ๆ เพื่อนำเนื้อกลับมาให้ดยุกแล้วทำอาหารอันจะเพิ่มค่าพลังของอีธานได้อย่างถาวร ไม่ว่าจะเป็นพลังชีวิตที่มากขึ้น การรับความเสียหายที่ลดลงเมื่อป้องกัน หรือแม้แต่การเคลื่อนไหวที่เร็วขึ้น

สิ่งหนึ่งที่ต่างชัดเจนจาก RE7 คือพื้นที่ส่วนใหญ่ของเกมจะมีลักษณะเปิดกว้างกว่าก่อน ทำให้สามารถวิ่งสำรวจอะไรต่อมิอะไรได้มากกว่าเดิม แม้ว่าจะไม่ใช่ระดับโอเพนเวิลด์แต่ก็ถือว่ามีอะไรให้เสาะแสวงหาอยู่เยอะพอสมควร เรียกได้ว่าหากคุณเป็นคนที่ขยันสำรวจหรือขยันย้อนทางเก่าเพื่อนำไอเทมที่ได้ไปเปิดเส้นทางล่ะก็ เกมมักจะมีรางวัลบางอย่างให้คุณที่ขยันสำรวจและเดินออกนอกลู่นอกทางเสมอ (และบางครั้งรางวัลก็มาพร้อมกับศัตรูที่แข็งแกร่งเช่นกัน) บ้างก็เป็นปืนใหม่ บ้างก็เป็นพาร์ทใหม่ หรืออาจได้พวกวัตถุดิบมาคราฟท์ยาเติมพลังหรืออาวุธที่มากกว่าปกติเป็นต้น

ทั่วทั้งหมู่บ้านจะมีสมบัติมากมาย แต่ก็ใช่ว่าจะเก็บได้ง่าย ๆ นะ

ในส่วนของการต่อสู้นั้น โดยหลักแล้วไม่ได้ต่างกับ RE7 มากนัก เพราะทุกการต่อสู้ของคุณจะเป็นไปในแบบ FPS ที่มองผ่านมุมมองสายตาอีธาน ดังนั้นคุณจะมองไม่เห็นด้านหลังของตัวเอง จึงทำให้เวลาไปไหนมาไหนอาจต้องคอยระวังหลังตัวเองบ่อย ๆ โดยเฉพาะในตอนที่เจอศัตรูกลุ้มรุมกันเข้ามาจู่โจม ในส่วนของศัตรูนั้นจะมีความต่างจาก Molded ใน RE7 พอสมควร เพราะแทนที่จะเดินแบบเชื่องช้าคล้ายซอมบี้ ในภาคนี้บรรดาไลแคนหรือศัตรูอื่น ๆ จะเคลื่อนไหวกันค่อนข้างเร็วแถมยังมีพฤติกรรมที่ทำให้เราสู้และเล็งยากขึ้นเพราะมันมักจะโยกส่ายไปมา หรือบางทีก็กึ่งวิ่งกึ่งหมอบในลักษณะแบบหมาป่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงศัตรูในฉากหลังบางตัวที่จะมีลูกล่อลูกชนเฉพาะในการสู้อยู่เหมือนกัน คุณอาจจะยืนยิงมันเฉย ๆ ตามปกติก็ได้แต่นั่นเป็นการเปลืองทรัพยากรและเสี่ยงต่อการโดนโจมตีกลับนั่นเอง

หากจะให้กล่าวแล้วเกมนี้ทำสมดุลของศัตรูแต่ละประเภทกับสภาพแวดล้อมออกมาได้ดีครับ เพราะเมื่อคุณอยู่ในพื้นที่เปิด เกมก็มักจะใส่ศัตรูประเภทไลแคนที่ว่องไวมาให้คุณสู้ แต่เมื่อคุณต้องไปผจญกรรมในตัวอาคารที่มักเต็มไปด้วยโถงทางเดินแคบ ๆ แล้วคุณก็จะได้เจอศัตรูประเภทโมโรไอกะที่จะเชื่องช้ากว่าแทน เรียกได้ว่าจัดมาให้แบบกำลังดีไม่มากไปน้อยไป ถ้าคุณไม่ยิงทิ้งยิงขว้างกระสุนเกินไปก็มักเหลือพอเอาตัวรอดได้ในทุกสถานการณ์

มาพูดถึงในส่วนของพัสเซิล/ปริศนาในเกมกันบ้าง เชื่อว่าหลายคนอาจจะรู้สึกว่าซีรีส์ RE ในภาคหลังมีความเป็นแอ็กชันมากขึ้น ส่วนการแก้ปริศนานั้นน้อยลงหรือแทบไม่มี ในภาคนี้ทีมงานดูจะรับรู้คำบ่นดังกล่าวจึงได้มีการใส่ปริศนาให้ผู้เล่นต้องไขอยู่เนือง ๆ ทั้งเกม ไม่ว่าจะปริศนาชนิดมีคำใบ้ หรือบางอย่างก็ไม่มีคำใบ้แต่อาศัยการสังเกตสภาพแวดล้อมเอาว่าควรจะต้องทำอะไร ซึ่งก็แน่ล่ะว่าอย่างหลังนี่มักเป็นปริศนาที่จะทำให้คุณได้ของรางวัลพิเศษต่าง ๆ จำนวนของปริศนาในเกมนั้นก็กำลังดีไม่มากไปหรือน้อยไป ถ้าใครขยันสำรวจก็อาจได้เจอปริศนาเยอะหน่อย


กราฟิกและการนำเสนอ

กราฟิกของเกมนี้คือสิ่งที่น่าชื่นชมครับ คงต้องยกประโยชน์ให้กับ RE Engine ที่แคปคอมใช้งานมาแล้วหลายเกมที่สามารถนำเสนอคุณภาพกราฟิกได้อย่างงดงาม เท็กซ์เจอร์พื้นผิวไม่ว่าจะเป็นผ้าหรือผิวหนังก็ทำออกมาได้ละเอียดยิบ แม้กระทั่งรอยเปื้อน รอยเลือด หรืออะไรที่ควรให้ความรู้สึกหนืดเหนอะชวนขยะแขยงก็ทำออกมาได้ดีมาก ยิ่งชวนให้รู้สึกอินไปกับเกมได้ง่ายขึ้นครับ

ส่วนตัวแล้วผมชื่นชอบการนำเสนอของเกมภาคนี้มาก เพราะบรรดาเจ้าตระกูลทั้ง 4 ที่อีธานจะต้องเผชิญในเกมนั่นคือดิมิเตรสกู, ดอนนา เบเนเวียนโต, มอโรและไฮเซนเบิร์กนั้น ต่างก็มีสภาพแวดล้อมในธีมประจำตัวกันทั้งนั้น เมื่อคุณเข้าปราสาทดิมิเตรสกู คุณก็จะได้บรรยากาศในแบบโกธิคยุคกลางละม้ายกับภาคคลาสสิก ข้าวของเครื่องใช้จะหรูหราดูมีระดับเสมือนหนังแวมไพร์ แต่เมื่อคุณไปเยือนบ้านเบเนเวียนโตคุณก็จะได้สัมผัสบรรยากาศอันอึดอัดคับแคบให้บรรยากาศราวกับมีวิญญาณร้ายสิงสู่ ที่ซึ่งเหล่าตุ๊กตาราวกับจ้องมองตามคุณทุกฝีก้าวเสมือนกำลังเล่น Silent Hill ต่อเมื่อคุณไปถึงอาณาเขตของมอโร คุณจะพบกับพื้นที่หมู่บ้านซึ่งจมลึกในหนองน้ำอันมีสัตว์ร้ายขนาดใหญ่เวียนว่ายไปมาจ้องเล่นงานผู้รุกราน คล้ายกับหนังสัตว์ประหลาดกินคนขนาดยักษ์ และเมื่อย่างเท้าเข้าสู่โรงงานของไฮเซนเบิร์กคุณก็จะพบกับฝูงตัวประหลาดที่ผสมผสานระหว่างเนื้อหนังและจักรกลท่ามกลางเสียงเครื่องจักรที่ดังให้ได้ยินตลอดเวลา เรียกได้ว่าภาคนี้จับเอา trope มากมายหลายประเภทมาใส่ไว้รวมกันชนิดที่ว่ามันต้องมีสักอย่างล่ะน่าที่ทำให้คุณรู้สึกตึงเครียดขนหัวลุกได้


เสียงพากย์และเสียงประกอบ

เสียงพากย์ของเกมนี้จัดอยู่ในขั้นดีครับ ตัวละครแต่ละตัวได้รับการพากย์เสียงกันแบบถึงอารมณ์ใช้ได้ หากเจอกับสถานการณ์ตึงเครียดผู้เล่นก็จะได้ยินเสียงอีธานหอบหายใจรัว ๆ เวลาไม่พอใจก็สัมผัสได้ถึงการระเบิดอารมณ์ในน้ำเสียง และที่สำคัญคือตัวละครสำคัญแต่ละตัวมีน้ำเสียงที่บ่งบอกบุคลิกชัดเจน ดิมิเตรสกูก็จะพูดด้วยน้ำเสียงเสมือนเป็นชนชั้นสูงคำพูดคำจาที่ใช้ก็จะออกแนวผู้ดีเย่อหยิ่ง พอตัดไปไฮเซนเบิร์กก็จะใช้คำพูดสไตล์ลูกทุ่งติดดินในแนวนักเลงมากกว่า แองจี้ที่เป็นหุ่นเชิดของดอนนา เบเนเวียนโตก็จะใช้คำพูดและน้ำเสียงในแบบเด็กตัวเล็ก ๆ และพอเป็นมอโรก็จะออกแนวคนมีปมด้อยที่ไม่มั่นใจในตัวเอง ในแง่ของงานพากย์นั้นถือว่าสอบผ่านครับ

สำหรับเสียงประกอบนั้น จุดที่ต้องชื่นชมเลยจริง ๆ คือพวกเสียงคำรามหรือเสียงที่เหล่าศัตรูเปล่งออกมาครับ ยิ่งถ้าเล่นกับหูฟังนี่ในหลายสถานการณ์จะทำให้คนเล่นต้องหันซ้ายหันขวาตามเสียงตลอดเวลาเพราะคุณอาจจะยังมองไม่เห็นตัวศัตรูแต่เสียงฮึ่มแฮ่ของมันมาเข้าหูก่อนแล้ว และระบบเสียงของเกมจะสัมผัสได้ชัดเจนที่สุดก็ตอนเข้าบ้านเบเนเวียนโตนี่ล่ะครับ ซึ่งผมขอไม่บอกนะว่าในนั้นมันมีอะไรบ้าง


การแปลไทย

หัวข้อพิเศษที่ต้องพูดถึงในการรีวิวนี้คือการแปลไทยนี่ล่ะครับ เพราะถือเป็นเกมที่สองแล้วที่แคปคอมตัดสินใจแปลไทยให้เกมเมอร์ไทยได้เล่นกัน (เกมแรกคือ Marvel vs Capcom Infinite) ซึ่งก็ถือว่าคุณภาพในการแปลนั้นอยู่ในระดับที่โอเค สามารถเล่นและเข้าใจเนื้อหาสำคัญ ๆ ได้ทั้งเกม เพียงแต่ว่าการเก็บงานยังไม่เนี้ยบพอเพราะจะสังเกตเห็นการพิมพ์ผิดหรือตกหล่นได้บ่อย ๆ ในเอกสารต่าง ๆ ที่บางครั้งก็ผิดบริบทไปเลย อย่างเช่น Baker House ที่หมายถึงบ้านตระกูลเบเคอร์ใน RE7 แต่ในเกมแปลเป็น “บ้านอบขนม” ซะอย่างนั้น และบางครั้งบทสนทนาก็มีแปลผิดบ้าง แม้จะไม่ใช่จุดใหญ่แต่มันก็อ่านแล้วสะดุดเหมือนกัน หรืออย่างเงื่อนไขโทรฟี/อชีฟเมนต์ที่คนเล่นจะต้องจบเกมโดยไม่ใช้ Recovery Item เกิน 4 ชิ้นตลอดเกม แต่เมื่อแปลไทยดันออกมาเป็นว่า “ไม่ใช้ไอเทมที่กู้คืนมาเกิน 4 ครั้ง” เฉยเลย

ถึงกระนั้นโดยรวมคุณภาพการแปลก็ถือว่ารับได้ครับ แต่มันยังสามารถดีกว่านี้ได้อีกน่ะนะ


สรุป

Resident Evil Village เป็นภาคต่อโดยตรงจาก RE7 ที่มีคุณภาพเกมสูงมาก หากคุณชื่นชอบสไตล์เกม RE7 คุณจะไม่ผิดหวังกับภาคนี้ หรือถ้าคุณไม่ได้ชื่นชอบซีรีส์ RE เป็นพิเศษแต่อยากได้เกมเอาตัวรอดระทึกขวัญไปเล่น เกมนี้ถือเป็นตัวเลือกที่ดีมากเกมนึง เราไม่อยากให้มองผ่านเพียงเพราะตัวเกมนำเสนอในแบบมุมมอง FPS ครับ

จบรอบแรกก็ไม่สั้นไม่ยาวจนเกินไป กำลังพอดี ๆ แต่คุณไม่เล่นกันรอบเดียวแน่นอน

The Review

90% ผจญวิบากกรรม ย่ำเท้าสู่หมู่บ้านต้องสาป

นี่คือ Resident Evil ที่คุณภาพสูงมากภาคหนึ่ง และหากเทียบกับแนวเกมระทึกขวัญเอาตัวรอดเกมอื่นแล้วก็ยังถือว่าอยู่ในระดับแนวหน้าโดยแท้จริง หากคุณชื่นชอบซีรีส์นี้เป็นทุนเดิมนี่คือภาคที่ไม่ควรพลาด

90%

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ข้ามไปยังทูลบาร์