Games News Reviews

Death Stranding 2: On the Beach – รีวิว [REVIEW]

โดย G-jang

Death Stranding 2: On the Beach – รีวิว [REVIEW]

*ขอขอบคุณ Sony Interactive Entertainment สำหรับโค้ดรีวิวมา ณ โอกาสนี้ครับ

หากเอ่ยชื่อ Death Stranding แล้ว ผมเชื่อว่าเกมเมอร์หลายคนต้องเคยได้ยินชื่อ เคยเล่น หรือเคยผ่านหูผ่านตากันมาพอสมควร เพราะนี่คือผลงานของหนึ่งในผู้สร้างสรรค์ตัวพ่ออีกคนหนึ่งประจำวงการอย่างคุณฮิเดโอะ โคจิมะที่หลายคนจะจดจำเขาได้จากผลงานชิ้นเอกที่ผ่านมาอย่าง Metal Gear Solid นะครับ

และ Death Stranding นี้ก็เป็นผลงานที่เขาส่งออกมาให้โลกได้สัมผัสเมื่อปีค.ศ.2019 และสร้างความฮือฮาในวงการมาแล้ว และ 6 ปีต่อมา Death Stranding 2 นี้ก็ออกมาให้ได้เล่นกันนี่ล่ะครับ และทีมงานไทยเกมวิกิเล่นเกมนี้แล้วรู้สึกอย่างไร ผมจะมาเล่าให้ฟังครับ ว่าหลังจากผ่านไป 110 ชั่วโมงนั้นผมรู้สึกอย่างไรกับเกมนี้บ้าง


เนื้อเรื่อง

สำหรับ Death Stranding 2: On the Beach นั้น จะเดินเรื่องราวต่อเนื่องจากภาคแรกภายหลังจากที่เวลาผ่านไปราว 1 ปี ในโลกที่สภาพสังคมและวิถีชีวิตของมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิงจากปรากฏการณ์ Death Stranding ที่โลกคนเป็นและโลกคนตายเชื่อมต่อกัน วิญญาณคนตายได้ออกไล่ล่าคนเป็น จนเกิดเป็นการระเบิดครั้งรุนแรงที่เรียกว่าวอยด์เอาต์ตามสถานที่ต่าง ๆ ทั่วโลกจนอาจนำไปสู่การสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ของมนุษยชาติ ทว่าในท้ายที่สุดแล้วหายนะครั้งใหญ่ก็ได้ถูกยับยั้งเอาไว้ด้วยพลังแห่งสายสัมพันธ์ของแซม ชายผู้ทำหน้าที่เป็นพอร์เตอร์ที่คอยบุกป่าฝ่าดงส่งของให้แก่ผู้คน และคอยเชื่อมต่อผู้คนในอเมริกาให้กลับมาเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง

ในภาค 2 นี้ แซมได้หลบลี้หนีจากอเมริกามายังแผ่นดินเม็กซิโกและใช้ชีวิตอย่างสันโดษร่วมกับหนูน้อยลูผู้ที่เคยร่วมทางกับเขาและเชื่อมต่ออเมริกาเข้าด้วยกันในภาคแรกด้วยสถานะการเป็นบริดจ์เบบี้หรือ BB นั่นเอง ชีวิตของพวกเขาดำเนินไปอย่างปกติธรรมดา จนกระทั่งวันหนึ่งเพื่อนเก่าของเขาอย่างฟราไจล์ก็ได้แวะเวียนมาหาเพื่อชักชวนเขาไปร่วมงานกับเธอในองค์กรใหม่ที่เธอตั้งขึ้นอย่างดรอว์บริดจ์ (Drawbridge) ซึ่งมีเป้าหมายในการขยายขอบเขตของไครัลเน็ตเวิร์ก (Chiral Network) ให้กว้างไกลออกไปมากกว่าอาณาเขตของอเมริกา

การเดินทางในครั้งใหม่นี้ของแซมนั้น จะทำให้เขาได้ตระเวนไปในเม็กซิโกรวมถึงแผ่นดินออสเตรเลียที่เขาไม่เคยรู้จัก แต่เหนือสิ่งอื่นใดนั้น แซมจะได้เผชิญหน้ากับอดีตและสะสางปมในใจของตนเองครับ

ผมเชื่อว่าในตอนที่ภาคแรกวางจำหน่ายนั้น หลายคนเลยที่ได้ลองเล่นจะรู้สึกสับสนและงุนงงไปกับเซ็ตติ้งของโลกในเกม ด้วยความที่เต็มไปด้วยศัพท์เฉพาะมากมาย รวมถึงกฎเกณฑ์ในโลกของเกมที่ต้องใช้เวลาย่อยและใช้เวลาทำความเข้าใจ นั่นทำให้แม้ว่าคุณจะสนุกไปกับเกมเพลย์ แต่ก็อาจจะโดนลดทอนไปได้พอสมควรหากว่าคุณไม่รู้เลยว่าอะไรเป็นอะไร สิ่งที่ตัวละครพูดถึงกันคืออะไรกันแน่

ถึงอย่างนั้นก็ตาม ผมคิดว่าความรู้สึกงุนงงสับสนเหล่านั้นค่อนข้างโดนลดทอนลงไปเยอะมากแล้วในภาค 2 นี้ครับ ส่วนหนึ่งอาจเพราะว่าเซ็ตติ้งของโลกนั้นถูกปูเอาไว้ในภาคแรกหมดแล้ว ภาคนี้เลยไม่จำเป็นที่จะต้องมาเล่าซ้ำอะไรอีก สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในเกมมันเหมือนเป็นกฎธรรมชาติแบบใหม่ที่ทุกคนรับรู้กันดี เหมือนที่เรา ๆ ในโลกความจริงรู้กันว่าแต่ละปีจะมีฤดูกาลหมุนเวียนเปลี่ยนไปนั่นล่ะครับ นั่นก็เลยทำให้เกมภาคนี้มีเนื้อหาและเรื่องราวที่เข้าใจง่ายขึ้นกว่าเดิม ย่อยง่ายขึ้น และขณะเดียวกันก็ยังมีความเกี่ยวพันในแง่ตัวตนและความสัมพันธ์ของแต่ละคนในคณะเดินทางของแซมมากขึ้นด้วย (รวมถึงตัวแซมเอง)

ภาคนี้ผมชอบการเกลี่ยบทให้กับบรรดาตัวละครในคณะเดินทางของแซมมากครับ แต่ละคนมีบทบาทสำคัญพอ ๆ กันหมด ไม่มีใครที่รู้สึกว่าเป็นส่วนเกินหรือแค่ถมมาให้เต็ม ๆ เพราะทุกคนจะมีช่วงที่ได้แสดงบทบาทและความสามารถของตนกันอย่างพอดี ๆ ในจังหวะที่เหมาะสมครับ

จุดที่ผมคิดว่าต้องพูดถึงก็คือการกำกับฉากและคัตซีนที่มีการเล่นมุมกล้องที่แปลกตาดีใช้ได้ครับ ด้วยความที่ธีมของเกมนั้นเน้นสิ่งที่เหนือธรรมชาติเป็นหลัก (แต่เป็นธรรมชาติในโลกเกม) ตลอดทั้งเกมเราก็เลยจะได้เห็นการใช้องค์ประกอบภาพที่ดูเซอร์เรียลบ่อยครั้งแต่มันออกมาสวยงามและดูดีไม่เบา

ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่ผมชอบที่สุดของเกมนี้ก็คงไม่พ้นเอกลักษณ์ความเป็นโคจิมะที่แฝงอยู่ในแทบจะทุกองค์ประกอบนี่ล่ะครับ โดยในแง่นี้ผมจะไม่ขอลงรายละเอียดมากนักเพราะคิดว่าทุกท่านไปลองเห็นเองในเกมจะดีกว่า แต่บอกได้ถ้าคุณติดตามผลงานของฮิเดโอะ โคจิมะมาโดยตลอด มันจะมีอะไรที่ทำให้คุณต้องตบเข่าฉาดตลอดทั้งเกมแน่นอน คุณจะได้เห็นอะไรที่มันคุ้นตา และพบองค์ประกอบของเนื้อหาที่จะทำให้คุณต้อง “เฮ้ยยยย นี่มัน…!” ตลอดทั้งเกมครับ จะเรียกว่านี่คือเกมที่แสดงตัวตนของคุณโคจิมะออกมาแบบ 100% ก็ไม่ผิดนัก

เอาเป็นว่า จะเรียกเกมนี้เป็น Metal Gear Solid ในโลกคู่ขนานก็ไม่เกินเลยแต่อย่างใดครับ


เกมเพลย์

การเดินทางเพื่อเชื่อมต่อ

ในแง่ของเกมเพลย์นั้น Death Stranding 2: On the Beach ก็ยังคงเป็นเกมที่มีคอนเซปต์เรื่องการเชื่อมต่อของผู้คน ดังนั้นภารกิจหลัก ๆ ของแซมก็จะเป็นการออกเดินทางส่งของให้แก่ผู้คนที่ใช้ชีวิตกระจัดกระจายกันไปทั่วแผ่นดินเม็กซิโกและออสเตรเลีย และด้วยความที่สภาพแวดล้อมของโลกในเกมนั้นเปลี่ยนแปลงไปจากปัจจุบันอย่างสิ้นเชิงแล้ว ภูมิประเทศของแต่ละสถานที่จึงอุดมไปด้วยอุปสรรคตามธรรมชาติมากมาย ไม่ว่าจะพื้นผิวทางเดินที่ไม่สม่ำเสมอ ทั้งสายน้ำที่ตัดผ่านผืนดิน ความสูงชันของสถานที่ ฯลฯ ถ้าจะบอกว่าสภาพแวดล้อมเป็นหนึ่งในศัตรูที่คุณจะต้องรับมือก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดครับ ก้าวผิดนิดเดียวแซมของคุณก็จะตุปัดตุเป๋เซหัวปักพื้นได้ง่าย ๆ

องค์ประกอบที่หลายคนคุ้นเคยก็ยังคงอยู่ครบ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกไว้ใช้เดินทางมากมาย เช่น บันไดเพื่อปีนขึ้นที่สูง หรือใช้พาดผ่านช่องผาที่คุณไม่สามารถข้ามไปได้ แม้กระทั่งการสร้างยานพาหนะไว้ใช้เดินทางก็ยังมีเช่นกัน สิ่งอำนวยความสะดวกหลายอย่างของเกมนั้นหลัก ๆ จะเน้นที่การเดินทางคมนาคมของคุณเป็นหลักเพื่อให้สามารถเข้าถึงจุดหมายได้อย่างสะดวกขึ้น แม้กระทั่งการฟื้นฟูถนนเอย หรือของใหม่อย่างการฟื้นฟูกระเช้าขนส่งพัสดุในภาคนี้ก็จะทำให้ชีวิตคุณง่ายขึ้น

แต่ก็แน่นอนล่ะครับว่าก่อนที่คุณจะสบายได้ คุณก็จำเป็นต้องผ่านความลำบากในรอบแรกไปก่อน เพราะก่อนที่คุณจะสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ได้นั้น คุณจะต้องเดินเท้า (หรือขับรถ) ฝ่าปราการธรรมชาติ (หรือปราการศัตรูและบีที) ไปยังจุดหมายเพื่อเชื่อมต่อเน็ตเวิร์กให้เสร็จสิ้นเสียก่อนคุณจึงจะสร้างสิ่งเหล่านั้นได้ ซึ่งก็รวมถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ผู้เล่นอื่นสร้างเอาไว้ด้วยเช่นกัน ตามคอนเซปต์ของการเชื่อมต่อซึ่งกันและกันของผู้เล่นครับ ทุกครั้งที่คุณจะออกไปส่งของยังที่ใดเกมก็จะให้คุณดูสถานที่ ดูสภาพภูมิประเทศก่อนเพื่อวางแผนว่าจะเดินทางยังไง จะพกอะไรไปเผื่อใช้งานบ้าง ฯลฯ เป็นองค์ประกอบการบริหารทรัพยากรรูปแบบหนึ่งนั่นล่ะครับ

ภาคนี้ยังแอบมีระบบการจับสัตว์ตามธรรมชาติกลับไปที่ศูนย์พักพิงเพื่อสงวนสายพันธุ์ด้วยนะ ถ้าใครเคยเล่นเกมก่อนหน้านี้ของคุณโคจิมะมาก็น่าจะพอคุ้น ๆ กันอยู่ ซึ่งนอกจากนั้นแล้วภาคนี้จะมีพวกไครัลครีเจอร์ตามฉากต่าง ๆ ที่ไม่ใช่บีทีมาก่อกวนเนือง ๆ มันเลยสื่อให้เห็นถึงระบบนิเวศที่เปลี่ยนไปอย่างมากได้ชัดเจนขึ้น ยังไม่นับว่าถ้าโชคดีคุณอาจเจอตัวแรร์สีทองที่เปรียบเสมือนเมทัลสไลม์จากเกมอื่นด้วยนะเออ

ถึงอย่างนั้น ใครที่เคยเล่นภาคแรกกันมาแล้วก็คงจะทราบกันดีว่าเกมนี้มันไม่ได้มีแค่การเดิน การวิ่ง การขับรถส่งของ เพราะถ้ามีแค่นั้นก็คงไม่เป็นที่พูดถึงมากมายในตอนที่วางจำหน่าย เพราะอย่างไรเสียเกมนี้ก็ยังมีศัตรูให้คุณต่อสู้เช่นเคย และระบบต่อสู้ก็เป็นสิ่งที่ผมจะพูดถึงต่อไปนี่ล่ะครับ


ระบบต่อสู้

ศัตรูในเกมนี้ประกอบไปด้วยทั้งศัตรูที่เป็นคนธรรมดา และยังมีบีทีซึ่งเป็นวิญญาณคนตายที่พลัดหลงในโลกคนเป็น รวมถึงศัตรูประเภทใหม่ในภาคนี้ซึ่งเป็นจักรกลที่เรียกว่าโกสต์เม็ค (Ghost Mechs) ครับ และพฤติกรรมของศัตรูแต่ละประเภทอาจมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง แต่วิธีการรับมือหลัก ๆ ของคุณก็จะเป็นการลอบเร้น การปะทะซึ่งหน้า หรือไม่ก็หลบเลี่ยงไปเลย

หากใครเคยเล่นภาคแรกมาแล้ว รูปแบบการเล่นหลัก ๆ ก็ยังคงเป็นสไตล์แอ็กชันชูตเตอร์มุมมองบุคคลที่สามนั่นล่ะครับ บรรดาอาวุธที่คุณจะได้ใช้งานนั้นก็มีหลากหลายรูปแบบอย่างที่น่าจะคาดเดากันได้ พวกปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติ ปืนลูกซอง ปืนยิงลูกระเบิด แม้แต่เครื่องยิงมิสไซล์ก็ยังมี (แต่อย่าถามว่าทำไมคนโดนระเบิดอัดหน้าแล้วถึงไม่ตายนะ) พูดง่าย ๆ คือมีของเล่นให้คุณใช้เยอะมากแบบที่ว่าเวลาคุณไปเจอศัตรู ไม่ว่าจะค่ายของคน จะดงบีที หรือจะกลุ่มโกสต์เม็คนี่ คุณจะเปลี่ยนบทบาทของแซมจากคนส่งของให้กลายเป็นสุดยอดทหารรับจ้างก็ทำได้เลยทันที เป็น One Man Army แล้วเปิดศึกกับพวกมันไปเลย หรือจะเน้นความโปรฯของตัวเองแล้วใช้ทักษะลอบเร้นเพื่อแอบจัดการศัตรูแต่ละตัวแบบเงียบ ๆ ก็แล้วแต่คุณ

ส่วนตัวแล้วผมรู้สึกว่าองค์ประกอบในแง่การต่อสู้ของภาคนี้ค่อนข้างคล่องตัวและเข้ามือมากกว่าภาคแรกครับ การเล็งยิง การเคลื่อนไหวของแซมนั้นมีความเป็นเกมแอ็กชันมากขึ้น มันเลยทำให้การต่อสู้นั้นสนุกและไม่รู้สึกติด ๆ ขัด ๆ แบบภาคแรก ซึ่งมันก็เป็นอย่างที่ผมบอกไปว่าเกมภาคนี้เหมือนเป็น Metal Gear Solid ในโลกคู่ขนานตั้งแต่ทีแรกน่ะครับ

ด้วยความที่เกมนี้จะมีศัตรูที่แบ่งออกได้สามประเภทนั่นคือมนุษย์ บีที และโกสต์เม็ค เวลาคุณเจอแต่ละกลุ่มทีไร บรรยากาศมันก็จะต่างกันออกไปอย่างชัดเจนอยู่ครับ เวลาสู้กับมนุษย์ด้วยกันก็จะได้ความรู้สึกเหมือนคุณเล่นเกมแนวสงครามที่กระสุนปลิวกันว่อน ระเบิดลงตูมตาม พอสู้กับบีทีบรรยากาศก็จะเปลี่ยนไปเป็นเกมแนวสู้สิ่งมีชีวิตจากการทดลองหรือกลายพันธุ์เพราะรูปลักษณ์ของบีทีนั้นต่างก็อ้างอิงมาจากสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์อื่น ๆ เป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่พอเจอกับโกสต์เม็คนั้นเกมจะให้อารมณ์ไซไฟและเหมือนกำลังสู้กับเทอร์มิเนเตอร์จากความอึดถึกทนของพวกมัน การปะทะกับศัตรูแต่ละครั้งมันก็เลยจะมีความแตกต่างกัน ยังไม่นับว่าศัตรูแต่ละประเภทก็มีรูปแบบแยกย่อยในตัวมันเองอีกด้วยนะ

มาถึงตรงนี้ ผมคิดว่าหลายคนก็คงสงสัยขึ้นมาในใจว่าแล้วมันต่างกับเกมชูตเตอร์อื่น ๆ ในท้องตลาดยังไง? ไอ้ที่ว่ามามันก็อยู่ในหลาย ๆ เกมมาหมด ก็ไม่ผิดครับ แต่สิ่งที่ผมคิดว่าทำให้เกมนี้มันโดดเด่นทะลุพรวดขึ้นมาเลยก็เป็นพวกองค์ประกอบอื่น ๆ ที่คุณจะได้เจอในเกม ซึ่งผมขอเรียกมันว่า…บีทีแบทเทิลก็แล้วกัน

ด้วยความที่การเจอกับบีทีแต่ละครั้งของเกมนี้มันเปรียบเสมือนการสู้บอส เพราะขนาดตัวของพวกมันที่ใหญ่โตกว่าเรามาก ความอึดของพวกมันนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง แม้การใช้อาวุธหนักอย่างมิสไซล์ก็ยังต้องใช้เวลาพอสมควร ดังนั้นภาคนี้ก็เลยมีระบบอำนวยความสะดวกให้ผู้เล่นนั่นก็คือ…การเรียกบีทีของคุณเองออกมาช่วยสู้กับพวกมัน ใช่ครับ ภาคนี้แซมสามารถเรียกบีทีที่ตนจับมาให้มาช่วยฟาดปากบีทีตัวอื่นได้แบบ Let Them Fight กันไปเลย สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือบีทีของคุณจะปรากฏตัวออกมาพร้อมกับเวลาในการต่อสู้ 3 นาทีถ้วน และเพลงประกอบที่ไปขอสิทธิมาจากเพลงอุลตร้าแมน มันคือการบ่งบอกถึงความบ้าและความคลั่งไคล้ที่คุณโคจิมะมีต่อภาพยนตร์และป็อปคัลเจอร์ได้เต็มเหนี่ยวมาก ๆ

ส่วนวิธีการจับแต่ละตัวน่ะรึ? ก็คือเมื่อคุณลดพลังชีวิตของบีทีลงไปจนเหลือขีดแดงแล้ว คุณก็แค่ใช้ระเบิด Ex Capture โยนใส่ปากพวกมันประหนึ่งเป็นโปเกบอลก็จะจับพวกมันได้เสร็จสิ้นครับ เมื่อเวลาคุณไปเผชิญหน้ากับตัวไหนคุณก็จะเรียกออกมาใช้ได้ทันทีโดยแลกกับปริมาณไครัลคริสตัลที่ต้องใช้ หากคุณเป็นเกมเมอร์สายเก็บความสมบูรณ์ล่ะก็ นี่จะเป็นองค์ประกอบหนึ่งให้คุณได้ออกตระเวนตามล่าบีทีเพราะว่าคุณ Gotta Catch’em All! แน่ ๆ ครับ

อีกจุดหนึ่งในแง่ระบบต่อสู้ที่ผมอยากพูดถึงก็คือการต่อสู้ด้วยมือเปล่าของแซมนี่ล่ะครับ อย่างที่เรารู้ ๆ กันว่าแซมนั้นประกอบอาชีพเป็นคนส่งของ เวลาต้องบู๊โดยใช้หมัดใช้เท้าของตนเองก็เลยจะออกสไตล์เป็นมวยวัดเหวี่ยงซ้ายเหวี่ยงขวาถีบยอดหน้าอะไรทำนองนั้น เพราะจะให้มาใช้วิชา CQC กับคนด้วยกันราวกับเป็นสุดยอดสายลับก็คงไม่ใช่ที่…แต่นั่นมันภาคแรกครับ นี่คือภาคสอง ฉะนั้นสิ่งที่แซมทำได้เพิ่มเติมในภาคนี้ก็คือการมีท่าโจมตีพิเศษด้วยมือเปล่า อาทิเช่นการพุ่งโจมตีราวกับใช้ท่าไซโคครัชเชอร์ของเวก้า(หรือไบสัน)ในสตรีตไฟเตอร์ การกลับหัวแล้วหมุนตัวเตะแบบเกือบจะเป็นสปินนิงเบิร์ดคิกของชุนลี หรือแม้แต่ท่าจับศัตรูปั่นหมุนก่อนทุ่มลงมากระแทกพื้นก็ยังมี แม้แต่การใส่ถุงมือเพื่อยิงฟอร์ซไลต์นิงราวกับเป็นซิธลอร์ดก็ยังได้ มันเลยทำให้ภาคนี้ครบเครื่องทั้งการเป็นเกมชูตเตอร์ และการเป็นเกมลุยด่านซัดกันด้วยกำปั้นครับ

องค์ประกอบความเป็นเกมแอ็กชันของภาคนี้นี่เรียกได้ว่าสูงทะลุเพดานของภาคแรกไปไกลลิบมาก ถ้าใครที่เคยบ่นว่าภาคแรกค่อนข้างเนือย ๆ หรือไม่มีอะไรนอกจากเดินส่งของ ภาคนี้มีอะไรให้คุณบู๊จนอิ่มพุงกางกันไปข้างนึงกันเลยทีเดียว


ระบบความก้าวหน้าของแซม

สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาในภาคนี้ก็คือระบบความก้าวหน้าของแซมครับ ในแง่ความสามารถในด้านต่าง ๆ ซึ่งประเภทแรกก็จะเป็นความสามารถโดยรวมของแซมเอง ไม่ว่าจะเป็นความอึดในการวิ่ง น้ำหนักที่แบกได้ ความแรงในการโจมตีมือเปล่า อีกทั้งความแม่นและความเร็วในการเติมกระสุนของอาวุธแต่ละชนิดนั้น ล้วนแล้วแต่พัฒนาได้เมื่อแซมทำสิ่งใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับค่าพลังนั้น ๆ ครับ ยิ่งคุณทำสิ่งใดมากก็จะยิ่งชำนาญและก็จะทำให้ชีวิตคุณง่ายยิ่งขึ้นไปอีก

อีกหนึ่งองค์ประกอบในแง่นี้ก็คือ APAS Enhancements ครับ ซึ่งสิ่งนี้จะมีรูปแบบคล้ายเป็นสกิลทรีในเกมอื่น ๆ เลยก็ว่าได้ โดยสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะเปรียบเสมือนเป็นความสามารถแพสซีฟของแซม เช่นอาจจะทำให้กระสุนจากปืนแรงขึ้น หรือมีสายคาดพัสดุที่คุณแบกทำให้เวลาล้มของไม่กระจัดกระจายตามพื้น อะไรแบบนั้น ซึ่งแต้มที่คุณจะนำมาใช้อัปเกรดก็มาจากระดับความสัมพันธ์ (ดาว) ที่คุณมีกับผู้คนตามแต่ละสถานที่นั่นล่ะครับ ยิ่งคุณเพิ่มความสัมพันธ์กับพวกเขามาก ก็จะยิ่งทำให้คุณมีแต้มมาอัปสกิลมาก และสกิลเหล่านั้นก็จะทำให้การเดินทางและการเล่นของคุณยิ่งสะดวกสบายขึ้นกว่าเดิมเช่นเดียวกัน

การเพิ่มความสัมพันธ์กับผู้คนในสถานที่ต่าง ๆ ที่ในเกมเรียกว่า Preppers นั้นก็มีอีกหนึ่งองค์ประกอบในแง่ความก้าวหน้าในเกมนอกเหนือไปจากแต้มอัปเกรดครับ นั่นเพราะว่าเมื่อใดก็ตามที่คุณเพิ่มความสัมพันธ์กับแต่ละคนยิ่งขึ้นไป ก็มักเป็นการเปิดโอกาสให้คุณสร้างทั้งอาวุธที่ดีขึ้น หรืออุปกรณ์ที่ดีขึ้นเสมอ มันก็เลยทำให้องค์ประกอบแทบทุกอย่างในเกมนี้มีความหมายหมด ไม่มีอะไรที่คุณทำแล้วจะปราศจากผลลัพธ์หรือสิ่งตอบแทนกลับมาครับ

จุดหนึ่งที่ผมมองว่าป็นความใส่ใจที่หลายคนน่าจะชอบก็คือด้วยความที่บรรดา Preppers หลายคนในเกมก็ใช้ใบหน้าหรือรูปลักษณ์จากคนดัง นักแสดง นักร้อง และแม้กระทั่งวีทูบเบอร์ เกมนี้ก็เลยจะมีกิมมิคที่เกี่ยวข้องกับคน ๆ นั้น หรือมีสิ่งที่บ่งบอกถึงภาพลักษณ์ของคน ๆ นั้นชนิดที่คุณจะต้องอมยิ้มแน่ ๆ หากว่าคุณรู้จักกับบุคคลที่เกมนี้เลือกใส่ลงมาครับ ส่วนจะเป็นอะไรบ้างนั้นผมอยากให้ลองไปดูกันเองในเกมนะ

ถ้าจะให้กล่าวโดยรวมแล้ว ภาคนี้มีความเป็นเกมเพิ่มเติมจากภาคแรกขึ้นมาเยอะมากจนแทบจะเรียกได้ว่าภาคแรกนี่เป็นเดโมเลยครับ ตัวเกมอัดแน่นไปด้วยองค์ประกอบด้านเกมเพลย์ในหลายด้านที่ผมเชื่อว่าเกมเมอร์สายแอ็กชันชูตเตอร์จะต้องถูกใจ นอกจากนี้เกมก็ยังมีเซอร์ไพรส์หลายอย่างรอคอยคนที่เล่นเก็บความสมบูรณ์ด้วย ดังนั้นอย่ามองข้าม Sub Order ที่เป็นภารกิจรองกันล่ะครับ เดี๋ยวจะพลาดอะไรเจ๋ง ๆ กันไป


การปรับแต่ง

นอกเหนือไปจากความก้าวหน้าโดยรวมแล้ว เกมก็ยังคงมีใส่ทางเลือกสำหรับการปรับแต่งต่าง ๆ ลงมาเหมือนเคยครับ ที่เด่น ๆ เลยก็คือกระเป๋าแบ็กแพ็กของแซมเองที่เมื่อเล่นไปเรื่อย ๆ เชื่อมต่อกับผู้คนไปเรื่อย ๆ คุณก็จะปลดล็อกของอำนวยความสะดวกขึ้นเพียบ บ้างก็เป็นตลับกระสุนเพิ่มเติม เป็นแบตเตอรี่สำรอง เป็นกระเป๋าใส่ถุงเลือด ฯลฯ ที่คุณก็เลือกติดเองได้เลยว่าต้องการอะไรเท่าที่เนื้อที่กระเป๋าจะอำนวย

ในอีกด้านหนึ่งพวกรถของคุณก็จะเปิดโอกาสให้คุณปรับแต่งได้พอสมควรเช่นกัน คุณอาจเลือกติดแบตสำรองให้รถวิ่งได้นานขึ้น เลือกติดปืนเพื่อจับพัสดุอัตโนมัติแบบที่คุณไม่ต้องลงจากรถ ติดเกราะให้กับรถ แม้กระทั่งติดปืนไว้ต่อสู้ศัตรูอย่างอัตโนมัติก็ได้ นี่ก็เลยเป็นสิ่งหนึ่งที่เสริมเข้ามาอย่างที่ผมแจ้งไปว่าเกมมันมีความเป็นแอ็กชันสูงกว่าภาคแรกไปไกลลิบนั่นล่ะครับ


กราฟิกและการนำเสนอ

กราฟิกของเกมนี้ที่พัฒนาโดยใช้ Decima Engine ยังคงให้งานภาพที่สวยงามมาก ภูเขานั้นดูเป็นภูเขาจริง ๆ และการจะปีนป่ายภูเขาสูงนั้นก็ให้ความรู้สึกว่ามันจะลำบากในการเดินทางจริง แม่น้ำลำธารก็ทำให้รับรู้ได้ถึงกระแสน้ำที่ไหลผ่าน และเมื่อเกิดพายุทรายนั้นทัศนวิสัยของคุณก็จะย่ำแย่ชนิดที่ว่ามองเส้นทางข้างหน้าแทบไม่เห็น แต่รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ผมชอบมากก็คงจะไม่พ้นความเลอะเปรอะเปื้อนบนตัวแซมเวลาเผชิญกับสิ่งต่าง ๆ นี่ล่ะครับ

พอคุณลุยฝ่าพายุทรายมา ทั้งตัวของคุณก็จะเต็มไปด้วยฝุ่นผงทั้งตัว แต่เมื่อถึงเวลาที่คุณต้องเดินลุยน้ำนั้น ร่างกายส่วนที่ลงน้ำก็จะโดนชะล้างฝุ่นผงออกไปหมดจนต่างกันชัดเจน สิ่งพวกนี้เพิ่มความสมจริงให้กับสภาพแวดล้อมในโลกของเกมได้ดีเลย

เกมนี้ยังคงนำเสนอความเหงา เปล่าเปลี่ยวและอ้างว้างในการเดินทางได้ดีมาก ทุกสถานที่มันจะกว้างใหญ่ ไร้ผู้คนสัญจรนอกจากเพื่อนนักส่งของร่วมอาชีพ เมื่อคุณเดินทางเพียงลำพังมันก็ทำให้รับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของสภาพแวดล้อมได้มากเลย ถึงอย่างนั้นเวลาคุณเดินทางไปยังสถานที่ใหม่จนมองเห็นจุดหมายปลายทางที่มุ่งหน้าไปพร้อมกับบทเพลงเพราะ ๆ ดังขึ้น มันก็เป็นความรู้สึกที่หาได้ยากจากเกมอื่น ๆ ครับ


งานเสียงและเพลงประกอบ

เพลงประกอบที่เกมนี้เลือกใช้นั้น ยังคงยอดเยี่ยมไม่แพ้ภาคแรกครับ หลายเพลงยังคงให้อารมณ์เหงาและอ้างว้างและเข้ากันได้กับบรรยากาศของเกม ในด้านของงานพากย์นั้นนักแสดงแต่ละคนก็รับบทบาทของตัวเองได้ดี สีหน้าและน้ำเสียงสื่ออารมณ์ในช่วงนั้น ๆ ได้ดีเยี่ยม ถ้าจะมีอะไรที่ผมติดอยู่นิดนึงก็คือแซมนั้นบทพูดแอบน้อยครับ คนอื่นในฉากนี่พูดอธิบายกันเป็นฉาก ๆ แต่พี่แกอาจจะตอบสั้น ๆ หรือพูดประโยคไม่ค่อยยาว อาจเพราะว่าแซมนั้นอยู่ในสถานะแทนตัวของคนเล่นก็เลยมักอยู่ในสถานะที่เป็นฝ่ายรับสารมากกว่า (หรือเพราะนอร์แมน รีดัสค่าตัวแพงก็ไม่ทราบได้นะ)


สรุป

Death Stranding 2: On the Beach นี้คือผลงานที่อัดแน่นไปด้วยความเป็นฮิเดโอะ โคจิมะอย่างแท้จริงครับ ตัวตนแทบจะทั้งหมดของพี่แกถูกใส่ลงมาในเกมนี้แบบไม่อั้น ถามว่าเกมมันยังมีความพะรุงพะรังบางอย่างจากภาคแรกไหม? ก็ยังมีครับเพราะระบบหลัก ๆ ก็ต่อยอดมาจากภาคแรกโดยไม่ได้ตัดอะไรออก ถ้าคุณไม่ชอบการบริหารจัดการทรัพยากรแบบ micro management ก็อาจจะยังไม่ชอบอยู่เหมือนเดิม ความยากลำบากในการเดินทางก็ยังคงอยู่เหมือนเดิมครับ

ถึงอย่างนั้นก็เถอะ สำหรับผมแล้วข้อดีและองค์ประกอบหลายด้านของเกมมันท่วมเกินความขัดข้องของเกมมาก และผมเชื่อว่าหากคุณชื่นชอบผลงานของเขาที่ผ่านมาไม่ว่าจะ Death Stranding ภาคแรกหรือเกมในแฟรนไชส์ Metal Gear Solid ก็ตาม เกมนี้คือเกมที่คุณควรหามาเล่นอย่างยิ่งครับ

The Review

100% หลักการยังคงเน้นเชือก แต่เลือกที่จะใส่ไม้มามากขึ้น

Death Stranding 2 On the Beach ยังคงเป็นเกมที่คงคอนเซปต์การเชื่อมต่อที่ปูรากฐานเอาไว้ตั้งแต่ภาคแรก แต่เมื่อภัยคุกคามเพิ่มขึ้น แซมจึงมีตัวเลือกในการใช้ไม้มากขึ้นกว่าเดิม ผลคือเกมมีความเป็นแอ็กชันสูงมากชนิดที่ว่าหากคุณชื่นชอบ Metal Gear Solid ล่ะก็ คุณจะชอบเกมนี้ครับ

100%

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ข้ามไปยังทูลบาร์