Games Reviews

FINAL FANTASY XVI – รีวิว [REVIEW]

FINAL FANTASY XVI – รีวิว [REVIEW]

*ขอขอบคุณโค้ดรีวิวจาก Sony Interactive Entertainment Singapore มา ณ โอกาสนี้ครับ

Final Fantasy XVI นี้คือภาคหลักลำดับที่ 16 ของแฟรนไชส์เกม RPG ชื่อดังที่อยู่คู่วงการวิดีโอเกมมาเป็นเวลานาน ซึ่งหลายคนคงจะได้ลองเล่นเดโมของเกมไปก่อนหน้านี้แล้ว และก็คงพอจะทราบกันมาบ้างว่าในคราวนี้ตัวเกมได้ทำการปรับแนวทางการนำเสนอในหลากหลายรูปแบบ จากการเปลี่ยนแนวตัวเองไปเป็นแอ็กชันความเร็วสูงเต็มตัว และโทนเรื่องที่มีความจริงจังขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ในวันนี้ที่ผมได้เล่นตัวเกมเต็มจนจบ (ขึ้นเครดิตทีมสร้าง) ไปแล้วหนึ่งรอบ ผมก็เลยอยากมาขอบอกเล่าความรู้สึกให้ได้ทราบกันครับ


เนื้อเรื่อง

ใน Final Fantasy XVI ครั้งนี้ ดำเนินเรื่องราวในดินแดนแฟนตาซีที่มีอารยธรรมต่าง ๆ ในลักษณะของวรรณกรรมแฟนตาซียุคกลางแบบคลาสสิกที่หลายคนน่าจะคุ้นเคยกันดี โลกในเกมนี้เรียกว่าวาลิสเธีย (Valisthea) และอาณาจักรน้อยใหญ่ต่างก็รบพุ่งกันเพื่อแย่งชิงสิ่งที่เรียกว่ามาเธอร์คริสตัล (Mothercrystal) ที่เป็นแหล่งพลังงานและทรัพยากรอันล้ำค่าให้ผู้คนในโลกแห่งนี้สามารถใช้เวทมนตร์อำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน

ถึงกระนั้น ก็มีผู้คนจำนวนเพียงหยิบมือที่มีคุณลักษณะพิเศษในการเป็นโดมิแนนต์ (Dominant) ซึ่งเป็นร่างสถิตแห่งพลังอำนาจธรรมชาติ บทบาทหน้าที่ของเหล่าโดมิแนนต์จึงมักเป็นการออกรบพุ่งเพื่อทำศึกกับอาณาจักรอื่นเสมือนเป็นอาวุธทำลายล้างสูงนั่นเอง แต่ก็แน่ล่ะว่าพลังอันเหลือล้นก็มักจะมีเงื่อนไขเสมอ…ซึ่งนี่ก็จะเป็นหนึ่งในประเด็นของเรื่องราวประจำภาคนี้เช่นกัน

ตัวเอกของเกมในภาคนี้คือไคลฟ์ รอสฟิลด์ (Clive Rosfield) บุตรชายคนโตของอาร์คดยุคแห่งโรซาเรีย (Archduke of Rosaria) และภายหลังจากเหตุการณ์โศกนาฏกรรม ณ ประตูแห่งฟีนิกซ์ (Phoenix Gate) นั้น ตัวเขาในวัย 15 ปีก็มาถึงจุดเปลี่ยนของชีวิตไปตลอดกาล

หากจะให้พูดถึงแง่ของเนื้อเรื่องในภาคนี้ เห็นได้ชัดเจนว่าต้องการนำเสนอเนื้อหาของแฟรนไชส์ในลักษณะที่จริงจังมากขึ้น เข้มขรึมมากขึ้นและเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นยิ่งกว่าขนบเดิม ๆ ที่ผ่านมาของไฟนอลแฟนตาซียุคใหม่ที่เรามักจะคุ้นเคยกันครับ ตลอดทั้งเกมเราจะได้เห็นแง่มุมความโหดร้ายที่ผู้คนปฏิบัติต่อกันเพราะต่างวรรณะกันเนือง ๆ ซึ่งนี่ก็จะเป็นหนึ่งในรากฐานของเรื่องราวในภาคนี้ ไม่เพียงเท่านั้น บรรดาตัวละครสมทบต่าง ๆ ก็มีบทบาทที่เด่นและมีสกรีนไทม์กันแบบพอดี ๆ ไม่มากไปไม่น้อยไป ช่วยเสริมแต่งรสชาติได้ออกมาสนุกและถูกใจสำหรับคนที่ชอบอะไรเข้มข้นและจริงจัง

อย่างที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าโทนของเนื้อหาในภาคนี้จริงจังมากขึ้น เราเลยจะได้เห็นแง่มุมที่สลับซับซ้อนในหลายมิติ ผู้เล่นจะได้เห็นกลุ่มคนที่มีสถานะต่ำยิ่งกว่าทาสแต่กล้าลุกขึ้นมาปลดปล่อยตนเอง แต่ในอีกด้านหนึ่งเราจะได้เห็นผู้ที่แม้จะได้รับการปลดปล่อยแต่ก็ไม่กล้าที่จะคิดหรือจะทำอะไรด้วยตนเองเพราะโดนกดขี่มาเป็นเวลานานจนความกลัวฝังรากลึก กลายเป็นทาสที่ปล่อยไม่ไป หรือเราจะเห็นตัวละครที่คอยช่วยเหลือผู้คนรอบข้างมากมายและแบกรับอะไรหลายอย่างจนละเลยตนเอง แต่เราก็จะได้เห็นตัวละครที่เห็นแก่ตัวอย่างสุดขั้วและไม่มีความเห็นอกเห็นใจให้ใครอื่น สิ่งที่ว่ามานี้จะดำรงอยู่ควบคู่กันไปตลอดเกม

นอกจากประเด็นของการต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันระหว่างอาณาจักร รวมถึงภูมิหลังต่าง ๆ ของแต่ละตัวละครที่น่าสนใจไม่แพ้ตัวเอกแล้ว ในเกมภาคนี้ยังนำเสนอแนวคิดที่เด่นชัดมากอย่างหนึ่งนั่นคือการปะทะกันระหว่างเจตจำนงเสรี (Free Will) และเหตุวิสัย (Determinism) ครับ เกมนี้เล่าเรื่องราวการฝ่าฟันของคน ๆ หนึ่งที่ถูกขีดเขียนเส้นทางให้เดิน แต่ก็สู้ด้วยแรงและกำลังของตนเพื่อเอาชนะโชคชะตา ส่วนจะเป็นไปในลักษณะใดหรือรูปแบบไหน ผมอยากให้ทุกคนลองไปค้นหากันเองในเกมได้เลย

สิ่งหนึ่งที่ค่อนข้างแหวกขนบของไฟนอลแฟนตาซี (และอาจจะรวมถึงเกมสไตล์ RPG จากฝั่งญี่ปุ่นอื่น ๆ) นั่นก็คือภาคนี้ค่อนข้างกล้านำเสนอประเด็นการแสดงออกด้านชู้สาวมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ตัวละครแสดงออกกันอย่างไม่ต้องมาทำท่ากระมิดกระเมี้ยนหรือปิดบังให้คนเล่นต้องมาจินตนาการกันเอาเอง ตัวละครไหนรักกันก็มีฉากพลอดรักให้เห็น บอกรักกันตรง ๆ ทั้งคู่ชายหญิง (และอื่น ๆ) ถึงแม้ว่าตัวเกมจะไม่ได้นำเสนอฉากสัมพันธ์สวาทแบบโต้ง ๆ ในแบบเกมฝั่งตะวันตก (เช่น The Witcher) ก็ตาม แต่ก็ยอมรับว่าพอเล่นไปถึงมันก็แอบเซอร์ไพรส์พอควรเหมือนกัน เพราะเป็นอะไรที่คิดไม่ถึงว่าจะได้พบในไฟนอลแฟนตาซีครับ

ด้านบทสรุปของเรื่องราวนั้น ส่วนตัวผมคิดว่าปิดฉากได้อย่างสวยงามตามท้องเรื่องที่ปูพื้นมาตั้งแต่ต้นเกม มันอาจจะมีความเศร้าเจือปนแต่มันก็เป็นบทสรุปที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังของผู้คนบนโลกวาลิสเธียครับ


เกมเพลย์

อย่างที่หลายคนคงทราบแล้วว่าในภาคนี้ตัวเกมได้พลิกโฉมตัวเองไปเป็นแอ็กชันเต็มรูปแบบ เหมือนเกมแอ็กชันความเร็วสูงอย่าง Devil May Cry หรือ Bayonetta ซึ่งในทีแรกที่ผมได้ลองเล่นเดโมก็คิดว่ายังพอได้ แต่แค่เกือบ ๆ เพราะรู้สึกว่าสกิลที่มีก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันหลากหลายขนาดนั้น แต่เอาเข้าจริง พอได้เล่นเกมตัวเต็มก็รู้ได้เลยว่านี่มันคือเกมแอ็กชันที่ไปยืนเคียงบ่าสองเกมข้างต้น (และเกมแอ็กชันไฮสปีดอื่น ๆ) ได้ครับ

ระบบการต่อสู้ในเกมนี้จะเน้นที่การเซ็ตสกิลของไอคอน (Eikon) ที่เป็นอสูรประจำธาตุแต่ละธาตุเป็นหลัก โดยที่ผู้เล่นจะสามารถเซ็ตไอคอนไว้สลับใช้งานระหว่างสู้ได้ทั้งหมดสามตัว ซึ่งไอคอนแต่ละตัวจะมีคุณประโยชน์ต่างกันเมื่อกดปุ่ม O เช่นฟีนิกซ์จะเป็นการพุ่งแดชเข้าหาอย่างรวดเร็ว หากเป็นการูดาจะยื่นกรงเล็บออกไปดึงศัตรูเข้าหาตัว (แบบเนโรใน Devil May Cry 4 และ 5) ส่วนถ้าเป็นไททันก็จะเป็นการยกแขนขึ้นมาบล็อก และถ้าคุณกดบล็อกตรงจังหวะก็จะโจมตีสวนได้ทันที ฯลฯ ไม่เพียงเท่านั้น แต่คุณยังเซ็ตท่าโจมตีของอสูรแต่ละตัวได้อีกสองท่า (สลับกับธาตุอื่นได้) มันเลยทำให้ผู้เล่นมีตัวเลือกในการมิกซ์แอนด์แมตช์ตามใจชอบเยอะมาก คุณจะเน้นพลิ้ว จะเน้นแดเมจ หรือเน้นสมดุล มีตัวเลือกที่ตอบโจทย์ทุกสไตล์ครับ

การต่อสู้ในเกมนี้หากดูผิวเผินก็อาจจะดูว่ากดมั่ว ๆ ไปเถอะ สแปมท่ารัว ๆ เดี๋ยวก็ชนะ แต่เอาเข้าจริงตัวเกมต้องอาศัยสกิลเพลย์มากเหมือนกันครับ ยิ่งไปสู้กับพวกมอนสเตอร์ระดับสูง ๆ หรือบอสฉากหลัง ๆ ถ้าคุณซี้ซั้วตีมั่ว ไม่รู้จักหลบให้ตรงจังหวะ ไม่รู้จักสังเกตแพตเทิร์นการโจมตีก็มีน้ำตาตกในได้ง่าย ๆ เพราะพวกศัตรูระดับบอสนี่ฟาดเราหนักใช้ได้อยู่ เกมเลยบังคับกลาย ๆ ให้คุณต้องรู้จักใช้ประโยชน์จากสกิลที่มีให้คล่อง และหาวิธีรับมือที่คุณถนัด ซึ่งผมบอกได้เลยว่าไม่มีสกิลไหนที่ไร้ประโยชน์ครับ อยู่ที่ว่าคุณจะใช้งานมันยังไงแค่นั้นเอง

อย่างที่ผมบอกไปว่าเกมต้องอาศัยสกิลเพลย์เยอะ แต่พอเป็นการต่อสู้ระหว่างไอคอนด้วยกันเองนั้น ตัวเกมจะค่อนข้างลดทอนความซับซ้อนลง แล้วไปเน้นที่ความอลังการและเซ็ตพีซหนัก ๆ แทน คุณยังต้องกดหลบ ยังต้องกดตีนะ โดยตัวเกมจะแทรกด้วย QTE ให้กดเป็นพัก ๆ แต่ไม่น่าเบื่อเพราะฉากและการนำเสนอของเกมนี้มันระดับท็อปมาก ๆ สู้กันแต่ละทีเหมือนเอาภัยธรรมชาติที่เดินได้มาชนกันครับ ทุกอย่างมันยิ่งใหญ่ มันอลังการ มันชวนให้เชื่อจริง ๆ ว่ามนุษย์ธรรมดาทั่วไปไม่มีทางจะหาปัญญามาเอาชนะตัวตนระดับนี้ได้แน่นอน หากคุณเล่นเดโมแล้วชอบฉากปะทะกันระหว่างฟีนิกซ์และอิฟรีตล่ะก็ ดีใจได้เลยครับเพราะตัวเกมจริงอัดการต่อสู้ระดับนั้นมาให้คุณอีกเพียบทั้งเกม

*SPOILER* คลิปเกมเพลย์ประกอบนี้มีฉากสู้กับ TITAN บางส่วน (ที่ Square Enix เคยเผยแพร่ในตัวอย่างก่อนหน้านี้)

องค์ประกอบอื่น ๆ ในแง่ของเกมเพลย์ก็จะเป็นพวกการออกไล่ล่ามอนสเตอร์พิเศษและการทำไซด์เควสต์ต่าง ๆ ในสไตล์เกม RPG ที่หลายคนน่าจะคุ้นเคยกันดีครับ ผมแนะนำว่าใครที่จะเล่นเกมนี้ก็ควรตระเวนล่ามอนสเตอร์และเก็บไซด์เควสต์นะ เพราะนอกจากเงินรวมถึงค่าประสบการณ์ที่ได้รับแล้ว คุณมักจะได้วัตถุดิบเอาไว้ใช้สร้างอาวุธใหม่ ๆ หรือเครื่องประดับใหม่ ๆ มาไว้ใช้งานเสมอ ๆ และมันจะทำให้ชีวิตคุณสะดวกขึ้นเยอะ นอกจากนั้นแล้วไซด์เควสต์จะยังทำให้เราได้รับรู้ลอร์เพิ่มเติมของเกม หรือของตัวละครสมทบต่าง ๆ มากขึ้นอีกด้วยเหมือนกัน

ภาคนี้จะลดทอนความซับซ้อนในแง่ของการเดินทางลงไป นั่นเพราะคุณจะได้เลือกสถานที่ที่ต้องการไปจากแผนที่แล้วเราก็จะเดินทางไปที่นั่นได้โดยอัตโนมัติ ต่างจากภาคก่อน ๆ ที่มักจะต้องมี World Map ให้ได้เดินทางและเปิดโอกาสให้สำรวจสถานที่ใหม่ ๆ ได้ด้วยตัวเอง หากใครที่ชอบความอิสระในการสำรวจก็อาจรู้สึกขัดใจบ้าง อย่างไรก็ตามในเกมนี้เลยปรับมาเป็นว่าพื้นที่ใหม่ ๆ จะเปิดให้สำรวจได้ก็จากการทำไซด์เควสต์เสียเป็นส่วนใหญ่ครับ

หากคุณอยากได้เกมแอ็กชันความเร็วสูงที่เลือกสร้างสกิลและเลือกเซ็ตคอมโบได้หลากหลายตามใจชอบ นี่คือเกมของคุณแน่ ๆ ส่วนใครที่อยากได้ความเป็นซีเนมาติกสูง ๆ ราวกับชมภาพยนตร์ เกมนี้ก็มีให้คุณอีกเหมือนกัน และในทั้งสองด้านที่ว่ามาเกมนี้ทำได้อยู่ในระดับดีเลิศครับ ที่สำคัญคือถ้าใครเล่นตามเนื้อหาปกติแล้วไม่จุใจ เกมนี้ก็มีพวก Trial ต่าง ๆ ให้ได้ลองฝีมือกันมากมายเลยเหมือนกัน


กราฟิกและการแสดงผล

สำหรับในส่วนของกราฟิกนั้น พวกฉากคัตซีนต่าง ๆ ถือว่าทำได้สวยงามดีตามมาตรฐานที่ควรจะเป็น แม้ว่าพื้นผิววัตถุบางส่วนจะดูไม่เนี้ยบบ้าง แต่คุณภาพโดยรวมอยู่ในขั้นน่าพอใจครับ สีหน้าท่าทางของตัวละครในฉากคัตซีนก็มีการแสดงออกทางอารมณ์ที่ชัดเจน ทั้งการขมวดคิ้วนิ่วหน้า หรือการขยับใบหน้าเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ช่วยสื่อถึงอารมณ์ความรู้สึกในขณะนั้นได้ดี ในทางกลับกัน ถ้าเป็นพวกฉากคุยกันทั่วไปที่ไม่ใช่คัตซีนเฉพาะตัวละครก็จะขยับปากหรือแสดงออกสีหน้ากันแบบแข็ง ๆ ไปหน่อยเหมือนกัน

ตลอดทั้งเกมในรีวิวนี้ผมเปิดเล่นที่ Performance Mode ซึ่งก็ต้องขอบอกตรงนี้ว่าหากเป็นการวิ่งในเมืองหรือในหมู่บ้านที่ไม่มีการต่อสู้นี่ก็จะออกอาการหน่วงและหนืดให้เห็นอยู่ดีครับ แต่ทว่าพอเป็นฉากสู้แล้วเกมจะลื่นขึ้นแบบรับรู้ได้ถึงความแตกต่างเลย ในจุดนี้ผมเลยไม่รู้สึกว่ามันเป็นปัญหาอะไรขนาดนั้น เพราะสิ่งสำคัญสำหรับผมคือเกมแอ็กชันมันควรต้องเล่นได้ลื่น ๆ นี่ล่ะครับ


เพลงประกอบและเสียงพากย์

เพลงประกอบนี่เป็นหนึ่งในองค์ประกอบขั้นเทพของเกมนี้เลย บทเพลงแต่ละเพลงนั้นยิ่งใหญ่ อลังการและมีหลากหลายรูปแบบสมกับบุคลิกลักษณะของแต่ละตัวละคร โดยเฉพาะฉากสู้กับบอสทั้งที่เป็นตัวคนและที่เป็นไอคอนนี่ของดีมาก ๆ

แต่ไม่ใช่แค่เพลงประกอบครับ ในแง่ของเสียงพากย์นี่ตัวละครหลักและตัวละครสมทบต่างก็ทำหน้าที่กันได้อย่างดีเยี่ยม ซีนแสดงอารมณ์นี่คือเค้นกันมาแบบสุด ๆ จริง ฉากเศร้าก็สัมผัสได้ถึงความเศร้าในน้ำเสียง แต่พอฉากโกรธก็รับรู้ได้ถึงการระเบิดอารมณ์ ณ ขณะนั้น ไม่ว่าจะทั้งเพลงประกอบหรือเสียงพากย์นี่คุณภาพชั้นยอดเลย


สรุป

ผมไม่รู้ว่านิยามของไฟนอลแฟนตาซีในใจแต่ละคนคืออะไร แต่สำหรับผมแล้ว FFXVI นี้เป็นเกมที่คุณภาพสูงมาก ทุกสิ่งทุกอย่างที่แสดงให้เห็นในเกมคือความตั้งใจอย่างถึงที่สุดจากทีมสร้างครับ (แม้จะมีบ้างระหว่างเล่นที่รู้สึกเหมือน Game of Throne, เหมือน Berserk, เหมือน Dragon Ball หรือเหมือน Naruto ก็ตามที)

ถามว่าเกมนี้สมบูรณ์แบบไหม? ผมก็คิดว่ายังนะ ยังมีจุดที่ปรับปรุงได้อยู่ แต่ทั้งหมดทั้งมวล มันสนุก มันเต็มอิ่ม และที่สำคัญคือเวลาที่ผมได้ใช้ไปในโลกวาลิสเธียนี้มันไม่สูญเปล่าครับ

The Review

100% เลือกเส้นทางเดิน เมินลิขิตฟ้า

FFXVI คือเกมที่อัดแน่นไปด้วยคุณภาพ ทั้งระบบการเล่น เพลง การนำเสนอ เนื้อหามีครบทุกรสชาติ อาจจะยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่มันเต็มอิ่มครับ

100%

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ข้ามไปยังทูลบาร์