รีวิว The Outer Worlds: Spacer’s Choice Edition [PS5]
*ขอขอบคุณ Private Division สำหรับโค้ดเพื่อการรีวิว
**รีวิวนี้เล่นบน PS5
ผมเพิ่งเล่นโหมดเนื้อเรื่องทั้งหมดของ The Outer Worlds จบเกมไปเมื่อสักครู่นี้เอง ก็พลันกลัวว่า อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ มันจะจางหายไปซะก่อน เลยรีบมาลงมือเขียนรีวิวให้มันจบงานกันแบบต่อเนื่องไปเลยดีกว่า
ตัวผมเอง ได้เห็นหน้าตาของเกมนี้ครั้งแรกจากงานโตเกียวเกมโชว์ปีก่อน ๆ ย้อนหลังไปไม่เกิน 4 ปี ผมจำแน่ชัดไม่ค่อยได้แล้ว แต่จำได้แม่นคือ ผมรับเอาของแจกจากบูธเกมนี้มาเพียบเลยครับ โดยเฉพาะพวกภาพโปสเตอร์สวย ๆ ที่เป็นงานอาร์ตเวิร์กฉากหลังของเกม ซึ่งผมเอามาประดับในร้านกาแฟของภรรยาอยู่เป็นปี ก่อนมันจะโดนพายุฝนเปื่อยขาดไปหมดสิ้น
และด้วยความที่นั่งมองภาพเกมบ่อย ๆ นี่แหละ ผมเลยโดนตกซะเอง ซื้อเกมเวอร์ชันนินเทนโดสวิตช์มาเล่น (ตอนนั้นเห่อเครื่องสวิตช์ครับ เลยซื้อเวอร์ชันนี้) แต่ก็พบว่า มันกลายเป็นเวอร์ชันที่ให้ภาพกราฟิกไม่น่าประทับใจเท่าไหร่ แถมการบังคับควบคุมก็ไม่ไหลลื่น (เพราะเป็นแกนอนาล็อกสวิตช์ ไลท์) ก็เลยเล่นไม่จบเกม ดองไว้นานปี
จนล่าสุด เหมือนสวรรค์มาโปรด (ฮา) ทาง Private Division ติดต่อมาให้ช่วยรีวิวตัวเกมเวอร์ชัน The Outer Worlds: Spacer’s Choice Edition ของ PS5 ผมเลยจัดการเล่นจนจบเกมให้หายแค้นซะเลย!
STORY
สำหรับเวอร์ชัน Spacer’s Choice Edition จะมีตัวเกมหลัก The Outer Worlds และ DLC ทั้ง 2 DLC คือ Murder on Eridanos และ Peril on Gorgon มาให้ครบจบในแพ็กเกจเดียว
พล็อตเรื่องในเกมเล่าถึงจักรวาลคู่ขนานในโลกเมื่อค.ศ.1901 ที่ประธานาธิบดี วิลเลียม แมกคินลีย์ ของสหรัฐฯ ไม่ได้ถูก ลีออน โชลกอสซ์ ลอบสังหารที่งาน นิทรรศการ Pan-American ผลที่ตามมาคือ ธีโอดอร์ โรสเวลต์ ไม่ได้สืบทอดตำแหน่งต่อจากแมกคินลีย์ และความเชื่อถือทางธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ในยุคนั้นไม่เคยถูกทำลาย นำไปสู่สังคมแบบไฮเปอร์คอร์ปอเรตที่มีชนชั้นเป็นศูนย์กลาง ซึ่งครอบงำโดยพลังของบริษัทขนาดใหญ่
ซึ่งต่อมา เวลาดำเนินต่อไปสู่อนาคตอันไกลโพ้น มนุษย์เดินทางออกไปตั้งรกรากในอวกาศและพื้นผิวของดาวเคราะห์ต่างดาว ชาวโลกหลายร้อยคนที่ถูกล่อลวงด้วยคำมั่นสัญญาของการเริ่มต้นใหม่ ลงทะเบียนเพื่อรับโอกาสในการเดินทางไปยังพรมแดนใหม่นี้
ในหมู่อาณานิคมนอกโลกนี้ มีระบบดาวแห่งหนึ่งชื่อว่า Halcyon (ฮัลซีออน) ระบบดาวหกดวงขนาดเล็ก การเดินทางสู่ฮัลซีออนต้องใช้ทั้งยานอวกาศขั้นสูงพร้อมยานที่เร็วกว่าแสงและการแช่แข็งเป็นเวลา 10 ปีสำหรับชาวอาณานิคม ในปี 2285 เรืออาณานิคมสองลำถูกส่งไปตั้งรกรากที่ฮัลซีออนได้แก่ยาน the Hope และ the Groundbreaker
ในขณะที่ Groundbreaker ประสบความสำเร็จในการมาถึง Halcyon, การตั้งรกรากของดาวเคราะห์ Terra 1 (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น Monarch) และ Terra 2. ยาน the Hope และสินค้าบนยานก็หายไปอย่างลึกลับระหว่างการขนส่ง และกลายเป็นตำนานในหมู่พลเมืองของฮัลซีออน ในขณะเดียวกัน Groundbreaker ก็เข้าสู่วงโคจรถาวรใกล้กับ Terra 2 โดยลูกเรือดั้งเดิมและลูกหลานของพวกเขาได้เปลี่ยนยานให้เป็นท่าเรืออิสระและป้อมปราการหุ้มเกราะ
เกมเริ่มต้นในปี 2355 เมื่อยาน the Hope ถูกค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์เพี้ยน ชื่อ Phineas Vernon Welles โดยเขาสามารถชุบชีวิตผู้โดยสารคนหนึ่ง (ตัวผู้เล่นนั่นแหละครับ) ได้อย่างปลอดภัย ดร.เวลส์แจ้งให้เราทราบว่าอาณานิคมของฮัลซีออน ตกอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากเนื่องจากการไร้ความสามารถและความละโมบของบรรษัทยักษ์ใหญ่ (เรียกรวมกันว่า The Board หรือ พวกบอร์ดบริหาร) ซึ่งควบคุมทุกแง่มุมของชีวิตใน ฮัลซีออน
ทีนี้ จากผลที่ตามมาของการนอนหลับแช่แข็งด้วยความเย็นเป็นเวลานาน ผู้เล่นจึงมีความสามารถทางร่างกายและจิตใจที่สูงขึ้นอย่างมาก รวมถึงความสามารถในการชะลอเวลาชั่วขณะ เวลส์จึงมอบหมายให้คนเล่นรักษาทรัพยากรที่จำเป็นในการฟื้นฟูชาวอาณานิคมโฮปที่เหลืออยู่ ซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นผู้กุมกุญแจสู่ความอยู่รอดของฮัลซีออน
GAMEPLAY
เอาจริง ๆ โครงสร้างของเกมนี้ ถ้าจะให้อธิบายง่าย ๆ สำหรับคนที่ไม่เคยเล่นมาก่อนแล้วล่ะก็ มันเหมือนเอา ฟอลเอาต์ 4 มาผสมกับแมสต์ เอฟเฟกต์ 2 อ่ะครับ คล้ายแบบนั้นเลย กล่าวคือ ระบบเกมเพลย์ทุกอย่างจะเหมือนฟอลเอาต์ แต่บรรยากาศการเดินทางไปตามดวงดาวต่าง ๆ การรวบรวมลูกเรือ แล้วเลือกผู้ติดตามเพื่อออกจากยานไปลุยภารกิจจะเหมือนกับแมสเอฟเฟกต์
ด้านเควสต์ในเกมนี้คือทีเด็ด เพราะมีเนื้อหาเรื่องราวที่หักมุมมากมาย มีช้อยส์ยาก ๆ ให้เลือกตัดสินใจ แถมเต็มไปด้วยมุกตลกแบบดิบ ๆ เบี้ยใบ้รายทางไปหมดครับ ผมเล่นไล่ทำเควสต์ไปอย่างเพลิน ไม่มีเบื่อ ถือว่าสุดยอดจริง ๆ
ระบบกันเพลย์ และการใช้ปืนภายในเกมถือว่าทำได้ดี ไม่ได้แย่ ถ้าคิดซะว่าตัวเกมมันเป็น RPG ไม่ใช่เกมยิง FPS เพียว ๆ และถึงแม้ว่าจะไม่มีระบบหยุดเกมเพื่อเลือกตำแหน่งยิงแบบเกมฟอลเอาต์ แต่ The Outer Worlds ก็ยัดระบบสโลว์โมชันมาให้ใช้พอกล้อมแกล้มไปได้บ้างเหมือนกัน
ART & CREATIVITY
ตัวเกมเขาโปรโมตเอาไว้ว่า “The Outer Worlds: Spacer’s Choice Edition มาพร้อมกราฟิกความคมชัดสูงกว่าเดิม, ระบบสภาพอากาศแบบไดนามิก, การยกเครื่องเรื่องแสงและสภาพแวดล้อม การยกระดับประสิทธิภาพ และเวลาโหลด รายละเอียดตัวละครที่ปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น เพดานเลเวลที่เพิ่มขึ้น และอีกมากมาย”
จะว่าเขาพูดจริงตามนั้นมั้ย…มันก็จริงนะ แต่เขาบอกเราไม่หมดอ่ะครับ กล่าวคือ กราฟิกคมชัดจริง…เวลาอยู่นิ่ง ๆ ครับ ถ้าเคลื่อนที่เร็ว ๆ จะรับรู้ได้ทันทีว่าเฟรมเรตตกลงต่ำเตี้ยติดดิน ผมไม่เชื่อเลยว่ามันจะรันได้ที่ 60 FPS ในแบบประสิทธิภาพ เพราะที่ผมเห็นมันน่าจะต่ำกว่า 30 ด้วยซ้ำในฉากที่โล่ง
เวลาโหลดเร็วจริงครับ แต่มักตามมาด้วยการเรนเดอร์ออปเจ็กต์ในฉากตามไม่ทัน ต้องกลั้นหายใจแป๊บนึง ภาพถึงจะเริ่มมีรายละเอียดคมชัด
ขณะที่บั๊กเกี่ยวกับการแสดงผลภาพ…ต้องบอกว่าอย่างเพียบ! เริ่มจากเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างไอเท็มที่เราเก็บได้ในฉาก อยู่ดี ๆ ก็ไม่มีการไฮไลต์ และไม่สามารถมีปฏิสัมพันธ์อะไรได้ ไปจนถึงบั๊กใหญ่อย่าง สองผู้ติดตามของเราสกินเกราะเปลี่ยนไปเป็นทหารยามธรรมดา จนผมเผลอยิงใส่หลายครั้ง ต้องรีโหลดเกมใหม่ สกินเกราะที่ถูกต้องถึงจะกลับมา
ด้านบั๊กแบบเกมล่มออกมาหน้าจอ ผมเจอไปสองครั้งตั้งแต่เริ่มเล่นจนจบเกม โดยทั้งสองครั้งอยู่ในฉากพื้นที่โล่งทั้งหมด และเป็นฉากดาวดวงแรกที่เราเริ่มเกม ที่ผมเข้าใจว่า เขาอัดรายละเอียดฉากใส่ไปเยอะมาก เพื่ออวดคนเล่นต้นเกมครับ เกมเลยหนักหน่อย
CONCLUSION
เอาจริง ๆ นะ Spacer’s Choice Edition คือเวอร์ชันที่แฟนเกมนี้หลายคนรอคอย เพราะมัน “ควรจะ” เป็นเวอร์ชันที่สมบูรณ์ที่สุด อัปเกรดกราฟิกและระบบเกม บวกการมัดรวมทุก DLC มาไว้ให้ซื้อได้ในครั้งเดียว ถ้ามันเป็นไปตามนี้นะ โหเอาไปเลยร้อยคะแนนเต็ม แต่ผลออกมามันยังไม่ใช่แบบนั้นครับ ทั้งบั๊กทั้งคุณภาพกราฟิกที่น่ากังขา…น่าผิดหวัง
แต่! ล่าสุดทีมงานสร้างเกมเขาแถลงผ่านทุกช่องทางแล้วว่า กำลังเร่งพัฒนาแพตช์แก้ไขชุดใหญ่ให้กับปัญหาด้านการแสดงผลต่าง ๆ ซึ่งควรต้องรอดูกันให้ดีเลยว่าจะทำได้ไหม เพราะถ้าทำได้จริง มันก็อาจจะกลายเป็นเวอร์ชันที่สมบูรณ์แบบได้ในท้ายที่สุดครับ
ถ้าจะให้ผมสรุปการแนะนำ “ณ ตอนนี้” ผมขอแนะว่า ให้รอดูหลังการอัปเดตแก้ไขก่อน โดยคอยตามข่าวให้ดี ๆ แล้วค่อยซื้อเกมมาเล่น หรืออาจรอลดราคาซักรอบแล้วไปลุ้นเอาก็ถือว่ายังคุ้มอยู่ครับ เพราะเกมสนุกจริง
Pros
- เกมสนุก ระบบเกมดี เนื้อเรื่องพลิกผันครบทุกรส
- เวอร์ชันนี้ถือว่าคุ้ม ได้ครบทุก DLC
Cons
- เฟรมเรตมีปัญหา ไม่ใช่แค่ไม่เนียนลื่น บางครั้งมันกระตุกเลยด้วยซ้ำ
- บั๊กยังถือว่าเยอะเกินไป