รีวิว Saints Row
ขอขอบคุณโค้ดเกม (PS5) เพื่อการรีวิว จากบริษัท Ripples Thailand มา ณ โอกาสนี้ครับ
Saints Row มีความหมายทำนองว่า ถิ่น/ย่าน/ถนน/ซอย ของไอ้พวกแก๊งเดอะ เซนส์ ซึ่งผมเองเล่นเกมนี้มาแล้วเกือบทุกภาค ส่วนใหญ่จะเล่นไม่ค่อยจบ เพราะมันเป็นเกมระดับกลาง ๆ ที่เล่นได้พอเพลิน ๆ ซึ่งพอมีเกมใหม่มาแทรก ผมก็มักจะเผลอลืมกลับไปเล่นให้จบ จนจำได้แค่ลาง ๆ ว่ามันเป็นเกมโอเพ่นเวิลด์สไตล์วินาศสันตะโร ที่เน้นความฮาความดิบ มากกว่าความสมจริง ซึ่งมันถือเป็นเรื่องดีนะครับ! ไม่ใช่ไม่ดี เพราะบางครั้งเราควรมีเกมแนวนี้ติดบ้านไว้บ้าง ไว้สลับกันเล่นกับเกมอื่น
ทีนี้ ตัวเกมเงียบหายไปนานก่อนจะกลับมาอีกครั้งในภาครีบูท ที่เขาจะปั้นแฟรนไชส์นี้ให้กลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่ โดยจะเน้นความทันสมัยของกราฟิกแต่อยู่บนโครงร่างของเกมโอเพ่นเวิลด์แบบดั้งเดิม หวังเอาใจแฟนรุ่นเก่า ๆ ว่างั้นเถอะ ซึ่งผลจะออกมาเป็นอย่างไร ไปว่ากันทีละประเด็นเลยครับผม
STORY
พล็อตเริ่มเรื่องของ Saints Row เวอร์ชัน 2022 เกิดขึ้นในมหานคร ซานโต อิเลโซ่ เมืองสมมุติที่มีชีวิตชีวาในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของอเมริกา ในโลกที่เต็มไปด้วยอาชญากรรม คุณในฐานะบอสในอนาคต ต้องการที่จะตั้งแก๊งของตัวเองขึ้นใหม่เพื่อปกครองเมืองนี้ โดยมีกลุ่มเพื่อนซี๊ นีนาห์, เควิน และ อีไล คอยอยู่เคียงข้างคอยช่วยคุณสร้างอาณาจักร และร่วมต่อสู้เพื่อควบคุมเมือง
ด้านกลุ่มแก๊งคู่แข่งในเมืองจะมีอยู่ด้วยกัน 3 ฝ่ายสำคัญ ได้แก่ ลอส แพนเทอรอส, มาร์แชล และ ดิ ไอดอล
พวกแรก Los Panteros เป็นพวกแก๊งนักเลงสไตล์ดั้งเดิม ครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของถนนทั่วเมือง อุดมไปด้วยนักกล้าม ส่วนพวกมาร์แชล เป็นกองกำลังทหารเอกชน ติดอาวุธไฮเทค พวกนี้จะนำปืนไรเฟิลพลังสูง และวัสดุเสริมประสิทธิภาพไซเบอร์เนติกส์มาสู่การต่อสู้ มาร์แชลเป็นศัตรูที่อันตรายที่สุดที่คุณจะเผชิญ สุดท้ายคือไอดอล เป็นแก๊งโจ๋ยุคใหม่ คลั่งโซเชียลมีเดียและอาวุธปืน! แก๊งนี้เป็นแหล่งรวมของตัวเพี้ยน ๆ มากมาย
ทั้งนี้ ตลอด 25 ภารกิจหลักที่ผมเล่นไปจนจบเกม ผมมองว่าการเดินเรื่องของเกมนี้ทำได้เกือบดีแล้ว เสียอย่างเดียวคือตอนขมวดปมท้ายเรื่องที่ดูจะกระโดกกระเดกไปนิดนึงครับ…กล่าวคือ ผมชอบภาพรวมของเนื้อเรื่องในเกมนี้ที่เน้นในเรื่องของ “มิตรภาพ” เป็นอย่างมาก เพื่อนคือที่สุดของชาวแก๊ง เพื่อนต้องรักกัน ต้องช่วยเหลือกันในยามคับขัน ประเด็นนี้ฉายออกมาในเกือบทุกภารกิจซึ่งผมถือว่าเกมถ่ายทอดออกมาได้ดี เล่นแล้วอินกับตัวละครหลัก
ผมรู้สึกว่า Saints Row ภาคนี้ให้บรรยากาศแบบเดียวกับ Watch dogs 2 มากเลยนะ (เฉพาะในส่วนของการเดินเรื่อง) คือมันเน้นหนักไปที่ความสัมพันธ์ของเพื่อน ๆ ในแก๊ง ซึ่งคนเหล่านี้แหละคือที่มาของภารกิจรูปแบบต่าง ๆ ที่มีมาให้เราได้เล่นกันในเกม
สิ่งที่ผมติดใจก็แค่ช่วงท้ายเกมที่ทีมงานเขาพยายามแก้ปมเรื่องให้มันคลี่คลายเป็นบทสรุปของเรื่องราวนั้น ผมมองว่าทำได้ไม่ค่อยดี บางประเด็นไม่ค่อยสมเหตุสมผลซักเท่าไหร่ บางจุดก็ดูโอเวอร์เสียเหลือเกิน เอาเป็นว่าถ้าใครได้เล่นก็ลองพิจารณากันดูครับ บางคนอาจจะชอบก็ได้ อันนี้เป็นเรื่องของรสนิยมด้วยส่วนหนึ่ง
GAMEPLAY
ผมสรุปสั้น ๆ ให้เลยว่าเกมนี้จะพาคุณ “ย้อนยุค” กลับไปสู่เกมโอเพ่นเวิลด์สไตล์ยุคแรกเริ่ม! มันไม่คิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ อะไรมาให้คุณหรอก ไม่ต้องหวังเลย แต่มันเอาเกมสไตล์ GTA แบบดั้งเดิมมาให้คุณเล่นนั่นแหละ! ชอบมั้ย? ผมชอบนะ 555
คืองี้ครับ Saints Row คือตัวอย่างชัดเจนของการทำเกมให้เป็นเกม ปาความสมจริงทิ้งลงถังขยะไปได้เลย เขาสร้างมาเพื่อให้คุณฮา ให้คุณสะใจ กับความวายป่วงในโลกเปิดที่มอบอิสระให้คุณเต็มที่ มันมาพร้อมฉากแอ็กชั่นมัน ๆ กับบั๊กการแสดงผลกระจายเกลื่อนทั่วจอ แต่พอมันรวมกันออกมาแล้ว ปรากฏว่า
มันเล่นสนุกดีนะ!
คือมันเป็นความสนุกแบบ GTA, just cause สมัย PS2, Mercenaries 2 หรือ Saints Row ภาคแรก ๆ นู่นเลยอ่ะครับ เน้นเล่นเอาฮาเป็นสำคัญ…ถ้าคุณจะเข้าใจสิ่งที่ผมพยายามจะสื่ออ่ะนะ
ขณะที่ในด้านของโครงสร้างเกมเพลย์ ตัวเกมจะมีสิ่งที่ให้ทำแยกเป็น ภารกิจหลัก, ภารกิจแชลเลนจ์ต่าง ๆ, กิจกรรมพิเศษตามจุดบนแผนที่ และภารกิจบริหารกิจการ หรือที่เรียกว่า Criminal Ventures
โดย Criminal Ventures คือธุรกิจผิดกฎหมายภายใต้เครือข่ายแก๊งเดอะ เซนส์ของเรา ซึ่งเมื่อเราเลือกประกอบกิจการนั้นแล้ว ก็ต้องเข้าไปทำมิชชั่นย่อย เพื่อทำให้ธุรกิจนั้นรุ่งเรือง (ส่วนใหญ่จะหนักไปทางกำจัดคู่แข่งทางการค้าโดยการใช้กำลังนั่นเอง)
GRAPHICS & MUSIC
เพลงในวิทยุเวลาเราขับรถในเกมส่วนใหญ่ไพเราะเกือบหมด ผมไม่ติดใจอะไรกับเรื่องนี้ แต่กับกราฟิกนี่สิที่ดูอาจจะยังไม่สุดเท่าไหร่ คือหากเราเลือกโหมดควอลิตี้ เกมจะให้เฟรมเรตที่ต่ำมาก สุดท้ายก็ต้องเลือกโหมดเน้นเฟรมเรตเพื่อให้เล่นได้ไหลลื่น แล้วค่อยเลือกเน้นคุณภาพตอนที่จะกดหยุดภาพเพื่อถ่ายรูปในเกม
ประเด็นแยกย่อยอย่างหนึ่งในหัวข้อนี้ก็คือ การปรับแต่งตัวละคร, ยานพาหนะ แล้วก็อาวุธปืนในเกมที่ต้องบอกเลยว่า ตัวเกมเขาเน้นเรื่องนี้มาก ๆ จนผมต้องทึ่ง เพราะคุณปรับทุกส่วนของตัวละครได้อย่างละเอียดมาก อยากให้ตัวละครของคุณออกมาสไตล์ไหนก็เลือกได้เลย ทำได้หมด คนที่ชอบการตกแต่งน่าจะถูกใจ หรือเอาไว้ใช้อวดคนอื่นเวลาเล่นออนไลน์ก็ได้ แต่โดยส่วนตัวผมไม่ค่อยเน้นหนักมากกับเรื่องเอกลักษณ์เหล่านี้ครับ
เสริมอีกนิดกับเรื่องของบั๊กในเกม ที่ผมพบเจอในเวอร์ชัน PS5 ที่ต้องบอกว่ามีเยอะเหมือนกันนะ แต่ไม่สาหัสมาก เพราะผมสามารถเล่นจนจบเกมได้โดยไม่เคยเจอบั๊กร้ายแรงระดับเซฟพังอะไรเทือกนั้น ส่วนใหญ่ที่เจอกับตัวคือ เวลาเราตกแต่งตัวละครแล้วกด วงกลม เพื่อออกมาหน้าเมนูหลักไม่ได้ ต้องกดรีสตาร์ตเกมใหม่, กับกดเรียกวงล้อเปลี่ยนอาวุธไม่ขึ้นระหว่างกำลังยิงปะทะกันอย่างดุเดือด เป็นต้น ซึ่งจุดนี้แหละถือเป็นปัจจัยสำคัญที่โดนผมหักคะแนนในการรีวิวครั้งนี้ครับ
CONCLUSION
คำถามสำคัญที่สุด ที่ผมตั้งเป็นแก่นแกนสำคัญของตัวเกม Saints Row ในภาคใหม่นี้ก็คือ “ตัวเกมดีพอจะเป็นจุดเริ่มต้นแฟรนไชส์ครั้งใหม่ได้หรือไม่?” เพราะถ้ามันไปรอด เราก็อาจได้เห็น Saints Row 2, Saints Row 3 ฯลฯ ในจักรวาลรีบูทใหม่นี้เพิ่มเติมได้อีก
ซึ่งผมตอบตัวเองได้แล้วหลังเล่นจบว่า “ได้” ….แต่ต้องปรับปรุงขัดเกลาภาคถัดไปให้ดีกว่านี้ ต้องไปทำงานในส่วนของกราฟิกให้เนี้ยบกว่านี้ ไปแก้บั๊กในโลกโอเพ่นเวิลด์ให้หมดสิ้น, ไปปรับปรุงคิดค้นรูปแบบภารกิจในเกมให้หลากหลาย ไม่จำเจ และ “ไม่เชย” ไปมากกว่านี้ และที่สำคัญคือ พยายามรักษาระดับการเดินเรื่องให้กลมกล่อม ให้เหมือนเวลาเราดูหนังดี ๆ ไม่ใช่หนังเกรดซีที่สะดุดขาตัวเองตอนจบ
อย่างไรก็ตาม สำหรับ Saints Row ภาคนี้ก็ถือว่ามีจุดแข็งไม้ตาย มีทีเด็ดทีขาดที่ “ความสนุก” ในการเล่น เล่นแล้วมันส์แบบไม่ต้องคิดไรมาก ไม่ต้องคิดเยอะ ลุย ๆ มันเข้าไป ผมเล่นแล้วเหมือนได้เล่นเกมย้อนอดีต ซึ่งบางครั้งเราอาจต้องการเกมแนวนี้บ้างนะครับ เหมือนได้เจอเพื่อนเก่า ได้รำลึกอดูต อะไรประมาณนั้น!
GOOD
- ระบบปรับแต่งตัวละครละเอียดยิบ
- ภารกิจ Ventures ที่เป็นการเล่น LARP (live action role-playing game) แล้วให้เราสร้างอาณาจักรจำลองมายกพวกตีกัน เล่นแล้วอย่างฮา สนุกมากครับ
- ระบบขับขี่ในเกม ทำได้ดี (ระบบนำทางแอบคล้ายเกม RAGE 2 นิด ๆ)
- การเขียนพล็อตที่เน้นหนักด้านความสัมพันธ์ของชาวแก๊งช่วยให้เรารู้สึกแคร์ตัวละคร อยากรู้เรื่องราวตอนต่อไป
BAD
- โลกโอเพ่นเวิลด์โหรงเหรง ชาวบ้านข้างทางแทบไม่มี
- การปลดล็อคภารกิจหลักบางอันที่บังคับให้เราไปเคลียร์ภารกิจย่อยซ้ำ ๆ หลายอัน กลายเป็นว่าเราโดนบีบให้ต้องเจอกับมิชชันจำเจแบบเลี่ยงไม่ได้
- เกมสั้น เพราะภารกิจหลักหลายอันไม่ต้องทำเลยก็ได้ แค่เปิดเนื้อเรื่องให้ภารกิจใหม่โผล่เข้ามา เราก็ไปทำอันนั้นได้เลย
- บั๊กประปราย