*ขอขอบคุณ Square Enix และ Bandai Namco Entertainment สำหรับโค้ดรีวิวมา ณ โอกาสนี้ครับ
**รีวิวนี้เล่นบน PlayStation 5
ก่อนที่จะไปอ่านรีวิวของ Dragon Quest III HD 2D Remake ในครั้งนี้ซึ่งเป็นภาครีเมกของเกมคลาสสิกระดับตำนานเกมหนึ่งของวงการ ผมเองในฐานะคนเล่นก็ต้องขอออกตัวก่อนเลยว่าผมนั้นไม่เคยเล่นตัวเกมภาคต้นฉบับมาก่อนเลยนะครับ รวมถึงไม่เคยได้เล่นภาคที่มีการปรับปรุงและวางจำหน่ายใหม่หลายต่อหลายภาคก่อนหน้านี้เหมือนกัน ดังนั้นการเล่นของผมจะเป็นการเล่นในฐานะคนที่มาจับภาคนี้เป็นภาคแรกเพียว ๆ เลยนั่นล่ะครับ ว่าแล้วก็ไปกันเลยครับ
เนื้อเรื่อง
สำหรับตัวเกม Dragon Quest III HD 2D Remake นี้ มีเซ็ตติ้งอยู่ในโลกที่มีวัฒนธรรมและบ้านเรือนใกล้เคียงกับสื่อบันเทิงแนวแฟนตาซียุคกลางที่คุ้นเคยกันดีทั่วไป มีอัศวิน มีเวทมนตร์ มีมอนสเตอร์ และมาพร้อมกับปีศาจระดับสูงที่เป็นภัยคุกคามต่อมนุษย์ทั้งมวลในโลกอย่างบารามอส นั่นทำให้นักรบผู้กล้าแห่งอาณาจักรอาเลียฮานอย่างออร์เทกา ตัดสินใจออกเดินทางเพื่อไปกำจัดต้นตอแห่งความชั่วร้าย
แต่ทว่าร่องรอยของเขากลับสูญหายไป และจอมปีศาจบารามอสก็ยังคงทรงอิทธิพลอย่างที่ไม่มีใครสามารถต่อต้านได้ นั่นทำให้ 16 ปีต่อมา สายเลือดแห่งออร์เทกาจึงได้ตัดสินใจออกเดินทางสานต่อภารกิจของผู้เป็นบิดาให้สำเร็จ และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางในครั้งนี้
ถ้าจะพูดกันในแง่ของเนื้อหาแล้ว ผมคิดว่าด้วยความที่ตัวเกมเป็นเกมรีเมกจากฉบับคลาสสิกที่ก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาแกนหลักในส่วนสาระสำคัญเท่าไรนัก เรื่องราวของเกมมันเลยเป็นไปในแบบที่ย่อยง่ายครับ คือเข้าใจง่าย ไม่มีอะไรซับซ้อนตามสไตล์เกมคลาสสิกที่มีรากฐานจากยุคแฟมิคอมแท้ ๆ เลย ตัวละครในเกมส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีบทบาทสำคัญกันมากนัก ดังนั้นจะไม่มีความซับซ้อนในแง่พฤติกรรมหรือมีซีนแสดงอารมณ์เหมือนที่เกมปัจจุบันจะมีกัน กระทั่งจุดหักมุมใหญ่ของเกมเองก็ใส่ลงมาในลักษณะที่ไม่มีการบอกใบ้อะไรมาก่อนเลยเช่นกัน ทุกอย่างจะมีขาวมีดำแบบชัดเจน ไม่มีอะไรที่มันเทา ๆ และชวนให้แอบเห็นใจพฤติกรรมของตัวร้ายหรืออะไรแบบนั้น
ซึ่งในจุดนี้ก็ต้องบอกกันไว้ก่อนเลยว่า ใครที่เล่นเกม RPG ปัจจุบันมาเยอะ ๆ ที่มีเนื้อหาชวนติดตาม มีจุดพลิกผัน มีลูกล่อลูกชนแล้วอยากลองสัมผัสกับหนึ่งในตำนานของเกม RPG แห่งวงการอย่างเกมนี้ ผมคงต้องขอให้ลองวางความคาดหวังในแง่ของเนื้อหาเอาไว้สักหน่อยครับ ลองมองว่าเกมนี้เล่าเรื่องราวสไตล์นิทานเก่า ๆ ที่ดำเนินเรื่องไปเรื่อย ๆ ตามจังหวะของตัวเองแล้วคุณก็จะเล่นเกมได้แบบเพลิน ๆ
เกมเพลย์
ในส่วนของเกมเพลย์นั้น อาจจะเรียกได้ว่ามันเป็นสูตรบางอย่างที่ใช้กันมายาวนานของเกมแฟรนไชส์ Dragon Quest ครับ ทั้งในแง่ของหน้าจอเมนู ตัวเลือก วิธีการเล่น ฯลฯ นั่นเพราะองค์ประกอบหลาย ๆ อย่างนั้นก็ยังมีให้เห็นใน Dragon Quest XI ที่เป็นภาคหลักล่าสุดนั่นล่ะครับ
พวกระบบสู้นั้นก็เป็นอะไรที่ทำความเข้าใจง่ายเพราะเกมจะมีหลัก ๆ ก็คือกดโจมตี กดใช้เวท กดใช้ความสามารถเฉพาะ ซึ่งสิ่งที่คุณใช้ได้ก็จะต่างกันไปตามแต่ละสายอาชีพของตัวละครนั้น ๆ แน่นอนว่าอาวุธและของสวมใส่ก็จะมีความแตกต่างกันไป ดังนั้นความสนุกอย่างหนึ่งของเกมก็คือการจัดปาร์ตี้ที่มีความเข้ากันได้ดีในแง่ของความสามารถครับ หากคุณจัดตี้ของคุณมาแบบครบเครื่องก็จะฟันฝ่าอุปสรรคได้ค่อนข้างไม่ลำบาก ในทางกลับกันถ้าคุณเลือกตี้มาแต่สายบ้าพลังกายภาพ ก็อาจหงายเงิบเพราะไม่มีคนคอยฮีล แต่ถ้าเลือกแต่สายเวทล้วน ๆ ก็มีน้ำตาตกในแน่นอนเวลาไปเจอดันเจี้ยนที่ติดคำสาปใช้เวทไม่ได้อะไรทำนองนั้น
จุดที่ผมคิดว่าน่าชื่นชมของเกมก็คืออิสระในการจัดปาร์ตี้ของเราครับ เพราะคุณสามารถสลับคนเข้าคนออกจากปาร์ตี้ได้ตลอดเวลา หรือจะใช้เพื่อนร่วมตี้คนเดิมแต่ไปเปลี่ยนอาชีพแทนเพื่อเก็บสกิลใหม่ ๆ แทนก็ได้ หากจะมีข้อจำกัดอย่างเดียวก็คือทุกครั้งที่เปลี่ยนอาชีพแล้วจะต้องมาเก็บเลเวลใหม่ แต่ถ้าคุณอดทนหน่อยก็จะได้สมาชิกตี้ที่มีความสามารถรอบตัวมากและจะทำให้คุณต่อสู้ได้สะดวกยิ่งขึ้นไปอีก ถือได้ว่าตัวเกมมอบความยืดหยุ่นให้แก่ผู้เล่นสูงมากเลยทีเดียว
ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมคิดว่าตัวเกมโดยรวมก็ยังติดลักษณะของความโบราณและไม่คล่องตัวอยู่ครับ ต้องบอกก่อนว่าในภาค HD 2D Remake นี้มีการปรับปรุง QoL เข้ามามากระดับหนึ่งแล้ว ซึ่งสิ่งที่เพิ่มเข้ามานี้ช่วยในแง่ของการหาทางไปต่อสำหรับผู้เล่นได้มากเลยครับ ทั้งการบอกตำแหน่งที่ต้องไปบนแผนที่ มีการขึ้นข้อความบอกว่าเป้าหมายในตอนนั้น ๆ ของเราคืออะไร ซึ่งมันช่วยทำให้การเดินทางสำรวจนั้นสะดวกขึ้นมาก เพราะไม่ต้องคลำทางไปเอง
แต่ในความสะดวกนั้น มันก็ยังมาพร้อมกับข้อขัดข้องบางอย่างในการเล่น อย่างเช่นสัญลักษณ์แสดงตัวไอเท็มอาวุธในเกมที่ใช้แทนด้วยสัญลักษณ์ดาบอย่างเดียวเลย ไม่ว่าอาวุธชิ้นนั้นจะเป็นขวาน หรือหอก หรือไม้เท้า ฯลฯ มันเลยทำให้บางทีก็แอบเสียเวลาตอนที่ต้องมาเลื่อนหาชิ้นที่ต้องการ ซึ่งปัญหานี้ก็รวมถึงสัญลักษณ์แสดงเครื่องป้องกันแบบเดียวกันครับที่แทนด้วยภาพเสื้อเกราะแบบเดียวกันหมดโดยไม่มีแยกย่อยประเภทลงไปให้เห็น ถือเป็นความไม่สะดวกอยู่เหมือนกัน
ถึงอย่างนั้น เกมนี้ก็ตอบโจทย์อยู่สำหรับคนที่โหยหารูปแบบเกม RPG คลาสสิก เพราะว่ามีการเดินทางในเวิลด์แมปที่ชัดเจน และแต่ละจุดแต่ละพื้นที่ก็มักมีอะไรซุกซ่อนอยู่ให้แวะเวียนไปลองค้นหาลองสำรวจอยู่เสมอ ๆ เหมาะกับเกมเมอร์สายที่ชอบแวะทุกจุดทุกตารางนิ้วแน่นอน
โดยการขยันแวะสำรวจนั้นมันก็จะมีประโยชน์ในแง่ที่ว่าพาคุณไปเจอไอเท็มเพิ่มเติม หรือบางทีก็ได้มอนสเตอร์ที่เป็นมิตรตัวใหม่ ๆ มาใช้เข้าทีมเพื่อเล่นในเนื้อหาที่เสริมเพิ่มเติมเข้ามาในรอบนี้อย่าง Monster Arena ที่คุณจะได้จัดทีมมอนสเตอร์ไปลุยกับคนอื่นเพื่อล่ารางวัลแจ่ม ๆ นั่นล่ะครับ แถมยังทำให้อาชีพ Monster Wrangler ของคุณ (ถ้าเลือกมา) แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมได้อีกด้วย
ในแง่ความยากของเกมนั้น ผมคิดว่า Dragon Quest III HD 2D Remake นี้มีความยากอยู่ในระดับกลาง ๆ คือไม่ได้ยากชนิดที่ว่าถ้าเลือกคำสั่งผิดแล้วร่วงหมดตี้ แต่ก็ไม่ได้ง่ายชนิดที่ว่ากดคำสั่งตีมั่ว ๆ แล้วจะผ่าน ยังต้องอาศัยการวางแผนอยู่ระดับหนึ่ง แต่ถ้าเล่นไม่ไหวจริง ๆ เกมก็มีให้เลือกปรับความยากง่ายได้ตลอดเวลา ไม่มีข้อจำกัดอะไร เรียกได้ว่าเป็นมิตรกับคนเล่นสุด ๆ แล้วครับ ไม่ว่าคุณจะเป็นสายฮาร์ดคอร์หรือเป็นสายเล่นสบาย ๆ ก็เลือกเล่นตามที่สบายใจได้เลย
กราฟิกและการนำเสนอ
สำหรับกราฟิกของเกมนี้ ผมคิดว่าใครที่เคยเล่นเกม RPG ในรูปแบบ HD 2D จาก Square Enix มาหลายเกมก่อนหน้านี้ก็น่าจะคุ้นเคยกันดีครับ ตัวเกมผสมพิกเซลอาร์ตแบบ 2D เข้าไว้ด้วยกันกับฉากหลังแบบ 3D ที่ก็สวยงามดีใช้ได้ ซึ่งผมเองก็มองคล้าย ๆ กับหลายเกมก่อนหน้านี้ในแบบ HD 2D นั่นล่ะครับว่าตัวเกมสไตล์นี้มันเหมือนเป็นอีกสายวิวัฒนาการหนึ่งของเกม RPG คลาสสิกแน่ ๆ ถ้าหากว่าไม่ได้ตัดสินใจเลือกสร้างเกมเป็น 3D เต็มรูปแบบกัน ถ้าคุณคาดหวังความคลาสสิกก็ได้แน่นอน แต่มันมาในแบบที่สวยงามขึ้นครับ
องค์ประกอบหนึ่งของเกมนี้ที่ผมชอบก็คือการออกแบบแผนที่โลกในเกมที่อ้างอิงมาจากโลกจริง ๆ ของเรานี่ล่ะครับ พวกชื่อเมืองและตำแหน่งที่ตั้งก็จะอ้างอิงมาเช่นกัน และนั่นรวมถึงพวกสถาปัตยกรรมในเมืองด้วย เช่นอาณาจักรโรมาเรีย (Romaria) ก็จะมีสถาปัตยกรรมแบบโรม พอไป Ibis ก็จะมีสถาปัตยกรรมแบบอียิปต์ พอข้ามไป Jipang ก็จะเป็นญี่ปุ่นโบราณ และ Persistence ก็จะมีบ้านเรือนในแบบชนพื้นเมืองอเมริกากันไปเลยอะไรทำนองนั้น
เสียงประกอบ
เพลงประกอบต่าง ๆ ของภาคนี้ เพลงประจำแฟรนไชส์ยังคงยอดเยี่ยมเช่นเคย ส่วนเพลงอื่น ๆ โดยเฉพาะเพลงในฉากต่อสู้นั้นติดหูและฟังได้เพลิน ๆ ดีครับ ผมก็ไม่รู้ว่าเค้ามีคำเฉพาะสำหรับเรียกเพลงประกอบในลักษณะนี้รึเปล่านะ แต่คือเพลงประกอบของเกมนี้ฟังปุ๊บก็รู้ปั๊บว่านี่คือดราก้อนเควสต์แน่นอนแบบไม่ต้องสงสัยน่ะ
สรุป
Dragon Quest III HD 2D Remake ถือเป็นการนำเอาเกมคลาสสิกกลับมาให้ผู้เล่นในยุคปัจจุบันได้สัมผัสกันอีกครั้ง และครั้งนี้น่าจะถือเป็นโอกาสอันดีที่สุดแล้วสำหรับใครที่อยากลองสัมผัสกับเกม RPG ระดับตำนานครับ แม้ว่าระบบเกมจะยังมีความขัดข้องและไม่ทันใจอยู่ แต่เกมก็มีเสน่ห์และมีดีพอที่อยากชวนให้ผู้เล่นยุคใหม่ ๆ ได้มาลองเล่นกันดูครับ