Games News

Onimusha 2 Samurai’s Destiny Remastered – พรีวิว [PREVIEW]

โดย G-jang

Onimusha 2 Samurai’s Destiny Remastered – พรีวิว [PREVIEW]

*ขอขอบคุณ Capcom สำหรับโค้ดพรีวิวมา ณ โอกาสนี้ครับ
**พรีวิวนี้เล่นบน PlayStation 5

สำหรับซีรีส์ Onimusha นั้น เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งซีรีส์ระดับตำนานจาก Capcom ที่มีสไตล์นำเสนอเป็นซามูไรผู้ฟาดฟันปีศาจด้วยพลังแห่งโอนิ โดยมีพื้นหลังอิงประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นแบบหลวม ๆ ที่ไม่เน้นความสมจริงหรือถูกต้องเชิงประวัติศาสตร์มากนัก

ในคราวนี้ถือเป็นภาครีมาสเตอร์ของ Onimusha 2 ที่เคยวางจำหน่ายบน PS2 ไปในปีค.ศ.2002 ที่เรียกได้ว่ากินเวลาไปถึง 23 ปีเลยทีเดียว และการกลับมารอบนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง ผมจะมาเล่าให้ฟังความประทับใจเบื้องต้นครับ


เกริ่นนำ

เหตุการณ์ใน Onimusha 2 นั้นจับเอาเรื่องราวในประเทศญี่ปุ่นยุคเซ็นโกคุปีค.ศ. 1568 ซึ่งห่างจากเหตุการณ์ภาคแรกที่ซามาโนะสุเกะกำจัดฟอร์ทินบราสลงได้มาเป็นเวลา 8 ปี โดยที่โอดะ โนบุนากะซึ่งฟื้นคืนชีพกลับมาเป็นเก็นมะ (ปีศาจมายา) ได้นำทัพของตนออกรุกรานแต่ละแว่นแคว้นทั่วญี่ปุ่นจนเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า ผู้คนล้มตายมากมาย ใครที่กล้าต่อกรล้วนแล้วแต่มีอันต้องโดนกำจัดราบคาบไม่มีข้อยกเว้น และเหยื่อรายล่าสุดก็คือหมู่บ้านยางิวนั่นเอง ตัวเอกของเกมอย่างยางิว จูเบย์ (ซึ่งตามประวัติศาสตร์คือยางิว มุเนโตชิ) รีบรุดกลับมายังหมู่บ้านแต่ก็พบว่าทุกคนล้วนจบชีวิตอนาถ เขาจึงมีเป้าหมายที่จะกำจัดโนบุนากะเพื่อล้างแค้นให้จงได้

อย่างที่ผมบอกไปก่อนหน้านี้ว่า Onimusha คือซีรีส์ซามูไรสู้ปีศาจที่อิงประวัติศาสตร์แบบหลวม ๆ ดังนั้นเหตุการณ์และตัวละครในเกมที่ปรากฏก็จะล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลจริงที่มีตัวตนในประวัติศาสตร์เป็นส่วนใหญ่ บรรดาตัวละครสมทบของเรานั้นมีทั้งฟูมะ โคทาโร่, ไซกะ มาโกอิจิ, อันโคคุจิ เอย์เคย์ และโอยู ที่ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาอาจไม่เคยได้เจอกันเลย แต่เกมก็นำทุกคนมาเจอกันได้ในเกมเพื่อความบันเทิงเพียว ๆ ครับ ดังนั้นเมื่อคุณเล่นเกมนี้คุณต้องไม่สนใจข้อเท็จจริงเชิงประวัติศาสตร์ ไม่อย่างนั้นก็จะเอ๊ะอ๊ะตลอดทั้งเกม (ก็แหม่ จูเบย์เองก็แปลงร่างเป็นโอนิมูฉะไม่ได้ตามประวัติศาสตร์อะ)

สไตล์ของคัตซีนในเกมนี้ ถ้าจะให้ผมอธิบายว่ามันคล้ายอะไรก็น่าจะเรียกได้ว่ามันคล้าย ๆ เวลากำลังดูซีรีส์โทคุซัตสึหรือหนังฮีโร่แปลงร่างจากฝั่งญี่ปุ่นน่ะครับ พวกมุมกล้องเอย จังหวะฉากเอย รวมถึงซีนแอ็กชันมันจะให้อารมณ์แบบนั้นค่อนข้างเยอะอยู่

เนื้อหาของเกมนั้นตรงไปตรงมาไม่มีอะไรซับซ้อน แต่ด้วยดีไซน์ของเกมก็จะทำให้คุณกลับมาวนเล่นซ้ำได้หลายรอบเพราะตัวเกมถูกสร้างมาให้คุณไม่สามารถเห็นหรือเจออะไรได้ครบในรอบเดียวแน่นอน


เกมเพลย์

สำหรับระบบการเล่นของ Onimusha 2 นั้น จะเป็นเกมแอ็กชันที่เน้นการสู้ระยะประชิดด้วยอาวุธจากเหล่าโอนิในรูปแบบของดาบและอาวุธอื่น ๆ เป็นหลัก พร้อมด้วยเกจพลังเวทที่จะทำให้เราใช้ท่าโจมตีพิเศษเล่นงานศัตรูได้ โดยที่รูปแบบมุมกล้องทั้งเกมจะเป็น fixed camera หรือก็คือมุมกล้องสไตล์กล้องวงจรปิดคล้ายกับซีรีส์ Resident Evil ครับ ถ้าจะบอกว่า Onimusha คือซีรีส์ที่ต่อยอดมาจากความสำเร็จของ RE ในยุคคลาสสิกก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

เอกลักษณ์หนึ่งที่หลายคนจดจำได้ของ Onimusha นั้นจะมีหลัก ๆ สองอย่างนั่นก็คือระบบการดูดวิญญาณของคู่ต่อสู้ที่เรากำจัดไปซึ่งในเกมนี้จะมีวิญญาณทั้งหมด 4 แบบที่ให้ประโยชน์ต่างกัน อย่างสีแดงก็เปรียบเสมือนค่าประสบการณ์ที่เรานำไปใช้อัปเกรดอาวุธหรือชุดเกราะของเราเอง สีเหลืองที่จะฟื้นฟูค่าพลังชีวิต สีฟ้าฟื้นฟูพลังเวท และสีม่วงที่เมื่อสะสมครบห้าดวงจะทำให้เราแปลงร่างเป็นโอนิมูฉะได้ชั่วครู่พร้อมพลังโจมตีที่สูงขึ้นและเป็นอมตะชั่วครู่ จึงทำให้ผู้เล่นต้องคอยหาจังหวะที่จะหลบหลีก โจมตี หรือดูดวิญญาณเพื่อชิงความได้เปรียบ

เอกลักษณ์อีกประการหนึ่งก็คงไม่พ้นระบบโจมตีคริติคัลหรือที่เรียกว่าอิซเซ็น (Issen) นี่ล่ะครับ ซึ่งเป็นระบบที่มีตั้งแต่ภาคแรกและก็มีในทุกภาคชนิดที่ว่าถ้าพูดถึง Onimusha ก็ต้องนึกถึงระบบนี้ ถ้าอธิบายแบบง่าย ๆ มันก็คือระบบโจมตีสวนกลับก่อนที่การโจมตีของศัตรูจะโดนตัวเรานั่นแหละ ถ้าคุณกดถูกจังหวะ จูเบย์จะทำการฟันสวนฉับอย่างรุนแรงพร้อมเอฟเฟคต์ประกายแสง ที่หากเป็นศัตรูทั่วไปก็คือโดนทีเดียวไปเกิดใหม่ทันที แต่ถ้าบอสอาจต้องหลายรอบหน่อย ทั้งนี้ทั้งนั้นการกำจัดศัตรูด้วยอิสเซ็นนี่จะทำให้ได้วิญญาณมากกว่าปกติ จึงเป็นระบบที่เรียกได้ว่า High Risk High Reward ที่ว่าถ้าคุณสวนแม่น ๆ ล่ะก็เกมจะง่ายลงบานเบอะเลย แต่ถ้าพลาดก็โดนดาบฟาดแสกหน้าแทน

จุดเด่นประการหนึ่งของภาค 2 นี้ก็คือตัวเกมจะมีระบบสไตล์ RPG แบบเบา ๆ ในแง่ของการใช้ทองที่ได้จากศัตรูเพื่อซื้อไอเท็มในเมืองอิมาโช (Imasho) ซึ่งเป็นเหมือนเมืองฮับ (hub) ในช่วงต้น ๆ ของเกม โดยไอเท็มที่คุณซื้อมาจะไม่ได้ใช้ประโยชน์ในการต่อสู้เลย แต่มีไว้ใช้เพื่อแลกเปลี่ยนกับบรรดาตัวละครสมทบคนอื่น ๆ ในร้านเหล้าของเกม ซึ่งคุณจะได้ของตอบแทนกลับมาต่างกันไปขึ้นอยู่กับว่าเพื่อน ๆ ของคุณชอบของที่คุณให้หรือไม่

และการเลือกให้ของใครนี่ล่ะครับที่จะส่งผลต่ออีเวนต์ที่คุณจะได้เห็นในเกม ยิ่งใครที่สนิทกับคุณมากก็จะยิ่งเห็นอีเวนต์ของคนนั้นมากขึ้น (รวมถึงการเล่นเป็นพวกเขาในบางช่วง) และพวกไอเท็มที่จะได้จากอีเวนต์ก็ต่างกันด้วย

นอกเหนือจากการเล่นสไตล์แอ็กชันแล้ว เกมนี้ก็มีพวกปริศนาให้คุณแก้เรื่อย ๆ ตลอดทั้งเกมโดยส่วนใหญ่จะเป็นการแก้ปริศนากล่องไอเท็มที่ไม่จำเป็นต่อการผ่านเนื้อเรื่อง แต่ถ้าคุณแก้ได้ก็จะได้ไอเท็มดี ๆ มาใช้เช่นอาจจะเพิ่มขีดสูงสุดพลังชีวิต หรือพลังเวท หรืออาจจะเป็นคัมภีร์ท่าสำหรับอาวุธบางชิ้นอะไรแบบนั้น

ทั้งหมดที่ว่าไปก็คือรูปแบบการเล่นหลักของ Onimusha 2 ซึ่งเป็นไปตามต้นฉบับครับ เพียงแต่ว่าในรอบนี้ที่รีมาสเตอร์กลับมาใหม่นั้น ทีมงานก็ได้ทำการปรับปรุงเพิ่มเติมเพื่อความสะดวกหลายประการด้วยกัน ซึ่งผมขอแจกแจงรายละเอียดดังนี้ครับ


การปรับปรุงในฉบับรีมาสเตอร์

การควบคุมด้วยอนาล็อก

เดิมทีตัวเกมต้นฉบับจะบังคับโดยใช้ปุ่มทิศทาง 8 ทิศเท่านั้น ด้วยความที่เกมสืบทอดวิธีการควบคุมสไตล์ tank control มาจากซีรีส์ RE ที่เมื่อคุณกดบนตัวละครจะเดินหน้า และกดซ้ายก็จะหันไปซ้ายตามทิศของตัวละคร แต่รอบนี้คุณใช้อนาล็อกเพื่อบังคับตัวละครได้แล้วที่ก็ทำให้การบังคับนั้นรวดเร็วกว่าเดิมมาก อย่างน้อยการหันก็เร็วขึ้นเยอะ แต่ผมคิดว่าการใช้อนาล็อกก็แอบมีปัญหาเหมือนกัน เพราะว่าเดิมทีเกมออกแบบมาเพื่อการบังคับแบบ tank control เป็นหลัก ดังนั้นพอใช้อนาล็อกเล่นแล้ว เวลามุมกล้องมันเปลี่ยนนี่จะเกิดอาการงงทิศงงทางได้ค่อนข้างง่ายครับ ยิ่งตอนเวลาที่คุณวิ่งเข้าหาจอแต่มุมกล้องเปลี่ยนฉับไปเป็นออกห่างจากจอกะทันหันนี่ มันมักทำให้ต้องชะงักเพื่อตั้งหลักหาทิศทางเสมอ (และมักจบลงที่โดนหวดฟรี)

การเปลี่ยนอาวุธได้ในระหว่างเล่น

เกมต้นฉบับนั้นวิธีการสลับอาวุธจะใช้ระบบแบบเดียวกับซีรีส์ RE คลาสสิก นั่นคือการกดเรียกหน้าจอเมนูของสวมใส่ขึ้นมาแล้วก็กดสลับอาวุธ ซึ่งหลายคนก็อาจจะมองว่ามันทำให้จังหวะการเล่นสะดุดลง รอบนี้ที่เกมกลับมาแบบรีมาสเตอร์ ทีมงานก็เลยเพิ่มระบบการเปลี่ยนอาวุธระหว่างเล่นลงมา ซึ่งมันก็ทำให้ไม่ต้องกดหยุดเกมเข้าเมนูเพื่อสลับอาวุธทุกครั้งครับ แต่…มีแต่อีกแล้ว ผมคิดว่าเดิมทีเกมออกแบบมาโดยไม่ได้กะจะรองรับการเปลี่ยนอาวุธแบบนี้ มันเลยทำให้ทุกครั้งที่จะสลับอาวุธคุณต้องกดปุ่ม L2 ค้างไว้แล้วใช้ปุ่มทิศทางไล่หาชิ้นที่ต้องการ ซึ่งสภาพแวดล้อมมันก็ไม่หยุดเกมตามให้ ดังนั้นการเลือกระหว่างสู้จึงเป็นการเปิดโอกาสให้ศัตรูมีจังหวะตีคุณนั่นล่ะครับ

การสะสมวิญญาณม่วงไว้ใช้งานทีหลัง

จุดหนึ่งที่สะดวกและทำให้เกมง่ายลงพอสมควรก็คือระบบการสะสมวิญญาณม่วงนี่ล่ะครับ เดิมทีในเกมต้นฉบับนั้นเมื่อคุณเก็บวิญญาณม่วงครบ 5 ดวงปั๊บ จูเบย์จะแปลงร่างเป็นโอนิมูฉะทันที ซึ่งก็จะมีหลายโมเมนต์ที่แปลงตอนที่ยังไม่อยากให้แปลง หรือแปลงตอนที่ไม่เหลือศัตรูให้หวดแล้ว รอบนี้ตัวเกมเลยปรับให้คุณกดเลือกใช้งานได้เองในจังหวะที่ต้องการ ดังนั้นหากเลือกแปลงร่างในตอนสู้บอสก็จะทำให้คุณได้เปรียบขึ้นอย่างมากเลยทีเดียว

โหมดความยากใหม่ Hell Mode

นี่คือโหมดที่เพิ่มเข้ามาในฉบับรีมาสเตอร์นี้ ถ้าใครเคยเล่นต้นฉบับมาแล้วคิดว่าโหมด Critical ที่ศัตรูจะตายเมื่อคุณโจมตีด้วยคริติคัลเท่านั้นยังไม่ยากพอ มาลองโหมด Hell กันได้เลยครับ นี่คือความยากระดับที่ว่าอะไรมาสะกิดคุณหนึ่งจึ้กก็ลงไปนอนแผ่กับพื้นได้ทันที ถือเป็นโหมดที่ความเสี่ยงสูงมากชนิดที่ว่าแม้คุณจะคิดว่าตัวเองเซียนกับการดักเคาเตอร์ก็ยังต้องคิดหนัก เพราะถ้าพลาดทีก็อาจต้องย้อนไกลไปเช็คพอยต์ล่าสุด พูดง่าย ๆ ก็คือเปลี่ยนเกมจาก Onimusha ให้กลายเป็น Makaimura (Ghosts’n Goblins) ไปเลยในบัดดล เผลอ ๆ อาจจะหนักกว่าด้วยเพราะไม่เปิดโอกาสให้พลาดเลย

โบนัสต่าง ๆ

จุดที่ผมชอบอย่างหนึ่งของฉบับรีมาสเตอร์นี้ก็คือพวกโหมดพิเศษต่าง ๆ นั้นถูกปลดล็อกออกมาให้เล่นตั้งแต่แรกเลยโดยที่ไม่จำเป็นต้องจบเกมก่อน หรือเล่นเงื่อนไขพิเศษเพื่อปลดล็อกตามต้นฉบับครับ สำหรับใครที่ชื่นชอบเกมนี้เป็นทุนเดิม พวกงานภาพต่าง ๆ ใน Gallery ก็มีให้ชมจุใจไม่เบาครับ พวกภาพสเก็ตช์ตัวละครเวอร์ชันโปรโตไทป์หรือพวกงานศิลป์ฉากนี่น่าจะถูกใจแฟน ๆ หลายคนไม่น้อยอยู่ ชุดพิเศษของโอยูและจูเบย์ก็เลือกใช้ได้ตั้งแต่ต้นเกมเลยเหมือนกัน


กราฟิกของเกม

ในส่วนของงานภาพนั้น ถือว่าเป็นการรีมาสเตอร์ที่ทำออกมาได้ไม่น่าเกลียด โมเดลตัวละครมีความคมชัดขึ้นสมกับยุคปัจจุบัน เพียงแต่ว่าจะไม่มีการเพิ่มเติมรายละเอียดเท็กซ์เจอร์ให้มันละเอียดขึ้นเหมือนที่บางเกมทำ แค่ใช้โมเดลเดิมที่แสดงผลได้สมกับยุคนี้เท่านั้น ฉากหลังที่เป็นพรีเรนเดอร์เองก็เป็นในลักษณะเดียวกัน คือทุกอย่างจะเหมือนต้นฉบับแต่คมชัดขึ้นนั่นล่ะครับ ซึ่งตลอดการเล่นนั้นผมไม่เห็นการแสดงผลจุดไหนที่ประหลาดหรือมีปัญหาแต่อย่างใดนะ


งานเสียงของเกม

สำหรับด้านงานเสียงนั้น ก็ยกยอดจากต้นฉบับมาทั้งหมดในส่วนของเพลงประกอบเอย เสียงเอฟเฟคต์เอย เลยอาจจะไม่มีแง่มุมเรื่องการปรับปรุงให้พูดถึงมากนัก แต่ก็ต้องบอกว่าของเดิมดีอยู่แล้วด้วยนะ พวกเสียงเอฟเฟคต์ตอนต่อสู้ ไม่ว่าจะตอนดาบปะทะกันดังเคร้ง หรือเสียงฉัวะฉึกตอนโจมตีโดนศัตรูก็ทำออกมาดี รู้สึกได้ถึงคมดาบที่แยกเนื้ออยู่ ยิ่งตอนที่อิซเซ็นได้นี่เสียงฉัวะจะสะใจเป็นพิเศษ


Onimusha 2: Samurai’s Destiny Remastered จะวางจำหน่ายวันที่ 23 พฤษภาคมนี้บน PC, PS4, Switch, และ Xbox One

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ข้ามไปยังทูลบาร์