Games News Reviews

Clair Obscur Expedition 33 – รีวิว [REVIEW]

โดย G-jang

Clair Obscur Expedition 33 – รีวิว [REVIEW]

*ขอขอบคุณโค้ดรีวิวจาก Bandai Namco Entertainment มา ณ โอกาสนี้ครับ
**รีวิวนี้เล่นบน PlayStation 5

หากจะมีอะไรที่ผมอยากสารภาพตามตรงก็คือ ผมเคยเห็นข่าวและได้ยินเกี่ยวกับเกม Clair Obscur Expedition 33 นี้มาบ้างก่อนที่เกมจะวางจำหน่ายแต่ไม่ได้ติดตามอะไรมากนัก พอจะรู้แค่ว่าเป็นเกมเทิร์นเบส RPG ที่สร้างโดยทีมงานสัญชาติฝรั่งเศสและก็เกือบจะลืมไปเลยจนวันที่เกมวางจำหน่าย ซึ่งหลังจากที่ได้สัมผัสนั้น ผมก็เลยอยากมาเล่าความรู้สึกให้ได้อ่านกันครับ


เนื้อเรื่อง

สำหรับเซ็ตติ้งของ Clair Obscur Expedition 33 นี้ บอกเล่าเหตุการณ์ในโลกดาร์กแฟนตาซีที่มีสภาพแวดล้อมและสถาปัตยกรรมในแบบยุค Belle Epoque หรือยุคสวยงามของฝรั่งเศส โดยผู้เล่นจะได้รับรู้การฝ่าฟันและผจญภัยของบรรดานักสำรวจแห่งเมือง Lumiere ที่จะต้องออกเดินทางเพื่อไปกำจัดผู้วาดภาพศิลป์ (Paintress) ซึ่งคอยกำจัดผู้คนผ่านพิธีกมมาจ (Gommage) ในแต่ละปี โดยใครที่อายุถึงตัวเลขที่กำหนดบนแผ่นศิลาก็จะต้องโดนลบหายไปเหลือเพียงกลีบกุหลาบที่ปลิวตามสายลม ตัวเลขที่ว่าก็จะลดลงทุกปี ดังนั้นมนุษย์ที่เหลือจึงจัดคณะสำรวจเพื่อไปหยุดยั้งผู้สร้างศิลป์ หาไม่เช่นนั้นมนุษยชาติก็คงถึงคราวสูญพันธุ์ และในเกมนี้คณะสำรวจของผู้เล่นก็คือคณะที่ 33 ตามชื่อเกมนั่นเองครับ

ก่อนอื่นเลยผมต้องชมทีมงานที่นำเสนอโลกในเกมออกมาได้น่าสนใจแต่เริ่ม ผมรับรู้ได้ถึงความแปลกประหลาด ความน่าฉงน แต่ก็คุ้นเคยตั้งแต่เริ่มเกม ด้วยสิ่งก่อสร้างที่คนทั่วไปน่าจะคุ้นเคยและรู้จักกันดีอย่างหอไอเฟลที่มีสภาพผุพังบิดเบี้ยว แม้แต่ประตูชัยอีกสัญลักษณ์ของฝรั่งเศสก็แตกหักลอยค้างกลางอากาศ มันดึงให้เราติดตามได้ในทันทีและชวนให้หาคำตอบว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่เกิดคืออะไร? ซึ่งซีนเปิดเกมนั้นทรงพลังมาก ๆ ในแง่การเล่าเรื่อง ด้วยฉากเริ่มที่รื่นเริงสดใสในแบบงานเทศกาลครั้งใหญ่ ก่อนที่ตัวเกมจะกระชากโทนเรื่องให้กลายเป็นความหดหู่สิ้นหวังได้ในพริบตาจนรับรู้ได้ว่าสถานการณ์ที่เป็นมันเลวร้ายเพียงใด

อีกจุดหนึ่งที่ต้องชื่นชมจริง ๆ ก็คือบรรดาตัวละครแต่ละตัวนั้นมีบุคลิกและนิสัยที่น่าสนใจ มีเสน่ห์และน่าติดตาม บทสนทนานั้นทำออกมาได้มีชีวิตชีวา เมื่อผนวกกับการแสดงออกทางสีหน้าของตัวละครมันเลยทำให้แต่ละซีนนั้นทรงพลังมาก ๆ ยิ่งพวกซีนชวนช็อกนี่จะกระชากอารมณ์ผู้เล่นแบบปรับตัวกันไม่ทันเลย แถมพวกจุดหักมุมชนิดที่คาดไม่ถึงก็เยอะมากด้วย ทุกคนจะทำให้ผู้เล่นรู้สึกผูกพันได้ง่ายมากทั้งกุสตาฟ ลูเน มาเอล ชิเอล เวอร์โซ โมโนโค แต่ละคนนั้นมีบุคลิกที่โดดเด่นและจะทำให้คุณเอาใจช่วยพวกเขาตลอดทั้งเกม

ทั้งนี้ทั้งนั้น จุดที่ทำให้ผมชอบมากในแง่ของเนื้อเรื่องก็คือหากว่ากันตามจริงแล้ว Clair Obscur Expedition 33 นี้เป็นเกมที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า ความเหงา และการเผชิญหน้ากับความสูญเสียครับ สิ่งเหล่านี้จะปรากฏให้คุณได้รับรู้รับทราบตลอดทั้งเกม ไม่ว่าจะผ่านเนื้อหาหลัก ผ่านตัวละครรอง ผ่านสภาพแวดล้อมในโลกของเกม รวมถึงบรรดาบันทึกมากมายที่คุณจะหาเก็บได้ทั้งเกมที่จะทำให้คุณรับรู้ชะตากรรมสุดท้ายของคณะสำรวจก่อนหน้าคุณ แต่แก่นสารของเกมนั้นคือการตั้งคำถามกับผู้เล่นว่า แล้วคุณจะรับมือกับความสูญเสียที่เกิดขึ้นเหล่านั้นอย่างไร

ประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวและการหาวิธีรับมือความสูญเสียที่ต้องเผชิญ โดยที่แต่ละคนล้วนมีวิธีรับมือที่ต่างกันไปก็เป็นอีกประเด็นที่ได้รับการเน้นย้ำบ่อยครั้งตลอดทั้งเกม แต่ว่าตัวเกมมีวิธีในการเล่าที่มีจังหวะจะโคนและมีชั้นเชิงครับ ที่สำคัญคือตัวเกมนั้นมีระบบ New Game Plus ที่ให้คุณเล่นวนรอบได้ตั้งแต่ต้น และเมื่อคุณทราบที่มาที่ไปทั้งหมดของเรื่องราวแล้ว พอลองมาชมเนื้อหาของเกมใหม่อีกครั้ง คุณจะเข้าใจมากขึ้นในหลายอย่างผ่านบทสนทนาและการกระทำของตัวละครแน่นอน

บทสรุปของเรื่องราวนั้นจะทำให้คุณลองตั้งคำถามกับตัวเองครับ ว่าหากเผชิญหน้ากับความสูญเสียในสถานการณ์แบบเดียวกันคุณจะทำอย่างไร ซึ่งผมอยากให้ทุกคนเก็บไว้ลองตอบกับตัวเองในการเล่นกันดูนะครับ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรเสีย “วันพรุ่งนี้จะมาถึง” แน่นอน


เกมเพลย์

ในแง่ของเกมเพลย์นั้น Clair Obscur Expedition 33 คือเกม RPG ที่ใช้ระบบการเล่นแบบเทิร์นเบสหรือผลัดกันตีในแบบที่หลายคนน่าจะคุ้นเคยกันดีที่ผู้เล่นจะต้องเลือกคำสั่งว่าจะโจมตี จะใช้ท่า จะใช้ไอเท็มหรืออะไรอื่น ๆ แบบนั้น เพียงแต่ว่าเกมนี้จะมีการเพิ่มองค์ประกอบของเกมแนวอื่น ๆ เข้ามาเพิ่มรสชาติครับ

องค์ประกอบที่ว่าก็อย่างเช่นการกด QTE ตอนใช้ท่าเพื่อเพิ่มความแรง คล้ายเกมอย่าง The Legend of Dragoon หรือ Shadow Hearts ขณะเดียวกันพอเทิร์นของศัตรูนั้น ผู้เล่นจะมีตัวเลือกในการกดปัด (parry) หรือกดหลบ ซึ่งก็จะต้องใช้ตาดูและหูฟังเพื่อจับจังหวะเอาเอง ถ้าคุณปัดได้หมดก็จะโจมตีสวนกลับได้รุนแรง หรือถ้าใครปัดไม่แม่นก็กดหลบแทนก็ได้ ซึ่งถ้าคุณเป๊ะพอก็จะจบการต่อสู้แบบไม่โดนโจมตีเลยยังได้ ซึ่งเมื่อเล่นไปเรื่อย ๆ เกมก็จะเพิ่มระบบเข้ามาเรื่อย ๆ เช่นการต้องกระโดดหลบการโจมตี หรือสวนกลับด้วยท่าพิเศษ และแน่นอนว่าพวกศัตรูก็จะมีการมิกซ์การโจมตีดังกล่าวเข้ามา ทำให้คุณนั่งเอนหลังกดเลือกคำสั่งอย่างเดียวไม่ได้เลย แต่ละไฟต์นี่สติต้องอยู่กับตัวตลอดเวลา

นอกจากนั้นตัวเกมยังมีระบบการเล็งยิงแบบแมนนวลอีก เพราะในบางครั้งคุณอาจเจอศัตรูที่มีจุดอ่อนพิเศษ ถ้ายิงโดนก็จะทำแดเมจมันได้มหาศาล หรือไม่ก็อาจจะขัดจังหวะการโจมตีด้วยท่าใหญ่ของพวกมันได้เช่นกัน ตัวเกมก็เลยเป็นเกมเทิร์นเบสที่มีไดนามิกสูงมากจนเกือบจะเป็นเกมแอ็กชันแนว Souls กลาย ๆ เหมือนกัน เพราะว่าพวกบอสลับทั้งหลายนี่ดุถึงดุมากประเภทที่ว่าปัดพลาดหรือหลบพลาดนี่มีหลับได้ง่าย ๆ หรือก็คือเมื่อใดก็ตามที่คุณไปเจอะเข้ากับบอสที่ไม่บังคับสู้ทั้งหลายนี่คุณจำเป็นต้องโดนกวาดตี้ก่อนสักรอบสองรอบแน่นอนเพื่อจำแพทเทิร์นและจำมูฟเซ็ตของบอสครับ

แต่จุดเด่นจริง ๆ ของระบบต่อสู้เกมนี้ก็คือความแตกต่างและจุดเด่นของแต่ละตัวละครครับ เกมนี้ทุกคนในปาร์ตี้ของคุณจะมีระบบการเล่นเฉพาะตัวกันหมด ไม่มีใครที่ซ้ำกันเลย เช่นกุสตาฟก็จะมีระบบสะสมพลังงานที่ยิ่งสะสมเยอะยิ่งใช้ท่าได้แรง ลูเนที่จะมีระบบเก็บพลังธาตุที่จะใช้เสริมพลังให้เวทอื่น ๆ มาเอลก็จะมีระบบเปลี่ยนท่าเตรียมสู้ที่ให้ผลต่างกัน ชิเอลมีระบบสะสมพลังไพ่ตะวันจันทราเพื่อเข้าสภาวะเสริมพลัง เวอร์โซมีการสะสมแรงก์จากการโจมตีและหลบหลีกเพื่อเพิ่มพลัง (แบบเดวิลเมย์คราย) และโมโนโคก็มีระบบการสลับหน้ากากที่จะส่งผลต่อสกิลโดยตรงเมื่อใช้หน้ากากที่ตรงกัน โดยหน้ากากได้จากการกำจัดศัตรูเหมือนเวทน้ำเงินในไฟนอลแฟนตาซี

ทั้งหมดนี้มันเลยทำให้การจัดทีมของคุณมีความหลากหลายมาก จะไม่มีตัวละครไหนเลยที่รู้สึกว่าซ้ำกันครับ

แน่นอนว่าพอเป็นเกม RPG เทิร์นเบสก็ต้องมีระบบการปรับแต่งตัวละคร ซึ่งในเกมนี้ก็จะมีค่าพลังให้คุณเลือกอัปตัวละครเมื่อเลเวลอัปว่าอยากให้ใครเด่นด้านไหน ซึ่งก็จะสัมพันธ์กับอาวุธที่ใช้ในขณะนั้นด้วยว่าอาวุธจะ scale กับค่าพลังด้านใด ส่วนพวกสกิลท่าโจมตีที่ใช้ได้นั้นก็จะต้องเลือกปลดล็อกจากสกิลทรีของแต่ละคน จากนั้นก็เลือกติดตั้งไปใช้ในการต่อสู้ได้สูงสุด 6 สกิลด้วยกันครับ

ทั้งนี้ทั้งนั้น ส่วนที่เปิดอิสระในการปรับแต่งจริง ๆ ก็จะเป็นด้านของ Pictos หรือก็คือของสวมใส่ในเกมนี้ครับ แต่ละชิ้นนั้นจะมาพร้อมกับการเพิ่มค่าพลังให้กับตัวละครของคุณซึ่งจะติดตั้งได้สูงสุดสามชิ้นด้วยกัน ทีเด็ดจะอยู่ที่แต่ละชิ้นซึ่งจะมาพร้อมกับแพสซีฟสกิลที่พอคุณติดชิ้นใดไว้แล้วไปต่อสู้ครบสี่รอบก็จะปลดล็อกแพสซีฟสกิลนั้นมาใช้ได้ทุกคนโดยที่ไม่ต้องติด Pictos ชิ้นนั้นก็ได้ (แต่ต้องมีค่า Lumina ถึงกำหนดเปิดใช้งาน) ก็เลยเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เล่นได้ลองหาหรือปั้นบิลด์ที่เหมาะกับตนเอง แล้วพอผสมกับการจัดทีมแล้ว คุณเลยจะมีส่วนผสมที่เป็นไปได้เยอะมาก รองรับสไตล์การเล่นแทบทุกแบบก็ว่าได้ครับ

พอว่ากันถึงในส่วนของการสำรวจนั้น เกมนี้ก็จะมีระบบเวิลด์แมปในสไตล์เกม RPG คลาสสิกที่คุณจะได้วิ่งไปวิ่งมาบนแผนที่ แล้วพอไปถึงสถานที่สำคัญก็จะเป็นการกดเข้าสถานที่นั้น ๆ ให้คุณไปวิ่งเล่นอีกที ในส่วนของการสำรวจสถานที่แต่ละจุดนั้นก็จะผสมองค์ประกอบแอ็กชันเล็ก ๆ น้อย ๆ ครับ เพราะในหลายจุดคุณอาจต้องโดดข้ามช่องว่าง ปีนป่ายในจุดที่กำหนด หรือใช้พลังเล็งยิงวัตถุในฉากเพื่อแก้ปริศนา เป็นต้น มันเลยทำให้คุณมีอะไรให้ค้นหา มีอะไรให้ทำมากกว่าการวิ่งไปยังจุดหมายแล้วสู้กับศัตรูตามทาง

ถึงอย่างนั้นก็ตาม ในแง่ของการสำรวจนี้ตัวเกมขาดสิ่งอำนวยความสะดวกใหญ่ ๆ ให้กับผู้เล่นประการหนึ่งนั่นคือแผนที่ครับ คือถ้าออกเวิลด์แมปแล้วคุณสามารถกดดูแผนที่โลกได้เพื่อดูว่าสถานที่ไหนอยู่จุดไหน และถ้าเป็นภารกิจหลักของเกมก็จะมีบอกตำแหน่งที่ควรไปด้วย แต่พอเข้าสถานที่เฉพาะแล้วมันกลับไม่เป็นแบบนั้น

เพราะเมื่อคุณเข้าในสถานที่ใดก็ตาม เกมดันไม่มีมินิแมปให้คุณได้เช็คว่าตอนนี้อยู่ตรงไหน และต้องไปทางไหนต่อ จะเช็คเพื่อสำรวจทางที่ยังไม่เคยไปก็ยาก แล้วประเด็นคือตัวเกมก็ดันมีจุดให้สำรวจเยอะซะด้วยครับ หลายจุดเลยต้องอาศัยความจำล้วน ๆ ว่าจุดไหนเคยไปแล้วจุดไหนยังไม่ไป แน่นอนว่าหลายครั้งก็จะมีจุดที่ตกสำรวจแบบเลี่ยงไม่ได้ครับ แต่บางครั้งหากคุณลัดเลาะสำรวจละเอียดก็จะไปเจอเข้ากับพวกบอสพิเศษที่เลเวลมันสูงกว่าศัตรูปกติในแมปนั้น ๆ ที่รอดักตบผู้เล่นในแทบทุกแมป (ถ้าคุณปัดแม่นหลบแม่นพอก็ยังเอาชนะได้อยู่ครับ)

อีกจุดหนึ่งที่เกมไม่ได้อำนวยความสะดวกให้ผู้เล่นก็คือเกมนี้จะไม่มีคลังข้อมูลหรือบันทึกเกี่ยวกับเควสต์ให้ ผู้เล่นต้องจดจำเอาเองในแบบเกมคลาสสิกแท้ ๆ ว่าคนแจกเควสต์อยู่ตรงไหนและคุณต้องไปหาอะไรมาให้ มันเลยจะลำบากเอาเรื่องเวลาคุณอยากจะติดตามความคืบหน้าของเควสต์นี่ล่ะครับ

อย่างไรก็ตาม ในแง่ของระบบการเล่นโดยรวมนั้นถือได้ว่าทีมงานออกแบบระบบการเล่นออกมาได้ดีและสนุกถูกใจเกมเมอร์หลายแนวแน่นอน หากคุณเป็นเกมเมอร์สายที่คิดว่าการเก็บความสำเร็จนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญก็จะเล่นได้แบบไม่ตึงมือเกินไป ส่วนสายเก็บความสำเร็จนั้นเกมก็จะมีประสบการณ์ระดับฮาร์ดคอร์มารอเสิร์ฟให้คุณอย่างที่ต้องการ

นอกจากทั้งหมดที่ว่าไป จุดอื่นที่ต้องชมก็คือพวกอารมณ์ขันและมุกต่าง ๆ ที่คุณจะได้พบในเกมนี่ล่ะครับ ทีมงานเลือกที่จะหยอดมีมเล็ก ๆ น้อย ๆ ลงมาพอกรุบกริบ หรือแม้แต่มินิเกมขำ ๆ ก็มีประปรายมาตัดรสชาติอยู่เนือง ๆ ทำให้มีอะไรเล่นได้เพลิน ๆ ที่ไม่ใช่การต่อสู้ …แม้ว่าบางทีการเล่นมินิเกมให้เคลียร์มันจะหัวร้อนมากกว่าเพลินก็เถอะนะ


กราฟิก

กราฟิกเกมนี้สวยงามมากครับ ด้วยพลังของ Unreal Engine 5 ที่ใช้ในการพัฒนาบรรดาเสื้อผ้าหน้าผมตัวละครก็เลยดูสมจริงไปหมด ยิ่งพวกเอฟเฟกต์ท่าโจมตีนี่พอไปหลัง ๆ จะเล่นใหญ่อลังการกันมาก ทุกอย่างดูเวอร์ ดูทรงพลังจนเหมือนไม่ใช่เกมจากทีมงานฝั่งตะวันตก แต่จุดที่ต้องยกย่องเลยก็คืองานออกแบบศิลป์ครับ ทุกอย่างในเกมมันคือความผสมผสานของความสมจริงกับความเซอร์เรียล แต่มันไปกันได้แบบลงตัว คุณจะได้เห็นสถาปัตยกรรมและวัตถุต่าง ๆ ในสไตล์ยุค Belle Epoque แต่มีองค์ประกอบความแฟนตาซีที่ผสมอยู่ชัดเจน

ทุกอย่างที่เห็นและทุกสถานที่ที่ไปมันเลยจะมีอะไรที่ทำให้คุณทึ่งและประหลาดใจได้แทบตลอดเวลา พวกดีไซน์ศัตรูบางตัวนี่ก็จะเหมือนเป็นพวกงานศิลป์เชิงนามธรรมในแบบที่ว่าเหมือนจะดูออกบ้างดูไม่ออกบ้างว่ามันเป็นตัวอะไร ประมาณนั้นน่ะครับ

จุดที่ต้องพูดถึงอีกอย่างก็คือเกมนี้จะมีการเล่นสี รวมถึงแสงและเงาบ่อยมากเพื่อใช้ขับเน้นอารมณ์ของฉากที่กำลังนำเสนอ โดยรูปแบบหนึ่งที่เกมใช้บ่อยก็คือการเล่าเรื่องด้วยการใช้ภาพขาวดำครับ ซึ่งก็ทำออกมาได้ดีมาก ทั้งให้ความรู้สึกลึกลับ อึดอัดและความไม่สบายใจทุกครั้งที่ฉากเปลี่ยนไปและนำเสนอในลักษณะนี้ เพราะผู้เล่นจะรับรู้ได้ว่ามันจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่นอน (ก็สมชื่อเกม Clair Obscur ล่ะนะ)


งานเสียง

ผมคิดว่าตัวอักษรไม่สามารถบรรยายคุณภาพและความสวยงามของเพลงประกอบเกมนี้ได้จริง ๆ เพลงของเกมนี้ถ้ามีคะแนนเต็ม 10 ผมก็ให้ 100 ครับ พูดง่าย ๆ คือถ้าขาดเพลงไปเกมนี้จะไม่สมบูรณ์ได้เลย เพลงคือองค์ประกอบหลักแทบจะทั้งเกมก็ว่าได้ นี่คือสิ่งที่ส่งเสริมอารมณ์ในแต่ละคัตซีนโดยแท้จริง เมื่อเห็นฉากที่ต้องจากลาเพลงก็จะช่วยขับเน้นความเศร้า เมื่อเข้าการต่อสู้ครั้งสำคัญบทเพลงก็จะเร่งเร้าอารมณ์ให้คุณตื่นตัวและรับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ ยังไม่นับว่าเสียงพากย์ของนักแสดงแต่ละคนนี่ทำถึงกันมาก ๆ ทุกคนทุ่มกันสุดฝีมือจริง ๆ

ลองฟังเพลงที่เผยแพร่อย่างเป็นทางการโดยสตูดิโอผู้พัฒนาเกมกันได้เลยครับ


สรุป

Clair Obscur Expedition 33 นั้นเป็นเกมที่มีองค์ประกอบความเป็นงานศิลป์ชั้นเยี่ยมหลายอย่างประกอบกัน และในความเป็นเกมนั้นก็มีองค์ประกอบเกมหลายแนวประกอบกัน ซึ่งทั้งหมดนี้ผสมกันแล้วออกมาลงตัว พร้อมด้วยเนื้อหาที่จะสะเทือนอารมณ์ผู้เล่นครับ แม้จะมีข้อที่อยากให้ปรับปรุงบ้าง แต่เมื่อเทียบกับข้อดีแล้วนี่คือหนึ่งในเกม RPG เทิร์นเบสของปีที่ผมเทใจให้เลย และก็หวังว่าอย่างน้อยเกมจะได้ RPG of the Year ไปครองในงาน The Game Awards 2025 ครับ

The Review

100% When one falls, we continue.

Clair Obscur Expedition 33 คือเกม RPG เทิร์นเบสที่สวยงามในทุกองค์ประกอบ การเล่นที่ออกแบบมาดี การนำเสนอที่จับใจ เพลงประกอบสุดไพเราะ และองค์ประกอบศิลป์อันยอดเยี่ยม เกมนี้จะเป็นการตั้งมาตรฐานให้เกมอื่น ๆ ได้จับตามองแน่นอน

100%

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ข้ามไปยังทูลบาร์